* * *
ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ
บรรดาขุนนางต่างตะกายไต่เต้าเปิดโปงเรื่องของคนอื่น เพื่อที่จะได้ลดความผิดบาปของตัวเองให้เป็นเบา โดยมีไวเคานต์เมอรีอาร์ตเป็นคนนำ หากเป็นตอนปกติ พวกเขาก็คงจะคิดไตร่ตรองดูใหม่ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังถูกต้อนให้จนมุม
บรรดาทหารของอาณาจักรโครอาหายตัวไปพร้อมกับทรัพย์สินทั้งหมดที่แลกเป็นเงินได้ และที่ดินกับคฤหาสน์ก็ถูกผูกไว้กับอาณาจักร และยังมีบางครอบครัวที่หลบหนีไป เช่นเดียวกับไวเคานต์เมอรีอาร์ต
เหนือกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งที่ไล่ต้อนพวกเขาให้จนมุมเข้าไปอีกก็คือการปรากฏตัวของทนายความไลอาร์ ซึ่งเป็นทนายของเคน
เนื่องจากทนายไลอาร์เป็นทนายที่มีความสามารถมากที่สุดในอาณาจักรนั้น ใช้เวลาทั้งวันมาหาเคน เพื่อหาทางช่วยเขาออกไป
“ท่านเคน ผมหาเอกสารที่ท่านบอกไว้ครั้งที่แล้วได้แล้วครับ และผมจะพยายามสร้างหลักฐานอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อท่านเคนให้ได้มากที่สุดครับ”
“…รบกวนด้วยนะ”
ตอนแรกที่เขาได้ยินว่าเคาน์ติสจะหาทนายมาให้เขา เขานึกสงสัยในจุดประสงค์ของเธอ และไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มที่นัก แต่เขาก็ยินยอมหลังจากได้รับจดหมายของเคาน์ติสจากไลอาร์
[เคน ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉัน แต่เราก็ใช้เวลาด้วยกันในฐานะครอบครัวมาตั้งหลายปี แล้วฉันจะทิ้งเธอลงได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธอถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว ตระกูลเคานต์ก็คงพังทลายลง ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก]
ฉันจะรู้สึกไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาในจดหมายที่ถูกเขียนอย่างไม่เสแสร้งเลยสักนิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน
หากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานกบฏตามที่เธอพูด มีความเป็นไปได้ว่าไม่ใช่แค่ทรัพย์สินของเขาจะโดนยึดและโดนริบกรรมสิทธิ์เท่านั้น แต่ตระกูลโรสเซนต์ทั้งหมดเองก็อาจจะถูกลงโทษด้วยก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่อาเรียสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตั้งทนายให้เขานั้น ทำให้เคนยิ่งให้ความร่วมมือมากขึ้นไปอีก เพราะเธออุตส่าห์ออกค่าใช้จ่ายด้วยตัวของเธอเอง และเขาจะปล่อยให้สิ่งนั้นสูญเปล่าไปไม่ได้
“ผมเตรียมตัวตามคำสั่งของเคาน์ติสเกือบจะเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ท่านเคนก็สามารถรออย่างสบายใจได้เลยครับ”
“…อย่างนั้นหรือ โล่งอกไปที”
เสียงของไลอาร์และเคนดังก้องไปทั่วโถงทางเดินอันเงียบสงัด คนอื่นๆ ที่ถูกขังอยู่ในคุกทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับบทสนทนาของพวกเขา
ชายผู้ที่เห็นความหวังในการออกไปจากที่นี่ ทั้งที่กระทำความผิดแบบเดียวกันนั้น ทำให้บรรดาขุนนางรู้สึกร้อนรน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกเขาอาจจะชะตาขาดจริงๆ ก็ได้
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามเอาชีวิตรอดด้วยการสารภาพผิดและเปิดโปงความผิดของคนอื่น ทำให้ผู้สอบสวนทำงานได้อย่างราบรื่น
