“…พี่อาเรีย!”
มิเอลทำท่าจะร้องไห้ อาเรียพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้สะบัดมือของมิเอลที่จับมือเธออยู่ออกไป และมองหาข้ารับใช้ที่พอจะช่วยมิเอลได้ เพราะหากเธอสลัดมือของมิเอลออกไปตรงนี้แล้วละก็ ทุกอย่างที่ทำมาก็จะกลายเป็นศูนย์นั่นเอง
“ดูเหมือนสภาพของมิเอลในตอนนี้จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เลยอยากจะขอให้เธอได้พักสักหน่อยค่ะ ทั้งที่ตั้งตารอเพื่อจะได้พาออกมาแท้ๆ แต่กลับไม่สบายขึ้นมาแบบนี้ เสียใจจังเลยค่ะ”
คำสารภาพที่บ่งบอกว่าอาเรียคือคนที่พามิเอล‘คนนั้น’มาที่นี่ ทำให้ความกราดเกรี้ยวหายออกไปจากนัยน์ตาของผู้ชมเล็กน้อย และแทนที่ด้วยความเห็นใจและความประทับใจต่ออาเรีย
ทำไมเธอยังสามารถโอบกอดคนที่มุ่งร้ายต่อตัวเธอได้แบบนั้นกันนะ
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
ขณะนั้นพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับทำลายความวุ่นวายลง
ทั้งที่งานแต่งงานของเจ้านายถูกเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดีแท้ๆ แต่จู่ๆ กลับเกิดเรื่องที่ไม่น่าดูขึ้นเสียได้ หน้าตาของพ่อบ้านแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจกับเหตุการณ์นี้
“เอ่อ…ดูเหมือนมิเอลจะไม่สบายน่ะค่ะ”
สีหน้าที่พูดออกมามีความรู้สึกเสียใจต่อการที่บรรยากาศในงานแต่งงานซึ่งเป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอถูกทำลายลง อย่างไรเสียนี่ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นโดยความไม่ได้ตั้งใจ และมันจะไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของทุกคน
เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจนี้จะหายไปในเร็วๆ นี้ โดยที่ตัวเอกของวันนี้อย่างซาร่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
“หากยังมีรถม้าเหลืออยู่ ขอดิฉันยืมจะได้หรือไม่คะ ท่าทางดิฉันจะต้องส่งตัวเธอกลับคฤหาสน์น่ะค่ะ”
หลังจากที่อาเรียเอ่ยออกมาว่าจะต้องส่งมิเอลกลับเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมากไปกว่านี้แล้ว พ่อบ้านก็โค้งตัวลงอย่างอ่อนน้อมเพื่อแสดงความสุภาพก่อนจะรีบหายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับรอให้อาเรียพูดคำนั้นออกมา
“ทราบแล้วครับ กระผมจะรีบไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้ครับ กรุณารอสักครู่นะครับ”
“มิเอล รอแป๊บนึงนะจ๊ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยของอาเรีย มิเอลที่หลับตาแน่นเพื่อหลบสายตาของทุกคนก็พยักหน้าลง แม้ว่าท่าทางขอเธอจะดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก แต่เพราะการกระทำที่ผ่านของเธอมันหนักหนาไม่ใช่น้อย จึงไม่มีใครรู้สึกเห็นใจเลยสักคน
