ชายคนนั้นเป็นบุตรของมาร์ควิสเปียสต์และไวโอเล็ตที่ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในราชวงศ์กษัตริย์อย่างนั้นหรือ… ไอซิสที่ได้ฟังคำอธิบายจนถึงตรงนั้นเองก็นึกข่าวลือเกี่ยวกับโคลอีขึ้นมาได้
เธอนึกไม่ค่อยออกเท่าไรนัก เพราะเรื่องมันก็นานมากแล้ว แต่เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าหญิงจากอาณาจักรโครอามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวและได้ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง หญิงคนนั้นก็เลยถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรพร้อมกับบุตรของเธอ
ไอซิสพยายามตั้งสติ พลางกะพริบตาที่สั่นระริกของเธอ
‘…หมายความว่าไวโอเล็ตที่เคยแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรในอดีตเป็นชู้กับมาร์ควิสเปียสต์แห่งอาณาจักรโครอา แล้วเด็กที่ทั้งสองให้กำเนิดออกมาก็คือโคลอีผู้เป็นพ่อแท้ๆ ของอาเรีย… ซึ่งเป็นขุนนางชายอย่างนั้นหรือ’
ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง อาเรียที่กลายเป็นสามัญชนเพราะตระกูลโรสเซนต์หายตัวไปด้วยข้อหากบฏนั้น… จะขึ้นกลายเป็นเลดี้แห่งตระกูลมาร์ควิสเปียสต์ตามสายเลือดของพ่อเธอ เพราะเธอยังไม่ได้แต่งงาน
ต่างจากตัวเธอที่… ได้รับชัยชนะมาตลอดในฐานะที่เป็นบุตรีคนโตของตระกูลท่านดยุก แต่แล้วกลับต้องมาตกนรกเพราะเจ้าชาย
ตุ้บ
หัวใจของไอซิสหล่นวูบลงไปในทันที
ทว่าในขณะเดียวกันเธอก็นึกสงสัย ทำไมกัน เขามั่นใจว่าเธอเป็นเลือดเนื้อเชื้อสายของมาร์ควิสเปียสต์ได้อย่างไรกัน
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรแม่ของอาเรียก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากโสเภณีชั้นต่ำ หญิงชั่วที่ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนไปกับชายนับไม่ถ้วน เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับคู่นอนคนเดียวนี่
“ท่านมั่นใจในสายเลือดของหญิงสาวที่โสเภณีเป็นคนคลอดออกมาได้อย่างไรกันคะ…!”
พอเธอถามออกไปเช่นนั้น โรฮันก็มองไอซิสด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเวทนา ก่อนจะตอบกลับ
“ดูแค่หน้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ขนาดหมาเดินผ่าน แล้วมองแวบเดียวมันยังรู้ได้ทันทีเลยไม่ใช่หรือไง ก็นะ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็มีวิธีอื่นอยู่ เธอไม่รู้เพราะอาซไม่เคยเชิญเธอไปราชวัง แถมยังมองเธออย่างเกลียดชังอีก แต่วิธีที่จะตัดสินว่าใครเป็นเชื้อพระวงศ์น่ะง่ายมากเลยล่ะ”
“…นะ นั่นคือวิธีแบบไหนหรือคะ!
“อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับที่ต้องปิดบังอะไรขนาดนั้น ฉันจะบอกเธอก็ได้ ที่ราชวังน่ะมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่ผู้ที่สืบทอดสายเลือดของราชวงศ์หรือผู้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ผ่านการสมรสเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เรื่องนั้นเธอก็รู้สินะ แน่นอนว่าเด็กที่เกิดจากผู้ที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นเดียวกัน ว่ากันว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถนำออกไปนอกบ่อได้ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากจักรพรรดิน่ะ”
“…หมายความว่านังนั่นเข้าไปที่บ่อน้ำนั่นแล้วหรือคะ…”
“นังนั่นอย่างนั้นหรือ… ใช้คำให้มันดีๆ หน่อย เธอยังตั้งสติไม่ได้อีกหรือไง”
“ทะ ท่านเชื่อเรื่องงมงายไร้สาระพรรค์นั้นได้อย่างไร…! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านโรฮันผู้เป็นกษัตริย์ของต่างอาณาจักรรู้เรื่องแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ!”