ยกเว้นก็แต่ไอซิสเพียงแค่คนเดียว
เธอไม่ได้รับโอกาสให้พูดตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เธอสารภาพและยอมรับความผิดบาปของตัวแค่มีคำให้การจากเหล่าขุนนางคนอื่นๆ และหลักฐานที่มีอยู่เท่านั้นก็มากเพียงพอแล้ว
ที่จะให้เธอได้รับโทษประหาร
นอกจากนี้ออสการ์ที่คอยจับตามองความโหดเหี้ยมทารุณทุกอย่างของไอซิสก็ออกมาเป็นพยานให้อย่างกระตือรือร้น จึงไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกแล้ว
พิธีฉลองบรรลุนิติภาวะที่มีกำหนดการจะจัดในช่วงต้นปีถูกเลื่อนออกไป และงานแต่งงานของมาร์ควิสวินเซนต์กับซาร่าเองก็ถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิแทนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงดูบางตาลงและถนนก็เงียบเหงา ส่วนพวกคนบาปก็ใช้เวลาช่วงหน้าหนาวไปด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
ในช่วงที่ฤดูหนาวอันรุนแรงและหนาวเหน็บใกล้สิ้นสุดลง คำพิพากษาตัดสินเหล่าคนบาปก็ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อย การยึดทรัพย์สินนั้นเริ่มต้นขึ้นโดยไม่ต้องรีรอคำตัดสินอย่างเป็นรูปธรรม ราวกับเรื่องที่พวกเขาจะถูกริบทรัพย์และโดนปลดออกจากตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
“ที่รักคะ ฉันว่าเราควรจะหย่ากันก่อนที่พวกนั้นจะยึดแม้แต่ทรัพย์สินที่ซ่อนไว้โดยใช้ชื่อของฉันไปนะคะ! อาเรียบอกว่าอาเรียจะช่วยปกป้องพวกเรา ถ้าพวกเราหย่าน่ะค่ะ เร็วๆ เถอะค่ะ!”
เคาน์ติสพูดกับท่านเคานต์ที่มีสีหน้าซีดเผือด เพราะถึงแม้การยึดทรัพย์นั้นยังไม่เริ่มขึ้น แต่เขาก็เพิ่งได้รับหมายแจ้งปลดออกจากตำแหน่ง
“…เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร…”
ท่านเคานต์คร่ำครวญและไม่อาจซ่อนความเสียใจต่อสถานการณ์อันน่าเวทนานี้ได้
“ฉันเตรียมเอกสารไว้เรียบร้อยแล้ว คุณแค่ต้องเซ็นเท่านั้นเองค่ะ”
ท่านเคานต์ยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป แต่เคาน์ติสก็ยื่นเอกสารให้เขา และดวงตาของท่านเคานต์ก็สั่นระริกราวกับระลอกคลื่น หลังจากตรวจดูเอกสารที่ส่วนอื่นนอกจากส่วนที่เป็นลายเซ็นของเขานั้นถูกเขียนเอาไว้หมดแล้ว
เธอเป็นคนเดียวที่ปกป้องเขาจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากลูกๆ เขาจึงลังเลที่จะลงลายเซ็นในเอกสารการหย่า แม้ว่าเธอจะอยากปกป้องทรัพย์สมบัติเอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม
“ฉันต้องการเงินเพื่อที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคุณในอนาคตค่ะ เพราะคุณสุขภาพไม่ค่อยดี และค่ารักษาก็แพงมากเลยน่ะค่ะ ถ้าคุณไร้สติแบบนี้ แล้วปล่อยให้ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึดไปล่ะก็ คุณอาจจะต้องไปนั่งข้างถนนจริงๆ ก็ได้นะคะ”
ทว่าเคาน์ติสก็ยังคงโน้มน้าวเขาไม่หยุด จนสุดท้ายท่านเคานต์ก็ต้องหยิบปากกาขึ้นมา เธอบอกว่านี่ก็เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับตัวเองในอนาคต แล้วเขาจะไม่ยอมเซ็นได้อย่างไรกัน
“…แล้วฉันต้องเอาไปยื่นอย่างไร แถมยังจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าชายด้วย…”
