ในพิธีแต่งงานของอาซและอาเรีย นอกจากจะมีเหล่าขุนนางชั้นสูงในอาณาจักรแล้วนั้น ยังมีเหล่าราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงจากต่างประเทศมาเข้าร่วมอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติในพิธีแต่งงานขององค์รัชทายาทที่จะได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น อาเรียยังถือว่าเป็นดวงดาวประจำอาณาจักรและขุนนางชนชั้นสูงแห่งอาณาจักรโครอา แม้แต่เหล่าขุนนางชั้นสูงแห่งโครอาที่ได้ทราบข่าวของเลดี้ตระกูลมาร์ควิสแห่งเปียสต์ ต่างก็ได้มาเข้าร่วมในพิธีนี้ด้วยเช่นกัน
พวกเขาเหล่านั้นได้นำของขวัญชิ้นใหญ่โตมากมายมามอบให้อาซและอาเรีย เพื่อหวังจะอยู่ในสายตาของทั้งสองคน ส่วนเหล่าบริวารในวังจำต้องจัดการกับของขวัญเหล่านั้นอย่างไม่ได้หยุดพักด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องปกติของการส่งจดหมายเชิญไป แล้วได้รับจดหมายตอบกลับนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาส่งของขวัญมามากเกินไปเช่นนี้ นั่นทำให้เหล่ามหาดเล็กต้องมาจัดการของขวัญเหล่านั้นกันอย่างขะมักเขม้นจนถึงเช้า
“ผมจัดการในส่วนของผมเรียบร้อยแล้ว มีอะไรให้ช่วยเพิ่มเติมไหมครับ”
“เสร็จแล้วงั้นเหรอ! สมกับเป็นฮานส์จริงๆ! ทำงานได้เร็วมาก! ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก็ขอรบกวนของพวกนี้ด้วยแล้วกันนะ!”
“รับทราบครับ!”
แม้แต่ฮานส์ที่ทำงานในวังก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ด้วยเช่นกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องไปเข้าร่วมพิธีแต่งงานกับเจสซี่ แต่อาจเพราะฮานส์อาจเป็นผู้มีความสามารถมากหรืออย่างใด ทำให้เขานั้นต้องยุ่งจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย
นั่นทำให้เขาจดจ่ออยู่กับงานที่ทำโดยไม่แสดงอาการอะไรออกมา และเจสซี่ก็ต้องมาคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างๆ อาเรีย
แน่นอนว่าการได้มานั่งปรนนิบัติดูแลพระชายาของมกุฎราชกุมารในพิธีแต่งงานเช่นนี้ มันช่างดูมีเกียรติและเป็นที่น่ายินดียิ่งนัก แต่ก็ไม่มีอะไรดีไปมากกว่าการที่จะได้อวยพรให้เจ้านายกับคนรักของเธอหรอก
อาเรียที่กำลังได้รับการแต่งหน้าแต่งตัวจากเหล่าข้ารับใช้ในวัง เธอหันไปถามเจสซี่ที่กำลังจัดทรงผมให้เธออยู่
“เจสซี่ ฮานส์ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
“…คะ”
“ฉันได้ยินมาว่าบารอนเวอร์บูมใกล้จะถึงแล้ว เลยอยากรู้ว่าฮานส์ยังไม่มาอีกเหรอ”
ดูเหมือนว่าอาเรียนั้น จะไม่รู้ว่าฮานส์กำลังทำงานอยู่ในวัง
ไม่มีใครเคยนึกมาก่อนว่าฮานส์ที่อาเรียคอยให้การสนับสนุนมาโดยตลอดจะไม่สามารถเข้าร่วมพิธีแต่งงานได้ เพราะต้องคอยไปจัดการกับพวกบรรดาเหล่าของขวัญทั้งหลาย
นั่นจึงทำให้เจสซี่ลังเลที่จะตอบออกไป
“เจสซี่”
อย่าบอกนะว่า เธอเบิกตาโต ราวกับจินตนาการอันสุดโต่งที่เธอคิดไว้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เธอจึงหันไปถามเจสซี่อย่างระมัดระวัง
“……หรือว่าคงไม่ได้เลิกกันแล้วใช่ไหม”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ! ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ……! เขาออกจะดีกับดิฉันเสียขนาดนี้”
“อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่อย่างนี้คนเดียวล่ะ เห็นแอนนี่ได้ใส่ชุดที่ฉันให้ไป และออกไปอวดโฉมกับบารอนเวอร์บูมในวังตั้งแต่เช้าแล้ว……หรือว่าชุดเดรสนั่นไม่ถูกใจเธอเหรอ”
“ไม่ใช่เลยค่ะ! ดิฉันชอบมันมากเลยค่ะ! มันไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกค่ะ……”
“แล้วเรื่องอะไรล่ะ”
ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วเรื่องอะไรกัน อาเรียถามกลับไปพร้อมกับกะพริบตาที่ยาวสลวย
