* * *
ก่อนที่อาเรียจะเดินออกจากคฤหาสน์ เธอได้มองลงไปยังรถม้าผ่านหน้าต่างในห้องโถง
รถม้าที่ถูกส่งมาเพื่อรับอาเรียในวันนี้ เป็นรถที่เต็มไปด้วยสีสันงดงาม ประดับประดาไปด้วยดอกทิวลิปและเพชรพลอย
ร่างกายที่ถูกประดับไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์สะท้อนกับแสงแดดอันอบอุ่นและเปล่งประกายออกมา ราวกับแสงสว่างนั้นกำลังอวยพรให้แก่อนาคตของอาเรีย
ณ เวลานี้ หากเธอพาตัวเองขึ้นรถม้าและออกเดินทาง เธออาจจะไม่สามารถกลับมายังคฤหาสน์ของคารินได้อีกต่อไป สัมภาระที่สำคัญทั้งหมดได้ถูกส่งไปในวังล่วงหน้าแล้ว เหล่าข้ารับใช้ที่เธอเลือกให้ตามไป ก็มีกำหนดเข้าวังพร้อมกับเธอในวันนี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะกลับมายังคฤหาสน์นี้อีก
“เลดี้…”
“พูดอะไรของเธอเนี่ย ตอนนี้อาเรียคือพระชายาแล้วนะ ไม่ใช่เลดี้ของพวกเธอแล้ว”
“……ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจากนี้ไป เลดี้จะไม่ได้กลับมาที่คฤหาสน์นี้แล้ว……!”
“เลดี้คะ…! ดิฉันหวังว่าเลดี้จะได้ใช้ชีวิตในวังอย่างสุขสบายนะคะ!”
“ฉันอยู่ได้สบายแน่นอน”
“โปรดอย่าลืมพวกเรานะคะ!”
คฤหาสน์ที่ไร้เจ้าของบ้านอาศัย มักจะถูกเทียบว่าเป็นราวกับสวนสวรรค์บนดิน แต่ทว่าเหล่าข้ารับใช้ในคฤหาสน์แห่งนี้กลับโศกเศร้าและหลั่งน้ำตาให้กับการจากลาของอาเรีย
ย้อนไปในครั้งที่อาเรียเข้ามาในคฤหาสน์ท่านเคานต์ครั้งแรก พวกเขาด่าทอเธออย่างหยาบคาย แต่ในเวลานี้ พวกเขากลับเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่มีอาเรีย ราวกับพวกเขาไม่เคยเป็นดั่งเช่นก่อนหน้านี้
และนั่นไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาอันสั้น ในอดีตไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่เด็กๆ ตามท้องถนน ต่างก็ด่าทออาเรียด้วยเช่นกัน แต่ในตอนนี้ เธอกลับเป็นผู้ที่ได้รับความรักจากทุกคนจนเป็นอะไรที่ดูย้อนแย้งไปหมด
‘……ฉันแค่เปลี่ยนท่าทีภายนอกเท่านั้นเอง’
ซึ่งภายในใจของเธอก็ยังคงคิดเพียงแค่จะเติมเต็มผลประโยชน์ของตนเช่นเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองแล้ว อาเรียไม่สนว่าเธอจะใช้ทางเลือกหรือวิธีการใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งมอบความตายให้แก่ผู้ที่ทำให้เธอเสียผลประโยชน์อีกด้วย
แต่เมื่อกลับมาคิดในตอนนี้ คงไม่ใช่แค่อาเรียเท่านั้น แต่ทุกคนก็คงทำเฉกเช่นเดียวกันกับเธอ เหล่าข้ารับใช้ก็รู้สึกดีไม่ใช่หรือ หากเจ้านายสนใจเพียงแค่ตนเท่านั้น ดังนั้น เธอจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่เห็นแก่ตัว เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อความสุขของตัวเธอเอง
แน่นอนว่าอาเรียไม่ได้คิดเรื่องความรู้สึกผิดหรือสำนึกผิดเช่นนี้มานานมากแล้ว เพียงแค่จู่ๆ เธอก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“แล้วเจอกันที่ปราสาทนะคะ”
ก่อนที่อาเรียจะออกจากคฤหาสน์ไป เธอหันไปพูดกับครอบครัวของเธอ เนื่องจากคนอื่นๆ ในตระกูลมาร์ควิสแห่งเปียสต์ก็ต้องนั่งรถม้าตามหลังเธอไปด้วยเช่นกัน
รถม้าของอาเรียที่เพียบพร้อมไปด้วยเหล่าอัศวินขี่ม้าขาวทั่วบริเวณหน้าและหลัง จะต้องวนรอบเมืองหลวงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมุ่งเข้าสู่วังซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงาน จากนั้นจึงตามด้วยขบวนรถม้าของตระกูลมาร์ควิสแห่งเปียสต์