โรฮันพูดพร้อมกับถอนหายใจกับท่าทีโต้ตอบของไอซิสที่เธอไม่ยอมเชื่ออะไรสักอย่าง
“เธอยังสัมผัสไม่ได้อีกหรือ ว่าฉันสนิทกับอัสเทอโรพีขนาดไหนน่ะ ตอนนั้นอาซอายุได้ประมาณสิบขวบหรือเปล่านะ ตอนที่อาซเกือบถูกพวกขุนนางของเธอคร่าชีวิตไป เขาก็เลยมาซ่อนตัวอยู่ที่โครอาอยู่หลายปี แน่นอนว่าต้องขอบคุณเขาล่ะ ฉันเลยได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์”
เกือบจะถูกพรรคขุนนางคร่าชีวิตไปอย่างนั้นหรือ… ไอซิสเบิกตาโพลง เพราะเธอเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แม้เธอจะเป็นสมาชิกของพรรคขุนนางเองก็ตาม
และพอพูดถึงตรงนั้น โรฮันก็ปิดปากของเขาราวกับเขาทำพลาดไป และเขาก็แอบกระซิบด้วยเสียงเบามากๆ พลางสังเกตท่าทีของอาซที่กำลังลองนึกภาพจุดจบของไอซิสที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
“เรื่องนี้มีแค่ฉันและท่านพ่อที่เสียไปแล้วเท่านั้นที่รู้นะ แต่พวกราชวงศ์ที่ตกอยู่ในยามคับขันจะแสดงพลังแปลกๆ ให้เห็นด้วยล่ะ เธอก็คงเคยได้ยินมาบ้างสินะ”
ไอซิสเบิกตากว้าง เขารู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นความลับ แต่ก็ดูเหมือนเขาจะสนุกกับการได้แกล้งไอซิส จากนั้นเขาก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ความสามารถของอาซที่มิเอลเอาแต่พูดยืนกรานไม่หยุดน่ะ ความสามารถที่จู่ๆ ก็หายตัวไปได้ มันน่าอัศจรรย์ใจสุดๆ เลยล่ะ นั่นน่ะเป็นความสามารถที่สืบทอดต่อกันมาในเชื้อพระวงศ์จริงๆ นะ อัสเทอโรพีที่อายุเพียงสิบขวบจะข้ามมาโครอาทั้งที่สภาพเกือบตายแบบนั้นได้อย่างไรกัน เขาใช้ความสามารถเดินทางข้ามอวกาศมายังไงล่ะ”
ไอซิสถามกลับอย่างตะกุกตะกักหลังจากได้ฟังคำสารภาพลับๆ ของเขา
“นะ นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมคะ…”
“ฉันจะมาล้อเล่นอะไรเอาตอนนี้ล่ะ แค่บอกความจริงที่เธอไม่รู้ให้ฟังก่อนตาย เวลาก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว แต่ตอนที่จู่ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมากลางสวน ฉันตกใจสุดๆ เลยล่ะ ฉันก็เลยรู้เรื่องนั้นเข้า คิดๆ ดูแล้ว พวกเธอน่ะ มีส่วนอย่างมากในการทำให้ความสามารถของอาซแสดงออกมานะ ซึ่งมันเป็นพลังที่ปรากฏให้เห็นในแค่ไม่กี่ราชวงศ์ และแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันน่ะ”
นั่นมันเรื่องจริงหรือ… มิเอลไม่ได้พูดออกมาเพราะเสียสติไปแล้วอย่างนั้นหรือ… หรือถ้าไม่อย่างนั้นแม้แต่โรฮันเองก็เสียสติไปแล้วเหมือนกัน ถ้ายังไม่ใช่อีก หรือว่าเขาแค่ล้อเล่นกัน…
ตาของไอซิสกลอกไปทั่วอย่างจับจุดไม่ได้ สมองของเธอเองก็เช่นกัน ริมฝีปากของเธอสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรจะรับคำพูดของโรฮันเข้ามาอย่างไรดี
“ลองคิดดูสิ ที่ผ่านมา พวกเธอเรียกร้องมากเกินไปและดูถูกสารพัดขนาดนั้น แต่อัสเทอโรพีก็จัดการทั้งหมดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยไม่ใช่หรือไง แล้วเธอคิดว่าพวกเขารักษาอำนาจกษัตริย์และอาณาจักรมาเป็นเวลานานแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ เธอคิดว่าพวกที่หน้ามืดตามัวหลงในอำนาจเหมือนกับเธอ มีแค่คนหรือสองคนอย่างนั้นหรือ เธอไม่คิดหรือว่ามันเป็นเพราะตอนที่ภัยเริ่มใกล้เข้ามา พลังมหัศจรรย์ก็จะเผยออกมาน่ะ”
คำพูดของโรฮันฟังดูน่าเชื่อถือ เธอคิดว่าเจ้าชายทำไม่ได้แน่ๆ และโยนงานตามพื้นที่เขตชายแดนมากมายให้เจ้าชาย เพื่อจะได้ดูถูกเขา
ทว่าเจ้าชายก็จัดการงานทุกอย่างได้อย่างอัศจรรย์ แม้กระทั่งไปลงพื้นที่มาด้วยตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเขาไม่มีพลังเคลื่อนย้ายผ่านอวกาศจริงๆ เธอยังจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดว่าความจริงแล้วเจ้าชายมีสองคน
ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องจริง…!
แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่โรฮันก็อธิบายให้เธอมีแต่จะต้องเชื่อเท่านั้น ไอซิสมองโรฮันด้วยความตกใจจนแทบจะเป็นลม โรฮันอ่านความหวังภายในนัยน์ตาของเธอที่สื่อออกมาว่าได้โปรดบอกทีว่ามันเป็นเรื่องโกหก แล้วหัวเราะเยาะ ก่อนจะพูดปิดท้าย
“ก็นะ ตอนนี้เรื่องจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก ชีวิตของเธอน่ะ เดี๋ยวก็จะตายแล้ว ส่วนอัสเทอโรพีก็จะจัดการพวกเธอ แล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนเลดี้อาเรียก็จะขึ้นเป็นเจ้าหญิง เขาจะรักษาสันติภาพกับอาณาจักรใกล้เคียงที่สุดเอาไว้อย่างเป็นระยะเวลานาน และทิ้งผลงานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการจัดการกับพวกคนชั่วที่กล้ามาท้าทายอำนาจกษัตริย์ไว้เบื้องหลังล่ะนะ”
โรฮันทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น หันกลับไปด้วยสีหน้าสดใสราวกับว่าไม่มีความอึดอัดอยู่ภายในใจอีกต่อไป คนที่เหลืออยู่ตรงนั้นมีเพียงไอซิสที่ได้รับรู้ความจริงอันเหลือเชื่อและถูกทิ้งไว้อย่างน่าสมเพชเวทนา
สายตาอันอ้างว้างของเธอมองก้มลงไปที่พื้น
ไอซิสรู้สึกว่าอาเรียขัดลูกตาเธอและดูถูกว่าเธอชั้นต่ำสารพัด ทว่าสุดท้ายคนที่ครองแสงสว่างทั้งหมดของโลกนี้ก็คืออาเรีย และเจ้าชายที่ตัดสินใจจะทำให้เธอต้องเสียใจภายหลังก็ได้รับเกียรติยศชื่อเสียงในท้ายที่สุด
และสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับไอซิสที่คิดมาตลอดว่าทั้งหมดนั่นเป็นของเธอ ก็มีเพียงแค่ความสิ้นหวังเท่านั้น
แท่นตัดหัวประหารชีวิตที่วางอยู่ตรงกลางลานจัตุรัสเข้ามาในสายตาเธอ แม้ว่ายังเหลือเวลาอีกสักพักกว่าเธอจะถูกพิพากษา แต่เธอก็ทำสีหน้าราวกับคอของเธอถูกตัดด้วยแท่นตัดหัวที่วางอยู่ตรงหน้าเธอไปเสียแล้ว
* * *
“ฉันจะประกาศคำพิพากษาของเธอ เพราะตอนนี้เวลาเราก็ล่าช้าไปแล้ว”
ทันทีที่โรหันจากไป ขุนนางที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดความล่าช้าก็แสร้งทำเป็นรีบร้อน
ในมือของเขามีกระดาษที่ค่อนข้างยาวอยู่แผ่นหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสารที่มีบทลงโทษของเหล่าคนบาป
สายตาของขุนนางมองเอกสารผ่านๆ รอบหนึ่ง แล้วจึงย้อนกลับขึ้นไปดูเนื้อหาข้างบนสุดอีกครั้งหนึ่ง และค่อยๆ เดินผ่านท่ามกลางเหล่าคนบาป และที่ที่เขามายืนหยุดอยู่ก็คือไวเคานต์เมอรีอาร์ตผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่ขายเพื่อนของเขาตามการล่อลวงของวิการ์