ทว่าเจสซี่ไม่ก็ยังสามารถให้คำตอบได้ ในที่สุด สาวใช้คนหนึ่งสังเกตเห็นช่องว่างจึงเสนอตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่าตนขอตอบคำถามแทนได้หรือไม่
“คือว่า……พระชายาคะ หากไม่เป็นการเสียมารยาท ดิฉันขอตอบคำถามแทนได้ไหมคะ”
ดูเหมือนว่าสาวใช้จากในวังจะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ฮานส์เป็นชายสามัญชนที่มีความสามารถและได้รับการสนับสนุนจากอาเรียอย่างเต็มที่ แม้จะเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็ได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถและเป็นคนที่มีชื่อเสียง
“เธอรู้จักฮานส์อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ…. ดิฉันขออภัยที่ไปแอบได้ยินมา แต่ดิฉันหวังว่านี่อาจจะเป็นประโยชน์ได้ จึงเปิดปากพูดไปโดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตค่ะ”
อาเรียจ้องมองไปยังดวงตาของสาวใช้ที่ตอบกลับมาราวกับว่าเธอรู้สึกผิดจริงๆ นั่นเพราะว่าในสายตาของสาวคนนั้น ดูคล้ายกับแอนนี่ที่คอยเฝ้ามองหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าสาวใช้จะใช้โอกาสนี้เพื่อให้ตนอยู่ในสายตาของอาเรีย เพราะเธอได้ยินข่าวลือที่ว่าหากสาวใช้คนใดที่ได้เข้าใกล้อาเรียมักจะได้รับความกรุณาจากอาเรียเป็นอย่างดี
“…งั้นหรือ เจสซี่ยังไม่ได้ตอบฉันเลย ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยบอกได้ไหม”
ตัวอาเรียเองก็ไม่ได้เกลียดผู้คนประเภทนี้ นั่นเป็นเพราะการสร้างความสัมพันธ์และความเมตตาที่หวังผลตอบแทนมันมักจะง่ายกว่าความเมตตาที่ไร้ซึ่งผลตอบแทนนั่นเอง
ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากอาเรีย สาวใช้ก็ตอบกลับไปอย่างทันทีทันใดด้วยดวงตาอันส่องประกาย
“ค่ะ ดิฉันทราบมาว่าเขากำลังทำงานอยู่ในวังค่ะ เขากำลังจัดการกับเหล่าของขวัญที่ส่งมาเพื่ออวยพรในพิธีอภิเษกสมรสค่ะ”
“……กำลังจัดการกับของขวัญอยู่งั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันได้ยินว่าของขวัญถูกส่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ต้องระดมกำลังคนเข้าไปช่วยค่ะ”
“ตายจริง…”
ไม่คิดว่าจะได้ทำงานอยู่จริงๆ แม้จะเคยได้ยินว่าได้รับการช่วยเหลือจากที่นั่นที่นี่อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำงานอยู่จนถึงตอนนี้จนไม่อาจปิดบังความตกใจของเธอได้
“……เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ดิฉันชื่อรูบี้ เซกค่ะ”
รูบี้ เซก ดูเหมือนว่าจะเป็นบุตรสาวจากตระกูลไวเคานต์เซก หากเป็นถึงสาวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลพระชายาของมกุฎราชกุมารในวัง คงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าบุตรสาวจากครอบครัวขุนนางชั้นสูงนั้น จะได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
รูบี้ได้รับความสนใจจากอาเรียตามที่เธอหวังไว้ เธอรอประโยคต่อไปจากอาเรียด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“ดีเลย รูบี้ ช่วยไปบอกฮานส์ให้หน่อย ว่าฉันเรียกหา”
“รับทราบค่ะ พระชายา”
อีกทั้ง อาเรียยังมอบงานเพิ่มให้เธอทำต่างหากเช่นนี้ ทำให้รูบี้ออกจากคฤหาสน์ไปด้วยใบหน้าที่ดูมีความสุข
“เลดี้ กำลังตั้งใจจะทำอะไรเหรอคะ”
เจสซี่ที่เฝ้าดูเมื่อสักครู่ได้ถามอาเรียออกไปโดยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ซึ่งเธอก็รู้อยู่แล้วว่าอาเรียคิดจะทำอะไรหากเรียกฮานส์ที่กำลังยุ่งกับงานให้มาที่คฤหาสน์
“จะทำอะไรล่ะ เธอรีบไปแต่งหน้าแต่งตัวเลย เธอคงไม่ได้อยากจะเข้าร่วมพิธีแต่งงานของฉันที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ในชุดสาวรับใช้ใช่ไหม มีคนทำหน้าที่แทนเธอได้อยู่แล้วตั้งเยอะแยะ”
“…”