และในขั้นตอนถัดไป นั่นก็คืออาเรียลงมาจากรถม้า และอาซจะเป็นคนต้อนรับเธอ
“…จ้ะ”
แม้จะเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องเหมาะสม แต่สีหน้าของไวโอเล็ตที่ตอบกลับมานั้น ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว
ด้วยเหตุนี้ คารินจึงเอื้อมไปจับมือของไวโอเล็ตเพื่อปลอบใจเธอ
“แม้ตอนนี้เราจะนั่งรถม้าแยกกัน แต่เมื่อถึงวังแล้ว พวกเราก็จะได้พบกันอีกนะคะ อีกอย่าง อาเรียก็พูดไว้แล้วว่าเธอจะมาเยี่ยมเราบ่อยๆ ดังนั้น พวกเรามารออาเรียกันอย่างมีความสุขกันนะคะ นำไปก่อนได้เลยอาเรีย”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูไปก่อนนะคะ”
สถานการณ์ที่แม้จะอวยพรให้มากเพียงใด แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอ ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการทำลายบรรยากาศเช่นนี้ อาเรียจึงตอบตกลงและกล่าวอำลาอย่างสุภาพและสง่างาม
แต่ถึงกระนั้น ไวโอเล็ตก็ไม่สามารถลบล้างสีหน้าอันโดดเดี่ยวเช่นนั้นได้ เธอจึงหมุนตัวกลับไปก่อนที่บรรยากาศจะเศร้าหมองยิ่งไปกว่านี้ เหล่าข้ารับใช้เปิดประตูคฤหาสน์ให้แก่ไวโอเล็ตราวกับรอเวลานี้อยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลาขึ้นรถม้า
อาเรียกำลังจะก้าวขาขึ้นรถม้า แต่ทว่า
“คุณอาซ……”
ทำไมอาซที่ต้องไปพบในวังถึงมาอยู่หน้าประตูคฤหาสน์นี้ได้ อาเรียประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอจ้องมองอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งเมื่ออาซที่ต้องรอพบเธอกลับมาอยู่ที่ตรงนี้ ราวกับประหลาดใจว่าที่เห็นอาซอยู่ตรงนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
อาซที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาว นั่นยิ่งทำให้อาเรียรู้สึกราวกับว่าไม่ใช่ความจริง
“ผมมารับคุณครับ พระชายาที่แสนน่ารักของผม”
จากนั้น อาซก็ยื่นมือมาหาอาเรีย เป็นนัยๆ ว่าให้เธอจับมือเขา
เหล่าข้ารับใช้ที่รวมตัวกันเพื่อมาส่งอาเรียต่างก็แสดงปฏิกิริยาต่างๆ ไม่ว่าจะหน้าแดงหรือเอามือปิดปากตนเอง สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยภาพที่พวกเขาจะไม่สามารถพบได้อีก
“……ต้องอยากจะเจอกันมากขนาดไหนกันนะ”
คารินพูดกับตัวเองอย่างเบาๆ เพื่อไม่ให้ใครได้ยินสิ่งที่เธอพูด เป้าหมายของเขามันชัดเจนมาตั้งแต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่อาซมาเยี่ยมคฤหาสน์โดยใช้เครื่องประดับเป็นข้ออ้างให้ตัวเขาเอง
ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียกเธอว่า ‘พระชายาแสนรักของผม’ ด้วยงั้นหรือ
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะมี’กำหนดการ’พิธีแต่งงานในวันนี้จริง แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จพิธีเลย ดังนั้น นี่อาจจะเร็วไปที่จะเรียกอาเรียดังเช่นนั้นก่อนเวลาอันสมควร
อย่างไรก็ตาม หากคารินติเตียนอาซในเรื่องนี้ไป เขาก็คงหาสารพัดเหตุผลมาอ้างว่าเขามีสิทธิ์พอที่จะเรียกอาเรียว่าพระชายา
อีกทั้ง คงไม่มีใครมานั่งติเรื่องพฤติกรรมอันเกินควรของอาซด้วยเช่นกัน เนื่องจากนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้เห็นอาเรียถูกเรียกเช่นนั้น
“……คุณอาซ”
อาเรียที่กำลังหน้าแดงจากการเรียกชื่อของอาซ แม้อาซจะเรียกเธอด้วยชื่ออันน่าเขินอาย แต่เธอไม่ได้ดูรังเกียจที่อาซทำเช่นนั้น
ไม่สิ ดูเหมือนอาเรียอยากจะแสดงความรู้สึกดีใจออกมาด้วยซ้ำ เพียงแต่เธอไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไร จึงทำได้เพียงแค่เรียกชื่ออาซออกมาแทน