ไวเคานต์ดูผ่อนคลายกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย เพราะเขามีความเชื่อมั่น ขุนนางมองดูท่าทีของไวเคานต์ แล้วประกาศคำพิพากษาด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฉันตัดสินให้นักโทษไวเคานต์เมอรีอาร์ตถูกตัดศีรษะ ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกยึด และถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเย็นชาไม่มีแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เสียงของขุนนางดังก้องไปทั่วลานกว้าง ทำให้ไวเคานต์ล้มพับลงไป ราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
ประหนึ่งบนใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่สื่อออกมาว่าทั้งที่เขาได้พยายามแอบฟ้องเรื่องของคนอื่น เพื่อลดโทษของตัวเองไปแล้ว แต่ทำไมถึงยังได้รับบทลงโทษแบบนี้อีก
บทลงโทษตัดหัวถูกประกาศตั้งแต่คนแรก แล้วเหล่าผู้ชมก็เริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย โดยปกติแล้วมักจะเริ่มจากการประกาศคำตัดสินโทษเบาๆ ก่อน แล้วค่อยประกาศโทษหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากเริ่มด้วยโทษประหารตัดหัวตั้งแต่แรก คนต่อๆ ไปก็คงแทบไม่มีใครได้รับความเมตตา
ไวเคานต์ถามขุนนางด้วยสายตาที่สั่นระริก ความหวาดกลัวเกาะอยู่ทั่วใบหน้าของเขา
“ละ แล้วการลดหย่อนโทษล่ะครับ…!”
“ลดหย่อนโทษอย่างนั้นหรือ”
“กระ กระผมได้ยินมาว่ามีกฎหมายของอาณาจักรเขียนไว้ว่าถ้าแอบฟ้อง จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษน่ะครับ…!”
สายตาของบรรดานักโทษจดจ่อไปที่คำว่าแอบฟ้องของไวเคานต์ เพราะเหล่านักโทษที่อยู่ตรงนี้คิดว่าพวกเขาทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือด้วยการแอบฟ้องคนอื่น
ทั้งที่แอบฟ้องไปแล้ว แต่ทำไมถึงยังโดนโทษประหารตัดหัวกัน ขุนนางถูกพวกเขาจ้องมองด้วยความหวาดกลัวและสงสัย ก่อนจะตอบกลับ
“แน่นอนว่าคุณควรจะได้รับการพิจารณา เพราะคุณได้พูดให้การและให้ข้อมูลที่สำคัญก็จริง แต่ความผิดบาปที่ไวเคานต์ก่อในตอนเริ่มแรกก็คือบังอาจไปมีส่วนร่วมในการกบฏ ซึ่งเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงมาก คงจะลดหย่อนผ่อนโทษให้ผู้ที่ทำอย่างมากสุดก็แค่แอบฟ้องไม่ได้หรอก”
ท่าทีตอบกลับของเขาดูเย็นชาราวกับจะห้ามเขาพูดอะไรใดๆ ออกมา ไวเคานต์สูดหายใจเข้าลึก
“ครับ…! มะ หมายความว่า…”
“หมายความว่าถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ ในการกบฏ ก็ไม่สามารถได้รับการลดหย่อนโทษ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คิดเสียว่าคุณจะจบลงด้วยโทษประหารตัดหัว แทนที่จะโดนฉีกแขนขาและถูกโยนให้พวกสัตว์ป่ามันกิน”
“…ฮ้ะ!”
ร่างของไวเคานต์ร่วงล้มลงบนพื้นราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ดูเหมือนว่าสติของเขาจะหลุดไปกับความเป็นจริงอันไม่น่าเชื่อ ทั้งที่คิดว่าถ้าเชื่อคำพูดของวิการ์ อย่างน้อยก็จะเลี่ยงโทษประหารตัดหัวได้แท้ๆ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน…!
ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ถ้าเป็นวิการ์ ถ้าเป็นวิการ์ที่แนะนำให้แอบฟ้องตั้งแต่ตอนแรกล่ะก็ อาจจะมีวิธีแก้ไขอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้
“กะ กรุณาเรียกท่าน วิ วิการ์ทีครับ…!”
“วิการ์ทำไมหรือ”
“ขะ เขามั่นใจว่ากระผมจะได้รับการลดโทษ…!”
เขาเค้นแรงเฮือกสุดท้ายหาวิการ์ แล้วขุนนางก็ตอบกลับ พลางหัวเราะเยาะเย้ย
“ยังจะหาวิการ์อยู่อีกหรือ คงจะไม่ได้คิดว่าเขาช่วยไวเคานต์จริงๆ หรอกใช่ไหม ความผิดบาปทั้งหมดก็ถูกพิสูจน์ด้วยการที่แต่ละคนแอบฟ้องกันเองแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ว่าอย่างไรกะอีแค่แอบฟ้องน่ะ มันไม่เพียงพอจะทำให้คุณได้รับการลดหย่อนโทษหรอกนะ ตาสว่างได้แล้วนะ ดูสิว่าใครจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากคำแนะนำของวิการ์ ทำไมคุณถึงโดนหักหลังตั้งสองครั้งกันล่ะ”
“…เป็นไปไม่ได้…!”
สิ้นสุดคำพูดของขุนนาง คนบาปหลายคนรวมถึงไวเคานต์เมอรีอาร์ตก็ทรุดตัวลงบนพื้นทันที พวกเขาได้ตั้งความหวังไว้แม้เพียงน้อยนิด แต่ก็ตาสว่างว่ามันคือกับดัก ไม่ใช่หนทางให้พวกเขารอดออกไปได้
“ฮืออ…!”
ไวเคานต์เมอรีอาร์ตที่รับรู้ความจริงว่าโดนวิการ์หลอกเข้าอีกแล้วร้องครวญครางอย่างพิลึกพิลั่น เขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับคำพิพากษาของตัวเองอีกต่อไป ราวกับว่าเขาได้สูญเสียความตั้งใจทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว
ขุนนางทอดสายตาต่ำลงมาที่เขาด้วยสายตาอันเย็นชา แล้วมองเหล่าคนบาปที่ตกตะลึงพรึงเพริดด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะเปิดปากของเขาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็คนต่อไป”
เหล่าขุนนางคนอื่นๆ ที่รออยู่ต่างเป็นกังวลและสั่นระริกไปทั้งตัว เพราะคำพิพากษาแรกสุดที่ออกมาก็คือโทษประหารตัดหัว พวกเขาแทบจะเป็นลมหมดสติกันไปหมดทุกครั้งที่ชื่อถูกขาน
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาและปากของขุนนางก็ไร้ซึ่งความปรานี เขาประกาศคำพิพากษาโทษประหารตัดหัวคนแล้วคนเล่าโดยไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม และในที่สุดเขาก็มาถึงตรงข้างหน้ามิเอล
“นักโทษมิเอล โรสเซนต์”
มิเอลที่โดนขานชื่อสะดุ้งตกใจและคว้าแขนเคนที่อยู่ข้างๆ ท่าทีตัวสั่นระริกของเธอดูน่าสงสารเหลือเกิน
มิเอลหันไปจ้องอาเรียก่อนคำตัดสินจะถูกประกาศ สีหน้าของเธอดูหวาดหวั่นว่าเธอจะโดนหักหลังเหมือนกับพวกที่โดนโทษประหารคนก่อนๆ หรือเปล่า
และแล้ว
“เนื่องจากอายุเธอยังน้อยและไม่ได้ทำการกบฏร้ายแรงขนาดที่จะเป็นอันตรายต่ออาณาจักร ฉะนั้นฉันขอตัดสินให้เธอถูกจำคุก 50 ปี”
จำคุก 50 ปีอย่างนั้นหรือ โทษนั้นเบากว่าโทษประหารตัดหัวก็จริง แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกันถ้าเธอออกมาจากคุกไม่ได้ทั้งชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นมิเอลที่ถูกขังอยู่ในคุกแม้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอก็ได้รู้ว่าเธอคงจะทนอยู่ในนั้นได้ไม่ถึง 50 ปี
คุกที่แม้แต่ตอนเป็นขุนนางยังลำบาก แล้วจะให้ไปอยู่ในนั้นหลังจากกลายเป็นสามัญชนอย่างนั้นหรือ เธอคิดว่าไม่ใช่แค่ร่างเธอที่จะเน่าเปื่อยเท่านั้น แต่สภาพจิตใจเธอคงจะย่อยยับและกลายเป็นบ้าไปเลยแน่ๆ ให้เธอตายคงจะดีเสียกว่า
ไหนบอกว่าจะช่วยฉันไง! ไหนบอกว่าจะช่วยฉันไง! แล้วทำไมถึงให้ฉันไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก 50 ปีกัน! อย่าบอกนะว่าเธอพยายามแสร้งเป็นแม่พระใจบุญด้วยการที่แค่ให้ฉันมีชีวิตอยู่น่ะ!