“ถ้ายังเป็นขุนนางอยู่ ก็ต้องทำเช่นนั้นล่ะค่ะ แต่ฉันรู้มาว่าตอนนี้คุณโดนปลดออกจากตำแหน่งและเป็นสามัญชนแล้ว พวกเขาก็เลยบอกว่าใช้แค่การยืนยันของผู้รับผิดชอบและพยานเท่านั้นก็พอค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ คนแปลกหน้าสองคนก็เข้ามาในห้องของท่านเคานต์
“…ใครน่ะ”
“พวกเขามาจากศาลค่ะ เพราะคุณไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้ พวกเขาก็เลยมาที่คฤหาสน์โดยเฉพาะเลยค่ะ ช่างใจดีเสียจริงๆ แล้วก็นี่ทนายไลอาร์ค่ะ เขามาเป็นพยานน่ะค่ะ”
อาซใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเขายอมให้อาเรียได้รับผลเสียจากเรื่องครั้งนี้ไม่ได้
แน่นอนว่าการหย่าร้างเพื่อเอาทรัพย์สินไปซ่อนก่อนการพิจารณาคดีครั้งใหญ่นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็สามารถทำได้ เพราะได้รับอนุญาตจากอาซแล้ว
ผู้รับผิดชอบที่ดูค่อนข้างมีอายุตรวจเช็กดูเอกสารการหย่าร้างที่ท่านเคานต์ลงลายมือชื่อเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ถามยืนยันเจตจำนงของทั้งสองคนเป็นรอบสุดท้าย
“ท่านทั้งสองไม่เปลี่ยนใจเรื่องการหย่าร้างใช่ไหมครับ”
“แน่นอนสิคะ รีบจัดการให้เสร็จเร็วๆ เถอะค่ะ”
ท่านเคานต์ดูมีความลังเลเล็กน้อย ต่างจากเคาน์ติสผู้เด็ดเดี่ยว เพราะเขารู้สึกว่ามันแปลกมากที่พอเธอพูดถึงเรื่องหย่าร้าง เอกสารทุกอย่างจนกระทั่งทนายความผู้รับผิดชอบเรื่องก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันที
ราวกับว่าเธอเตรียมเรื่องนี้มานานแล้ว
“เร็วๆ สิคะที่รัก คิดถึงอนาคตของเราสิคะ ฉันเองก็ปวดใจเหมือนกันค่ะ”
เคาน์ติสพูดอย่างอ่อนโยนพลางจับมือท่านเคานต์ เธอโน้มน้าวเขาว่ามันไม่มีวิธีอื่นนอกจากวิธีนี้แล้ว ท่านเคานต์เองก็รู้เรื่องนั้นอยู่แก่ใจ เขาจึงลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ายินยอม
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะขอสิ้นสุดขั้นตอนการหย่าร้างด้วยสิ่งนี้นะครับ และตอนนี้ทั้งสองก็ได้แยกทางกันตามกฎหมายแล้วตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปครับ”
เคาน์ติสก็ปล่อยมือของท่านเคานต์ทันทีที่คำพูดนั้นสิ้นสุดลงอย่างไม่ลังเล
ท่าทีอ่อนโยนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สีหน้าของเคาน์ติสเปลี่ยนไปอย่างเย็นชา เธอกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายกับท่านเคานต์
“ขอบคุณสำหรับช่วงที่ผ่านมานะคะ หมายถึงเรื่องเงินนั่นล่ะค่ะ นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันรู้สึกพอใจเลยแม้แต่เรื่องเดียวค่ะ”
ท่านเคานต์เบิกตากว้างและแข็งทื่อกับสีหน้าเย็นชาของเคาน์ติสที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
“ทั้งคุณ เคน แล้วก็มิเอลต่างก็ดูถูกดูแคลนฉันมาตลอด แต่ฉันก็อดทนมาได้ เพื่อเงินยังไงล่ะคะ แต่ตอนนี้คุณไม่มีเงินเลยสักแดงเดียว ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันจะต้องหย่าไม่ใช่หรือคะ”
ความในใจที่เธอเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมานั้น ทำให้ท่านเคานต์พูดอะไรแทบไม่ออกและไม่สามารถควบคุมร่างกายอันสั่นเทาของเขาได้
“ธะ เธอพูดเรื่องอะไรกัน! มะ ไม่มีเงินสักแดงอย่างนั้นหรือ…! เธอเตรียมบ้านพักตากอากาศไปจนถึงพวกอสังหาอื่นๆ ไว้แล้ว เพื่ออนาคตของเราไม่ใช่หรือไง…! บ้านที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันน่ะ!”