“จับมือผมสิครับ”
ด้วยการเร่งเร้าของอาซ อาเรียค่อยๆ จับมือของเขา อาซออกแรงจับมือของอาเรีย ดูเหมือนเขากำลังตื่นเต้นอยู่ ผิดต่างไปจากคำพูดที่ดูสงบนิ่งเป็นธรรมชาติเสียเหลือเกิน
แต่ถึงกระนั้น อาซก็ไม่แสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาให้ใครเห็น เขาเดินออกจากคฤหาสน์พร้อมอาเรียและเข้าไปในรถม้า อาจเพราะเป็นรถม้าที่ทำขึ้นเพื่อให้พระชายาของเจ้าชายประทับ ภายในจึงถูกตกแต่งอย่างประณีตทั้งภายนอกและภายใน
ในขณะที่ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ที่รองด้วยเบาะนุ่ม รถม้าก็เริ่มออกเดินทางราวกับรอช่วงเวลานี้มานาน โดยค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อให้อาเรียได้ชมทิวทัศน์ภายนอก แต่เป็นการแจ้งให้ประชาราษฎร์ในอาณาจักรแห่งนี้ได้ทราบถึงการแต่งตั้งพระชายาของเจ้าชาย
เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนไปอย่างช้าๆ อาเรียได้มองไปยังเหล่าข้ารับใช้ในคฤหาสน์ที่โค้งคำนับให้เธออย่างพร้อมเพรียงกันอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อภาพที่เธอกำลังมองได้ลับตาไป เธอจึงหันสายตามายังอาซแทน
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ คุณต้องไปรอในวังไม่ใช่เหรอคะ”
“…เพราะผมอยากพบพระชายาของผมเร็วๆ น่ะครับ ครั้งก่อนเลดี้เล่นไล่ผมกลับอย่างไม่ปรานีเลยนี่ครับ”
“แต่ถึงเป็นเช่นนั้น คุณจะข้ามขั้นตอนในพิธีเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรล่ะคะ”
ที่ผ่านมา อาเรียตั้งใจเรียนมาก เธอเรียนรู้อย่างหนัก เพื่อเติมเต็มความรู้ของเธอทั้งเช้าจรดเย็น เพราะเธอกลัวคนอื่นจะมาหัวเราะเยาะหากว่าเธอกระทำผิดแม้แต่กับเรื่องเล็กน้อย
แต่การที่อาซฝ่าฝืนขั้นตอนได้ง่ายเช่นนี้ มันทำให้อาเรียรู้สึกว่าเธอจะขยันเรียนขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน
ดังนั้น เธอจึงเริ่มติเขาไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่ดูเหมือนว่าอาซจะรู้สึกเช่นนั้นมากกว่าอาเรีย เขาจึงไม่สามารถซ่อนความรู้สึกน้อยใจได้
“สำหรับพระชายาแล้ว ขั้นตอนในพิธีสำคัญกว่า หรือตัวผมสำคัญกว่าครับ”
“…คะ”
จู่ๆ ก็มาถามคำถามอะไรกันเนี่ย
“ผมเร่งมาเพื่อให้ได้เห็นพระชายาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นนั้นแล้วขั้นตอนยังสำคัญกว่าตัวผมอีกเหรอครับ”
“แน่นอน…ว่าไม่ใช่สิคะ คุณจะไปเทียบตัวคุณกับขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้นได้ยังไงกัน”
ช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระเสียจริง อาเรียจึงรีบตอบกลับไป เมื่ออาซอารมณ์ดีขึ้น เขาจึงจับมืออาเรียขึ้นมาประกบแก้มของเขาแล้วพูดออกมา
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณจะพูดเช่นนั้นครับ”
ด้วยคำพูดของอาซ ทำให้หัวใจของอาเรียละลายหายไปพร้อมๆ กับคำบ่นของเธอ
นั่นเป็นเพราะสีหน้าและลักษณะการพูดของอาซที่ต้องการให้อาเรียหยุดคิดถึงเรื่องอื่น และคิดถึงเพียงแค่เขาเท่านั้น ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหนก็ตามแต่
ช่างน่าเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถทำให้หัวใจเธอละลายได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาเรียแสดงสีหน้าโล่งใจออกมา และจ้องมองไปยังดวงตาของอาซอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น เขาก็จุมพิตลงบนฝ่ามือของอาเรียอย่างช้าๆ