มิเอลหันไปทางอาเรียและพยายามจะสาปส่งเธอด้วยความโกรธแค้นที่ไล่ต้อนตัวเองลงไปยังนรก แต่ขุนนางก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน ราวกับยังมีเรื่องจะพูดต่ออีก ก่อนจะเปิดปากของเขาอีกครั้งหนึ่ง
“อย่างไรก็ตามคำร้องขอของผู้ยื่นคำร้องและเนื้อหาคำร้องนั้นถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และเราจะให้ข้อยกเว้น ในกรณีที่เธอไปกับบุคคลที่ยื่นคำร้องพร้อมกับรับการคุ้มครองและเฝ้าจับตาดูจากบุคคลนั้น เธอจะสามารถออกไปจากคุกได้ ในกรณีที่เธอพยายามหลบหนี เธอจะโดนประหารชีวิตทันที”
“…!”
นั่นมัน… หมายความว่าอะไรกัน มิเอลไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด ยกเว้นที่บอกว่าเธอสามารถออกไปจากคุกได้ เธอมองไปที่เคนผู้เป็นพี่ชายของตัวเอง เพื่อร้องขอคำตอบ รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเคนที่มีสีหน้าแข็งกระด้างมาตลอด
“ท่านพี่… นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันคะ…”
“ดูเหมือนว่าอาเรียจะช่วยเธอตามที่สัญญากันไว้นะ หมายความว่าถ้าไปอยู่กับเธอ มิเอลก็จะออกจากคุกไปได้ ถ้าเพียงแค่เธอตามติดอยู่ข้างๆ อาเรีย เธอก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานเหมือนที่ผ่านมาไงล่ะ”
เคนตอบเช่นนั้น แล้วเบนสายตาไปยังอาเรีย เคนแสดงความขอบคุณต่ออาเรียอย่างไม่รู้จบ
จริงหรือ หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ เธอไม่ได้หักหลังฉันเหมือนวิการ์ แต่เธอช่วยฉันจริงๆ น่ะหรือ…
“คนที่ยื่นคำร้องต้องเป็นท่านอาเรียแน่ๆ”
“คุณพระคุณเจ้า เธอช่างมีเมตตากรุณาเหลือเกิน”
“แต่เธอไปทำดีกับหญิงชั่วขนาดนั้น มันจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือคะ”
“ไม่รู้สินะคะ แหม แต่ไม่ใช่ว่าท่านอาเรียจะทำให้เธอกลายเป็นคนขึ้นมาหรือคะ”
เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูอยู่คาดเดากันไปต่างๆ นานา พลางล้อกันสนุกปาก ส่วนบรรดานักโทษคนอื่นๆ ต่างก็พากันอิจฉามิเอล
หลังจากตรวจดูสถานการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว มิเอลก็เกือบจะไม่เข้าใจสถานการณ์เพราะความหัวช้าของเธอ และในตอนที่เธอหันไปมองอาเรียผู้ช่วยชีวิตเธอนั้นเอง
ใบหน้าของอาเรียที่ยิ้มอย่างสดใสเหมือนกับว่าเธอพึงพอใจนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ปราศจากเจตนาร้ายใดๆ
…ทำไมฉันถึงได้พยายามทำร้ายหญิงผู้แสนดีขนาดนี้กัน!
น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในตาทั้งสองข้างของมิเอล น้ำตาหยาดใสเม็ดอุ่นแห่งความดีใจและเสียใจ มันเป็นเสมือนกับความหวังดีที่อาเรียมอบให้เธอ
…………………………………………