“ใช่แล้วค่ะ โดยใช้ชื่อของฉันน่ะค่ะ ตอนนี้มันเป็นส่วนแบ่งของฉันที่ไม่เกี่ยวกับคุณอีกแล้วล่ะค่ะ อย่าทำตัวไม่ยุติธรรมแบบนั้นสิคะ ไม่ว่าอย่างไรต่อให้คุณได้ครอบครองของพวกนั้น มันก็มีแต่จะกลายเป็นทรัพย์สินของอาณาจักรเท่านั้นเองค่ะ”
เคาน์ติสทิ้งคำพูดนั้นไว้และหมุนตัวกลับกำลังจะออกไปเหมือนกับว่าเธอหมดธุระแล้ว
“ทะ ทำแบบนี้…! ทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร!”
ท่านเคานต์ตะโกนด้วยแรงทั้งหมดที่มีไล่ตามหลังเธอไป เขาถูกครอบครัวแท้ๆ ของเขาหักหลังไม่พอ เขาก็ยังมาถูกคนสุดท้ายคนเดียวที่เขาเหลืออยู่หักหลังอีก เขาจึงแผดเสียงตะโกนด้วยร่างกายที่ป่วยของเขาราวกับคนสติไม่ดี
เคาน์ติสหันกลับมา ก่อนจะพูดทิ้งท้าย
“ก็นะ ในตอนที่ยังมีพวกเขาอยู่ คุณก็ควรจะทำดีกับคนรอบข้างสิคะ ไม่ใช่หลังจากเป็นอัมพาตครึ่งซีกน่ะค่ะ พอสูญเสียครอบครัวไปหมดแบบนี้ คุณเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปบ้างหรือยังคะ”
เคาน์ติสคิดว่าคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่านเคานต์
คนที่เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมดก็คือเขา หากเพียงแค่เขาทำดีกับเธอและอาเรียตั้งแต่แรกที่พวกเธอเข้ามาในตระกูลเคานต์ เรื่องพวกนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้น
ถึงชาติกำเนิดของพวกเธอจะต้อยต่ำ แต่ไหนๆ ตอนนี้พวกเธอก็มาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็สนิทกันเข้าไว้นะ ถ้าเขาปลอบโยนแบบนั้นกับลูกๆ ของเขา เขาก็คงไม่ต้องมาเผชิญหายนะแบบนี้
ทว่าเขาก็ยังดูถูกเคาน์ติสที่ไม่ได้มีชาติกำเนิดหรูหราโดยไม่รู้ตัว และไม่ห้ามปราบพฤติกรรมไร้มารยาทของเคนและมิเอล สุดท้ายทุกคนในบ้านก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะทำเช่นนั้น
ท่านเคานต์ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวหลังจากที่เธอออกไป มันสายเกินไปสำหรับเขาแล้วที่จะมานั่งนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเอาตอนนี้
“เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป! ขอร้องล่ะ! ขอร้อง…! ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไว้เลย! เรื่องทั้งหมดนั่นฉันผิดเอง…!”