พ่อบ้านปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งพร้อมกับรถม้า รถม้าที่เขานำมาด้วยนั้นเป็นรถม้าอย่างดีที่เตรียมไว้สำหรับแขกของคฤหาสน์
รถม้าที่มีไว้ให้ชนชั้นสูงใช้มิใช่สามัญชน
แม้ในตอนนี้นั่นจะเป็นรถม้าที่มิเอลไม่คู่ควรก็ตาม แต่ดูเหมือนมันจะถูกเตรียมมาแบบนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติอาเรีย
“ขอบคุณค่ะ”
อาเรียประทับใจกับการตัดสินใจของพ่อบ้าน เธอกล่าวขอบคุณออกมาสั้นๆ และประคองมิเอลให้ขึ้นไปนั่งในรถม้า
“มิเอล พอถึงคฤหาสน์แล้วก็พักผ่อนนะ บอกพ่อบ้านให้ช่วยเรียกหมอมาดูอาการด้วยล่ะ เข้าใจใช่ไหมจ๊ะ”
แม้มิเอลจะขอให้เรียกหมอมาให้ แต่ก็คงไม่มีใครทำตามที่เธอขอแน่นอน แม้จะรู้เรื่องนั้นแต่อาเรียก็ไม่พูดอะไรเป็นพิเศษและปิดประตูรถม้าลง พอทำแบบนั้นแล้วยิ่งดูเศร้าขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือไงกันนะ
หลังจากนั้นรถม้าก็ออกตัวราวกับรอเวลานี้อยู่ ในที่สุดเมื่อนางมารร้ายที่แท้จริงหายตัวไปแล้ว คฤหาสน์ของมาร์ควิสวินเซนต์ก็กลายเป็นที่แห่งการอวยพรอย่างสมบูรณ์ และเสียงหัวเราะอันสดใสก็ค่อยๆ เริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง
“มิเอลจะต้องปลอดภัย…”
อาเรียพูดออกมาด้วยนำเสียงเป็นกังวล อาซจึงเอามือโอบไหล่เธอและปลอบว่าอย่าเป็นกังวลไป แม้ความจริงเขาเองก็รู้ว่าอาเรียไม่ได้เป็นห่วงมิเอลเลยแม้แต่น้อย
“คงจะตกใจน่ะครับ อย่างไรเธอก็เป็นคนที่อยู่ในคุกแย่ๆ นั่นได้โดยไม่เกิดโรคร้ายอะไร ผมแน่ใจว่าเธอจะไม่เป็นอะไรแน่นอน เพราะฉะนั้นอย่ากังวลไปเลยนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็โล่งอกค่ะ…”
“ใช่แล้วค่ะเลดี้ ยิ่งกว่านั้นเลดี้ควรไปพบมาร์เชอเนสได้แล้วนะคะ! เธอคงรอจนคอตกอยู่แน่ๆ เลยค่ะ“
และเช่นเดียวกัน แอนนี่ที่รู้ว่าอาเรียไม่ได้เป็นห่วงมิเอลเลยนั้น ก็เปลี่ยนเรื่องเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศขึ้นมา
“อย่างนั้นหรือ ซาร่าคงคอยที่จะได้เจอฉันแย่เลยสินะ”
“แน่นอนค่ะ! ก็คนที่สนิทกับมาร์เชอเนสมากที่สุดคือเลดี้นี่คะ! “
เนื่องจากอาเรียเองก็ไม่อยากแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับมิเอลอีกต่อไปแล้ว เธอจึงเลือกงับเหยื่อที่แอนนี่โยนมาในทันทีและเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะไม่ใช่อย่างนั้น แต่มาร์เชอเนสได้บอกเอาไว้ว่าหากเลดี้อาเรียมาถึงให้แจ้งเธอด้วยน่ะครับ กระผมจะนำทางให้เดี๋ยวนี้เลยนะครับ”
แม้แต่พ่อบ้านเองก็พูดเข้าข้างอาเรียขึ้นมา ทำให้เหตุการณ์ที่มิเอลตัวสั่นหน้าซีดสลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ และถูกแทนที่ไปด้วยความประทับใจในแต่ก้าวที่ดวงดาวแห่งราชอาณาจักรว่าที่จักรพรรดินีในอนาคตได้ย่างก้าวไป
***
“อาเรีย! “
“ซาร่า…! “
ซาร่าต้อนรับการมาของอาเรียด้วยใบหน้าปลาบปลื้มยินดี