ณ เวลานั้น ไม่มีภาพคู่รักที่ต่างโหยหาในความรักเหมือนครั้งก่อน มีเพียงแค่ฝ่ามือที่ได้รับการสวมถุงมือไว้เพียงเท่านั้น การจุมพิตลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น แค่นั้นก็ทำให้อาเรียเขินจนแก้มแดงออกมา
“คะ คุณอาซ…”
อาเรียกำลังคิดว่าพวกเธอสามารถกระทำเช่นนี้ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนไปยังพิธีแต่งงานได้หรือไม่ ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนตำแหน่งจากฝ่ามือมายังข้อมือแทน แม้อาเรียจะเรียกชื่ออาซแล้วก็ตาม แต่อาซก็ยังคงไม่หยุดการกระทำอันหาญกล้าของเขา
กลับกลายเป็นว่าอาซเงยหน้าขึ้นมามองอาเรียอย่างไม่กะพริบตา และส่งสายตากลับมาราวกับว่าเขาไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด เขาไม่ได้เขินหรือหน้าแดงดั่งเช่นที่ผ่านมา ราวกับว่าเขาได้เตรียมพร้อมที่จะกระทำเช่นนี้มาแล้ว
ควรจะทำเช่นไรดี…
แม้อาเรียจะเคยเห็นผู้ชายหลายคนที่รุกเข้าหาเธอมามากมาย และรู้วิธีปฏิเสธคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่สามารถทำกับอาซได้ลง ไม่สิ เธอไม่คิดจะทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ
อาเรียจึงปล่อยให้อาซโอบรอบเอวของเธอ ราวกับเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ทว่าคนที่สามารถหยุดการกระทำเช่นนี้ของเขาได้นั้น ไม่ใช่อาเรีย แต่เป็นคนอื่น ที่พวกนั้นเขาคาดไม่ถึง
“ว้าววว”
“พระชายาทรงพระเจริญ!”
“โปรดนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรด้วยเทอญ!”
นั่นคือเสียงของผู้คนตะโกนอยู่นอกหน้าต่าง
รถม้าที่เคลื่อนตัวออกมาจากคฤหาสน์ของคาริน ได้เข้าสู่สถานที่ซึ่งแน่นไปด้วยฝูงชน ผู้ใดที่พบเห็นขบวน ต่างก็เปล่งเสียงอวยพรอาเรียกันอย่างเต็มที่
“…”
และนั่น ทำให้อาซนั่งนิ่งราวกับหิน แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาท แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยหรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อเสียงของผู้คนภายนอกรถม้านั้นได้
“…พวกเขาอุตส่าห์มาอวยพรกัน แต่ทำไมผมถึงกลับรู้สึกรำคาญขึ้นมาได้”
“พวกเขาเป็นประชาชนของอาณาจักรนะคะ คุณจะพูดเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ”
“ก็นั่นแหละครับที่ผมอยากจะพูด”
นี่ก็ถึงวันแต่งงานของเขาแล้ว ทำไมกันล่ะ ประชาชนของเขาเองถึงมารบกวนเขาด้วย แม้อาซอยากจะพูดเช่นนั้นออกไป แต่เขาเลือกที่จะยืดตัวตรงและหันหน้าไปยังอาเรีย
อาเรียเฝ้าดูการกระทำของอาซอย่างนิ่งๆ พร้อมสงสัยว่าอะไรทำให้เขาอยากปฏิบัติเช่นนั้น อาซที่จัดเสื้อผ้าของเขาเรียบร้อยแล้วจึงหันมาถามอาเรียว่าตนขอเปิดหน้าต่างได้หรือไม่
“ผมขอเปิดหน้าต่างได้ไหมครับ การทักทายคนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เจ้าชายและพระชายาควรปฏิบัติใช่ไหมครับ”
จริงๆ แล้วอาเรียควรจะได้นั่งรถม้าไปยังวังคนเดียว แต่อาซยังจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในนี้ด้วยอีก
การที่ตนต้องมาทักทายประชาชนในอาณาจักรทั้งๆ ที่ยังรู้สึกรำคาญ คงเป็นสิ่งที่เขาลืมไม่ลงแน่ๆ แต่ก็สมกับที่เป็นเจ้าชาย
“ค่ะ เชิญเลยค่ะ”
อาเรียยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวอนุญาตอาซไป ไม่นานหน้าต่างรถม้าก็เปิดออก จากนั้นเสียงอันดังกระหึ่มก็หลั่งไหลเข้ามา
“ตายจริง! ช่างงดงามยิ่งนัก!”