ในห้องอันว่างเปล่าไร้ผู้คนนี้ มีเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญของท่านเคานต์ยังคงดังก้องไปทั่ว
* * *
การหย่าร้างของเคาน์ติสทำให้อาเรียและเคาน์ติสย้ายออก เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ในคฤหาสน์ของท่านเคานต์ที่มีแต่ความทรงจำอันเลวร้ายต่อไปอีกแล้ว
แม้จะเล็กกว่าคฤหาสน์ของท่านเคานต์ แต่คฤหาสน์หลังงามนั้นก็สร้างขึ้นด้วยเงินของท่านเคานต์ และกลายเป็นที่อยู่ใหม่อันอบอุ่นของพวกเธอ
เครื่องประดับอันล้ำค่าที่ประดับประดาอยู่ทั่วหลังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าของบ้านเป็นคนที่ร่ำรวยมากขนาดไหน
อาเรียที่ใช้ห้องบนชั้น 3 ของคฤหาสน์กำลังรีบเตรียมตัวออกไปข้างนอกเพื่อไปงานสำคัญ ส่วนแอนนี่ที่ช่วยเธอแต่งตัวอยู่ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณหนูจะพาคนรับใช้ของบ้านท่านเคานต์มาด้วยทั้งหมด ดิฉันไม่รู้จะขอบคุณคุณหนูอย่างไรเลยจริงๆ ค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะ แถมยังได้ค่าจ้างเยอะกว่ามากๆ ทุกคนมีความสุขสุดๆ เลยค่ะ”
เจสซี่พูดเสริม และแอนนี่ก็เห็นด้วยกับเธอ
“คฤหาสน์ของท่านอื่นๆ ที่ก่อกบฏต่างก็อยู่ในความวุ่นวายทั้งนั้น มีก็แต่พวกเรานะคะที่อยู่กันครบถ้วนสมบูรณ์แม้กระทั่งเหล่าคนรับใช้น่ะค่ะ!”
อาเรียตอบกลับราวกับว่าเธอเหนื่อยที่จะฟัง เมื่อแอนนี่ดูดีอกดีใจที่เธอเลือกข้างถูก
“แอนนี่ ฉันฟังเรื่องนั้นมาเป็นสิบรอบแล้ว ถ้าได้ฟังอีกก็จะครบร้อยรอบแล้วนะ”
“แหม ก็ดิฉันมีความสุขมากเลยนี่คะคุณหนู! พวกนั้นน่ะอยู่ต่อหน้าคุณหนูกับคุณหญิงก็ทำเป็นเงียบนะคะ แต่พอลับหลังก็พูดเอะอะกันให้ว่อนเลยค่ะ! ว่าคุณหนูและคุณหญิงช่างเป็นแม่พระจริงๆ น่ะค่ะ!”
มุมปากของอาเรียยกขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ฉายา ‘หญิงชั่ว’ ที่อยู่กับเธอมานานราวกับเป็นเงาตามตัว บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็น ‘แม่พระ’ อย่างสมบูรณ์แบบตามหลังอาเรีย และแม้กระทั่งคุณแม่ของเธอที่พาบรรดาคนรับใช้ทุกคนมาด้วยก็เช่นเดียวกัน
สายตาของอาเรียหยุดอยู่ที่นาฬิกาทรายในตู้วางของด้านในสุด นาฬิกาทรายที่ในตอนแรกถูกใช้เพื่อสาดน้ำและหัวเราะเยาะใส่มิเอล แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอไม่ได้ใช้มันแล้ว
และจุดนั้นเองในตอนที่เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข
ตอนที่เธอเริ่มใช้ชีวิตที่ได้รับความรักจากอาซ ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ได้รับความเคารพจากใครสักคน โดยที่เธอไม่ต้องใช้นาฬิกาทรายเพื่อย้อนกลับไปในอดีต
‘ถ้าชีวิตดำเนินต่อไปอย่างไม่ต้องใช้นาฬิกาทรายแบบนี้ได้ตลอดไปล่ะก็…’
อาเรียนึกหวังเช่นนั้นแล้วพูดกับแอนนี่
“ถ้าคุณแม่ได้ยินที่เธอพูด ท่านคงดีใจน่าดูเลย”
“จริงหรือคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันไปพูดให้ท่านฟังสักรอบดูดีไหมคะ”
“เอาสิ ถ้าเธอแกล้งทำเป็นเดินผ่าน แล้วพูดให้ท่านได้ยิน ท่านคงจะเขินหน้าแดงเลยล่ะ”
เพราะไม่เคยมีใครพูดแบบนั้นกับท่านมาก่อนในชีวิตน่ะสิ จากโสเภณีกลายมาเป็นแม่พระอย่างนั้นหรือ ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวเลยไม่ใช่หรือนี่ เธอคิดเช่นนั้นแล้วหัวเราะ ก่อนจะได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง
“คุณหนูคะ รถม้าพร้อมแล้วค่ะ”
เธอแต่งตัวให้โดดเด่นหรูหรามากไม่ได้ เพราะมันเป็นสถานที่ที่คนจะถูกประหาร เธอจึงพยายามสวมเครื่องประดับให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอเธอส่องกระจกแล้ว เธอก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพราะเธอจะต้องไปเจออาซที่เธอไม่ได้พบเขามานาน เนื่องจากเขางานยุ่ง
ตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอไม่ใช่สิ่งเดียวที่เธอสามารถยืดอกอย่างภาคภูมิใจได้ก็จริง แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันสนุกดีที่ได้เห็นนัยน์ตาของอาซที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นรูปโฉมอันงดงามของเธอ เธอจึงคิดอยากจะแต่งองค์ทรงเครื่องให้มากกว่านี้อีกนิดหน่อย
“ให้ดิฉันไปเอาเครื่องประดับผมมาดีไหมคะ”
“…ก็ได้”
เจสซี่อ่านสีหน้าของอาเรียอย่างรวดเร็ว แล้วรีบไปหยิบมงกุฎประดับเพชรชิ้นเล็กมาทันที และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยถูกใจมันเท่าไรนัก แต่อาเรียก็แต่งตัวเสร็จ แล้วเจสซี่ก็บอกว่าเธอดูดีกว่าเมื่อกี้
“ไม่เรียบไปหน่อยหรือ”
เคาน์ติสที่รออาเรียอยู่ที่ชั้น 1 พูดกับเธอ ไม่สิ คารินพูดกับเธอ
‘คาริน’ คือชื่อจริงของเธอที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ชื่อ ‘แอปเปิล’ ที่คนรอบข้างเรียกกันตามอำเภอใจสมัยที่เป็นโสเภณี
เธอกลับมาใช้ชื่อ ‘คาริน’ ชื่อจริงของเธอหลังจากออกมาอยู่คนเดียว และตอนนี้เธอก็แต่งตัวราวกับกำลังจะไปงานเลี้ยงฉลอง
“…ท่านแม่เถอะค่ะ นี่กำลังจะไปงานปาร์ตี้ที่ไหนหรือคะ”
เธอหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ ก่อนจะตอบคำถามของอาเรีย
“ถ้าไม่ใช่ปาร์ตี้แล้วมันเรียกว่าอะไรล่ะ”
“ก็จริงค่ะ”
ใช่แล้วล่ะ เพราะเธอกำลังไปในที่ที่ไอซิสจะร้องไห้คร่ำครวญและจากไป คนที่เธอเคยพลิกนาฬิกาทรายกลับไปเพื่อคุยด้วยในตอนที่เจอกันครั้งแรก
ไอซิสคงจะถูกตัดหัวอย่างน่าอนาถและน่าขยะแขยงจนทนดูไม่ได้เหมือนกับตัวเธอในอดีต
อาเรียจินตนาการดังนั้นแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถม้ากับคารินไป รถม้าคันหรูหราและเลิศเลอที่ไม่อาจคิดได้ว่าเป็นรถม้าที่คนธรรมดาทั่วไปจะขึ้นมานั่งได้นั้น วิ่งมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากคฤหาสน์ตั้งอยู่ใกล้กับย่านใจกลางเมือง จึงมาถึงลานกว้างในเวลาไม่นานนัก ยังพอมีเวลาเหลือก่อนงานจะเริ่ม แต่ฝูงชนก็หลั่งไหลเข้ามาดูรถม้าคันหรูที่ไม่มีตราประทับปรากฏตัวขึ้น และต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบ
“ตายจริง นั่นท่านอาเรียตัวจริงเสียงจริงเลยไม่ใช่หรือ!”