เพราะอาเรียมาช้ากว่ากำหนดการ ซาร่าจึงรีบหันตัวมาอย่างรวดเร็ว ราวกับกังวลว่าคงไม่ได้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับอาเรียจนไม่สามารถมาร่วมงานได้หรอกใช่ไหม
พอเห็นว่าอาเรียปลอดภัย ความโล่งใจก็แผ่ซ่านออกมาทางแววตาของซาร่า
“ยินดีกับการแต่งงานด้วยนะคะ ช่างงดงามอะไรเช่นนี้คะเนี่ย”
อาเรียมองดูซาร่าและพูดออกมาด้วยความจริงใจ
ซาร่าสวมชุดเดรสหรูหราสง่างามเหมาะสมกับตำแหน่งนายผู้หญิงของมาร์ควิสที่มีเพียงหนึ่งเดียวในราชอาณาจักร เธอดูสมบูรณ์แบบราวกับเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เหลือเพียงแค่สวมรัดเกล้าบนศีรษะเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะ เลดี้อุตส่าห์ชมออกมาแบบนั้น ดิฉันทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ”
“ต่อจากนี้ไปเห็นทีดิฉันคงต้องเรียกว่ามาร์เชอเนสแล้วสินะคะ”
“ดิฉันคงจะเศร้าใจอยู่หน่อยๆ นะคะ ถ้าเลดี้อาเรียเรียกดิฉันแบบนั้น เพราะอย่างนั้นแล้วดิฉันอยากให้เลดี้เรียกดิฉันว่าซาร่าเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอดมากกว่าค่ะ”
ทั้งที่ปกติแล้วผู้คนมักจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาได้ครองตำแหน่งที่เกินกว่าฐานะตัวเองแท้ๆ
แต่ซาร่าที่จะได้เป็นมาร์เชอเนสเพียงหนึ่งเดียวในราชอาณาจักรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กลับมีแววตาที่บริสุทธิ์และซื่อตรงไม่ต่างจากวันแรกที่ได้พบกันเลย
แม้ก่อนหน้านี้อาเรียจะปรากฏตัวออกมาและเล่นละครไล่ต้อนมิเอลสู่ปากเหวก็ตาม แต่แววตาของซาร่าที่มองดูการกระทำนั้นของเธอ ไม่มีแม้แต่ความสงสัยหรือข้อกังขาใดๆ แฝงอยู่เลย
เธอภาวนาให้ซาร่าไม่รู้ถึงแผนการในครั้งนี้จนถึงที่สุด และจ้องดวงตาคู่นั้นอยู่พักหนึ่ง แต่จู่ๆ ซาร่าก็ยิ้มกว้างขึ้นมาและพูดว่า
“จะว่าไปแล้ว ดิฉันมีเรื่องอยากให้เลดี้อาเรียช่วยหน่อยค่ะ”
“ดิฉันหรือคะ”
“ค่ะ และมันก็เป็นเรื่องที่ดิฉันอยากจะทำในงานแต่งงานของเลดี้อาเรียด้วยค่ะ”
ซาร่าชี้ไปยังรัดเกล้าที่วางอยู่ข้างๆ พลางพูดออกมา
จากนั้นสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ ยกรัดเกล้าขึ้นมาอย่างระมัดระวังและเอามันไปไว้ตรงหน้าอาเรีย
“ดิฉันอยากให้เลดี้ช่วยสวมรัดเกล้านี้ลงบนหัวของดิฉันให้หน่อยค่ะ”
“…ดิฉันงั้นหรือคะ”
“ค่ะ ที่จริงแล้วดิฉันอยากจะคิดและเลือกทุกอย่างตั้งแต่ชุดที่จะใส่ให้เข้ากับเลดี้นะคะ แต่ว่าเราทั้งคู่ต่างยุ่งกันมากๆ เลยไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ฉะนั้นแล้วดิฉันเลยอยากให้เลดี้ช่วยสวมรัดเกล้าที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการแต่งตัวของดิฉันในวันนี้ให้หน่อยค่ะ ด้วยมือของเลดี้ค่ะ”
“แต่ว่านี่มัน…”