“ท่านที่งดงามท่านนั้นเหรอ ที่ได้เป็นพระชายาของเจ้าชายแห่งอาณาจักรนี้!”
พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใสและเปล่งเสียงอวยพรอย่างพร้อมเพรียงกัน
เธอเป็นคนกำลังจะแต่งงานเอง แต่มันก็แปลกมากเช่นกันที่ผู้คนต่างมายินดีและอวยพรให้ เธอทำได้เพียงโบกมือพร้อมใบหน้าที่ดูเคอะเขิน
“โอ้! เธอโบกมือด้วย!”
“ดูเหมือนเจ้าชายก็อยู่ด้วยนะ!”
“เจ้าชายจงเจริญ! พระชายาจงเจริญ!”
“โปรดทำให้บ้านเมืองแห่งนี้ เป็นอาณาจักรเป็นที่น่าอยู่ด้วยเทอญ!”
อาเรียไม่สามารถซ่อนความสุขของเธอได้ราวกับเธอกำลังได้รับพรจากพระเจ้า
ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างที่เธอไม่เคยคิดมาก่อน นั่นเพราะเธอตระหนักดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเธอและอาซเพียงเท่านั้น แต่เพื่อทุกๆ คนที่เติบโตขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้
ชีวิตของผู้คนเหล่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ขึ้นอยู่กับว่าอาเรียและอาซจะตัดสินใจเช่นไร
เธอสามารถช่วยเด็กๆ เหล่านั้นซึ่งใช้ชีวิตอย่างลำบากในวัยเด็กเช่นเดียวกับเธอ หรือเธอจะเลือกไม่ทำเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าจะทำให้มันหายไปอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ แต่เธอก็คิดว่าจะทำให้ได้เท่าที่เธอยังไหว
ที่ผ่านมา การที่อาเรียลงทุนไปกับสถานศึกษาเพียงเพื่อเติมเต็มผลประโยชน์ส่วนตัวของเธอเองนั้น ตอนนี้ได้กลายมาเป็นความหวังและแสงสว่างสำหรับหลายๆ คนไปแล้ว
“คุณอาซคะ”
“ครับ”
“หากดิฉันเป็นพระชายาแล้ว ดิฉันยังสามารถทำทุกอย่างที่เคยทำมาได้ไหมคะ”
เมื่ออาเรียถามอาซเพื่อขอในสิ่งที่เขาอนุญาตให้ได้อยู่แล้ว อาซก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่เธอไม่ได้คาดการณ์ไว้
“ได้สิครับ แม้จะเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา พระชายาสามารถทำได้หมดเลยครับ”
แล้วจะให้อาเรียอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเธอมีอาซอยู่ข้างกาย ซึ่งไว้ใจเธอและเธอเองก็สามารถเชื่อใจเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องถามเลย
อาเรียสามารถเมินเฉยต่อผู้คนเหล่านี้และใช้ชีวิตอย่างยินดีปรีดาราวกับนางร้ายโง่ๆ เฉกเช่นที่เคยเป็นในอดีตก็ได้ แต่เมื่อพบกับผู้คนที่มาโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างแรงกล้าเช่นนี้เธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย
“อย่างนั้นสินะคะ”
คำตอบของอาเรียถูกกลบลงด้วยเสียงโห่ร้องยินดีไปทั่วของฝูงชน
ใช้เวลาอยู่สักพักกว่ารถม้าจะถึงวัง แต่นั่นก็ทำให้ได้รู้ว่าไม่มีที่ใดเลยที่จะไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องของผู้คน
………………….