“ฉันก็คิดๆ ไว้อยู่ว่าถ้ามาที่นี่ก็อาจจะได้เจอตัวจริง แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะมาที่นี่จริงๆ น่ะ!”
“เธอช่างงดงามอะไรปานนั้น…!”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้เธอเป็นสามัญชนแล้ว”
“พูดเรื่องอะไรกัน เธอสนิทกับเจ้าชายเสียขนาดนั้น เธอจะเป็นสามัญชนไปอีกไม่นานเท่านั้นล่ะ! เดี๋ยวเธอก็จะขึ้นกลายเป็นเจ้าหญิงแล้ว!”
และเมื่อเธอลงจากรถม้า เหล่าฝูงชนที่ดูอยู่ก็ไม่อาจเก็บซ่อนความประทับใจไว้ได้และส่งเสียงดังขึ้นเหมือนกับพวกเขาเดาไว้อย่างถูกต้อง อาเรียโบกมือทักทายราวกับเธอรู้สึกสนุกไปกับมัน และเสียงของพวกเขาก็ดังขึ้นกว่าเดิมจนเธอรู้สึกแสบแก้วหู
“เด็กคนนี้นี่จริงๆ เลย”
คารินหัวเราะคิกคักโดยใช้พัดปิดบังริมฝีปากของเธอไว้ และในตอนที่เธอกำลังจะเดินตามเหล่าอัศวินที่มารอรับอยู่ไปนั่นเอง
“มาแล้วหรือครับ กำลังรออยู่เลยนะครับ เลดี้ทำให้กษัตริย์ของอาณาจักรต้องรอได้อย่างไรกัน”
อาเรียหันหน้าไปตามเสียงที่คุ้นเคย แล้วเธอก็เห็นโรฮันกำลังยืนยิ้มอยู่
“…ท่านโรฮัน ไม่ได้กลับโครอาไปแล้วหรือคะ”
“วันสำคัญๆ แบบนี้ มีหรือฉันจะไม่มา”
โรฮันตอบกลับไปเช่นนั้น แต่เขาเผยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายราวกับมีแผนอะไรบางอย่างอยู่
และแล้ว
“…โคลอี”
คารินที่ยืนอยู่ข้างๆ อาเรียพึมพำด้วยสีหน้าตกใจ พลางมองไปยังด้านหลังของโรฮัน
โคลอีอย่างนั้นหรือ ชื่อนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ…
อาเรียจึงมองตามคารินไป แล้วเธอก็ตัวแข็งทื่อเป็นหินราวกับเวลาได้หยุดเดินไปชั่วขณะ
เขาดูงดงามมากเสียจนรู้สึกประทับใจ
ทำไมกัน
ทำไมถึงได้มีคนที่ดูเหมือนกับตัวฉันขนาดนั้นอยู่ด้วย
……………………………………………