การสวมรัดเกล้าลงบนศีรษะของเจ้าสาวนั้น ปกติแล้วมักจะให้มารดาเป็นคนสวมให้กับบุตรสาว ส่วนคนสนิทก็จะช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับกันไป แต่ไม่ใช่การสวมรัดเกล้า
ดังนั้นอาเรียจึงลังเลใจ ก่อนที่ซาร่าจะเริ่มเร่งเธอว่าไม่มีเวลาแล้ว
“เร็วเข้าสิคะ หากเป็นอย่างนี้เดี๋ยวพิธีจะช้าออกไปได้นะคะ”
ทั้งที่เวลาไม่ได้กระชั้นชิดเข้ามาเสียหน่อย แม้เมื่อครู่จะเกิดความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นในงานแต่งงานที่ซาร่าทุ่มเทเตรียมการไว้ แต่ซาร่าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นอาเรียจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับรัดเกล้าด้วยความระมัดระวัง อัญมณีเลอค่าที่ถูกสลักอย่างถี่แน่น ให้ความรู้สึกหนักเอาการกว่าที่ตาเห็น เหมือนกับนิสัยของซาร่าที่หนักแน่นต่างจากรูปลักษณ์ภายนอก
เมื่ออาเรียนำรัดเกล้าขึ้นไปวางบนศีรษะของซาร่าอย่างช้าๆ ซาร่าก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเอื้อให้อาเรียวางมันได้อย่างสะดวก
หลังจากวางรัดเกล้าลงบนมวยผมที่ม้วนขึ้นอย่างประณีตสวยงามแล้ว เหล่าสาวใช้ก็เข้ามาทำให้รัดเกล้าติดแน่นขึ้นราวกับรอเวลานี้อยู่ เพราะมีความเชื่อกันว่าหากรัดเกล้าร่วงลงมา นั่นหมายถึงลางร้ายนั่นเอง
รัดเกล้าอันหรูหราที่มองผ่านๆ ดูเหมือนจะไม่เข้ากับใบหน้างามแบบเรียบง่ายของซาร่านั้น กลับดูเข้ากับซาร่ามากกว่าที่คิด
“ขอบคุณนะคะ ดูเหมือนงานแต่งงานในวันนี้จะสามารถลุล่วงไปได้ด้วยดีเลยค่ะ”
เหตุใดซาร่าถึงชื่นชอบและเชื่อใจเธอได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลงแบบนั้นกันนะ
แม้ว่าต่อจากนี้เธอไม่จำเป็นต้องหลอกใช้ซาร่าอีกแล้วก็ตาม แต่พอนึกถึงเรื่องที่เธอเข้าหาซาร่าด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรกขึ้นมา อาเรียก็ยกมือขึ้นมาทาบอก ความรู้สึกเจ็บแปลบๆ แล่นเข้ามา
ซาร่าที่ไม่รู้ถึงเรื่องนั้นยังคงมองอาเรียด้วยสายตาอันซื่อตรง และถ่ายทอดแววตาแห่งความเชื่อใจให้กับเธอ
“…ซาร่า ซาร่าคือเพื่อนคนสำคัญของดิฉันนะคะ ทั้งชั่วชีวิตของดิฉันเลยค่ะ”
เพื่อนคนสำคัญที่หาไม่ได้อีกแล้วชั่วชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบัน แม้จะเป็นคนพูดที่กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่นั่นคือความจริงใจของอาเรีย
“ดิฉันก็เช่นกันค่ะ”
ซาร่าพยักหน้าอย่างอ่อนโยนให้กับสีหน้าจริงใจของอาเรีย และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใสเช่นเคย
***
งานแต่งงานของซาร่าหรูหราอลังการสมกับที่เป็นงานแต่งงานของมาร์ควิสเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชอาณาจักร บรรดาแขกเหรื่อก็ดูหรูหราน่าประทับใจเป็นอย่างมาก แม้แต่องค์จักรพรรดิที่มักจะเก็บตัวและหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกก็ยังมาปรากฏในงานอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อพิธีเริ่มขึ้นอาเรียก็เฝ้ามองซาร่าและมาร์ควิสวินเซนต์ทำการแลกแหวนที่แม้จะดูอยู่ไกลๆ ก็รู้ว่าเป็นแหวนที่มีขนาดและความงามที่ไม่ธรรมดา เธอจับมืออาซที่นั่งอยู่ข้างๆ และพูดออกมาเบาๆ
“ดิฉันชอบสีน้ำเงินค่ะ”
“…ครับ”
อาซย้อนถามกลับไปราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอก็พูดว่าชอบสีน้ำเงินขึ้นมา ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมเพิ่มแรงเข้าไปในมือของตัวเองที่ถูกจับไว้ด้วยมือของอาเรีย
“หมายถึงแหวนค่ะ ดิฉันอยากให้มันเป็นสีน้ำเงินเหมือนกับดวงตาของคุณอาซค่ะ ทุกคนคงจะอิจฉากันถ้วนใช่ไหมล่ะคะ”
หลังจากอาเรียขยายความให้ชัดเจนขึ้น อาซก็หยุดหายใจไปชั่วขณะและจ้องกลับไปที่อาเรียเมื่อได้รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
อาเรียที่เฝ้าดูงานแต่งงานของซาร่ากำลังพูดถึงงานแต่งงานในอนาคตของเธอและอาซนั่นเอง อย่างนั้นแล้วจะไม่ให้เขามองว่าเธอน่ารักได้อย่างไรเล่า
ความน่ารักที่ไม่สามารถรับมือได้ ทำเอาอาซหูแดงขึ้นมา เขาพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“งั้นผมจะเตรียมเป็นสีน้ำเงินที่งดงามที่สุดในโลกมาให้นะครับ”
แววตาของเขามองดูน่าลุ่มหลง
อาเรียจ้องมองดวงตาคู่นั้น เธอกระซิบเบาๆ ข้างหูอาซราวกับจะเล่าความลับอะไรบางอย่างให้เขาฟัง
“ถ้าอย่างนั้นดวงตาของคุณอาซก็คงต้องหายไปข้างหนึ่งน่ะสิคะ”
เสียงใสๆ ของอาเรียให้ความรู้สึกจั๊กจี้ที่ใบหู ดวงตาของอาซสั่นไหวเล็กน้อยในเวลาสั้นๆ เพียงเสี้ยววิและตอบช้าออกไปเล็กน้อย
“…ถ้าอย่างนั้น ผมควักดวงตาให้เลดี้ดีไหมครับ”
“ถ้ายังมีเหลืออยู่ นั่นก็ถือว่าไม่เลวนะคะ”
ตาของอาซโค้งลงอย่างนุ่มนวลเมื่อได้เห็นอาเรียหัวเราะออกมาเบาๆ นั่นเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขยิ่งกว่ามาร์ควิสวินเซนต์ที่กำลังต้อนรับเจ้าสาวจริงๆ เสียอีก
“ถึงจะไม่มีเหลืออยู่ผมก็จะพลิกทั้งแผ่นดินเพื่อหามาให้ได้ครับ”
“ดิฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอนะคะ เพราะต่อจากนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วนี่คะ”
อย่างที่อาเรียพูด เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันครบรอบวันเกิดปีที่สิบแปดของอาเรียแล้ว ซึ่งมันอาจจะมาถึงในระหว่างที่ต้องจัดการเรื่องของมิเอลและทำให้ราชอาณาจักรเกิดความสงบสุขก็เป็นได้
สีหน้าของอาซเปลี่ยนไปโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อได้ยินว่าวันที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยมานานแสนนานใกล้จะมาถึง เขากลืนน้ำลายพร้อมสีหน้าที่ดูประหม่าเล็กน้อย
“…อยู่ๆ ผมก็ร้อนใจขึ้นมาน่ะครับ”
การได้เห็นเขาตอบสนองและมีสีหน้าเปลี่ยนไปในแต่ละคำที่ตัวเองพูดออกมาทำให้อาเรียรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก
อาเรียยกมือป้องปากและหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้สีหน้าของอาซที่ดูเหมือนคนงอแงอยากจะออกไปจากที่นี่เสียตั้งแต่ตอนนี้เพื่อจะได้รีบเตรียมจัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้น เธอแตะไปที่ติ่งหูสีแดงของอาซอย่างแผ่วเบาและพูดออกมาว่า
“ดิฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ ฉะนั้นแล้วอย่ากังวลไปเลยนะคะ”
ในเมื่อคนรักของเธอเป็นถึงองค์รัชทายาทของราชอาณาจักรแล้วเธอจะกล้าหนีไปที่ไหนได้อีกเล่า
ไม่สิ เธอไม่คิดจะหนีไปจากอาซตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาและซาร่าถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่เข้ามาในชีวิตอาเรีย
แทนที่จะทำให้เขาสงบลงได้แต่ท่าทางของอาเรียกลับเป็นการกระตุ้นเขาไปเสียได้ อาซพูดด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจและหรี่ตาเรียวเล็กลง เขาเอามือโอบเอวอาเรียและโน้มตัวเธอเข้ามาทั้งอย่างนั้น ก่อนจะจูบแก้มของเธอเข้า
“…คุณอาซ! “
อาเรียตกใจ เธอเอามือปิดแก้มของตัวเองไว้และเรียกชื่ออาซออกมาเบาๆ แม้พวกเขาจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรก็เป็นที่จับตามองของทุกคนอยู่แล้วแท้ๆ แต่นี่เขากลับทำเรื่องแบบนี้!
ทว่าอาซกลับทำเหมือนไม่สนใจในสายตาของคนอื่น
“อยากให้งานแต่งงานของมาร์ควิสจบลงไวๆ จังเลยครับ”
“…หากพิธีจบลง ดิฉันก็ต้องกลับไปที่คฤหาสน์อยู่ดีค่ะ”
อาเรียปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวต่อถ้อยคำที่คล้ายจะชวนให้ไปที่ไหนด้วยกันหลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้นลง
“แป๊บเดียวก็ไม่ได้เลยหรือครับ”
“คุณอาซอาจจะได้เห็นไปแล้วเมื่อกี้นี้…แต่ดิฉันยังมีเรื่องต้องสะสางอยู่อีกค่ะ”
เธอต้องสะสางมันก่อนที่ความโกรธแค้นของมิเอลจะหายไป
เหตุใดคนรักของเขาถึงได้ยุ่งขนาดนี้กันนะ แววตาของอาซเต็มไปด้วยความน้อยใจและเสียดายที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้หมด และอาเรียที่อ่านสายตาคู่นั้นของเขาออก ก็หันไปมองรอบข้างอยู่พักหนึ่ง
แล้วเธอก็ได้เห็นบรรดาสายตาที่แอบเหล่มองมาอย่างระมัดระวังเพราะไม่กล้าจ้องมององค์รัชทายาทและอาเรียตรงๆ ได้
และเนื่องจากเธอไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างกล้าหาญเหมือนอาซทั้งๆ ที่รู้ถึงสถานการณ์รอบตัวเช่นนี้ เธอจึงยกพัดขึ้นมาบดบังสายตาของผู้คนและแสร้งทำเหมือนว่าพูดกระซิบกระซาบ ก่อนจะจูบแก้มของอาซอย่างแผ่วเบา
“ดิฉันชอบผู้ชายที่รู้จักรอค่ะ”
“…! “
ในเมื่อเธอทำถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะพูดอะไรได้อีกกันเล่า
สุดท้ายอาซก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เขาเอามือกุมหน้าผากและถอดหายใจลึกๆ เป็นการปิดท้าย
……………………………………………