“อีกอย่าง ฮานส์ก็เป็นคนที่ฉันรู้จักกันมานานด้วย ฉันไม่มีความคิดที่จะถอนคำพูดตัวเองหรอกนะ ดังนั้นถ้าเธอไม่อยากให้ฮานส์ผู้น่าสงสารต้องเข้าร่วมงานคนเดียว ก็จงรีบแต่งตัวให้เร็วเลย หรือเธออยากจะไปสภาพแบบนี้ ฉันก็จะไม่ห้ามเธอเหมือนกันนะ”
ดูเหมือนเป็นการข่มขู่ แต่ความหมายโดยนัยของมันช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน และทุกคนที่ได้ยินสิ่งที่อาเรียพูดก็รับรู้ได้เช่นกัน
“เลดี้…”
“แต่ถ้าเธอจะไปสภาพนี้จริงๆ เดรสที่ฉันซื้อให้คงนอนร้องไห้อยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอแน่ๆ เลย นั่นเป็นเดรสที่ได้รับการใส่ใจในการทำขึ้นมาเลยนะ… ดีไซเนอร์จะเศร้าขนาดไหนเนี่ย น่าสงสารเสียจริงๆ เลย”
ด้วยการกระตุ้นของอาเรียที่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อให้เจสซี่รีบเตรียมตัวไปเข้าร่วมพิธีแต่งงาน ทำให้เจ้าตัวที่สองจิตสองใจ ทำตัวไม่ถูกจึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างช้าๆ
“……ขอบพระคุณมากนะคะ เลดี้”
“ขอบคุณเสร็จก็รีบไปแต่งตัวได้แล้ว”
จากนั้น เจสซี่จึงรีบวิ่งออกจากห้องไป
หลังจากที่เจสซี่ออกไป เหล่าสาวใช้ที่คอยแต่งหน้าแต่งตัวให้อาเรียก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเบาๆ และชื่นชมในจิตใจอันงดงามของอาเรีย
หลังจากนั้นไม่นาน ฮานส์ก็ได้มาถึงคฤหาสน์ตามคำสั่งที่ว่าอาเรียกำลังหาตนอยู่ เขาแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างมากว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
ในเวลานี้ ฮานส์ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปข้างในและเผชิญหน้ากับอาเรียโดยตรง เขาจึงยืนอยู่หน้าประตูและถามเธอด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
“ละ เลดี้เรียกผมเหรอครับ!”
“ใช่ ฉันเรียกเอง เธอทิ้งเจสซี่ให้อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ”
“…อะไรนะครับ”
“ในวันแบบนี้เธอยังจะทำงานอีก… ยังจำเป็นต้องจัดการพวกของขวัญอีกเหรอ พวกมันไม่เดินหนีไปไหนหรอก”
มันไม่ได้หนีไปไหนหรอก แต่ปัญหาคือมันมีมากเกินไปจึงจำเป็นต้องรีบจัดการ และนั่นจึงเป็นหน้าที่ของฮานส์อีกเช่นกัน
แต่ในขณะที่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจกำลังกังวลว่าคงจะไม่สามารถเข้าร่วมพิธีกับเจสซี่ได้ ใบหน้าของฮานส์ก็กลับยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นเมื่ออาเรียได้ตำหนิเขา
“ถ้าอย่างนั้น เหตุผลที่เรียกผม…….!”
“ตอนนี้น่าจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว ไปรับเจสซี่เสียนะ หากไม่มีรถม้า ก็ยืมของคฤหาสน์ไปใช้ได้เลย เลือกคันที่สวยที่สุดด้วยล่ะ”
“…!”
การเอาใจใส่ของอาเรีย ทำให้ฮานส์พูดอะไรไม่ออก เธอจึงตำหนิเขาอีกครั้งว่ามัวยืนทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบไปหาเจสซี่
“เจสซี่เป็นสาวใช้ที่ฉันหวงแหนที่สุดแล้ว ฉันหวังว่าเธอจะดูแลเจสซี่อย่างดีอย่างไม่บกพร่องนะ”
นอกเหนือจากความสามารถที่ได้รับการยอมรับของฮานส์และการเคยเป็นคนรู้จักกันในอดีตแล้ว สิ่งที่เป็นเหตุผลหลักๆ เลยคือฮานส์เป็นคนรักของเจสซี่
อาเรียหวังว่าฮานส์จะประสบความสำเร็จอย่างภาคภูมิใจและทำให้เจสซี่มีความสุขไปได้พร้อมๆ กัน
สำหรับอาเรียแล้ว เธอต้องการให้เจสซี่นั้นมีความสุขมากกว่าการที่ได้เห็นความสำเร็จของฮานส์ ดังนั้น หากเอาแต่มุ่งมั่นตั้งใจทำแต่งานโดยปล่อยให้เจสซี่อยู่คนเดียวแบบนี้ คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ
“ระ รับทราบครับ!”
เมื่ออาเรียได้ยินเสียงฮานส์เดินจากไปพร้อมคำตอบของเขา อาเรียได้เห็นใบหน้าของเธอในกระจกที่แสดงถึงความโล่งใจออกมา
ใบหน้าอันงดงามที่ทำให้ผู้คนหลงใหลนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม
ช่างงดงามมากเสียจนไม่มีผู้ใดมาเทียบเคียงเธอได้ และยิ่งเธอได้รับการตกแต่งใบหน้าอย่างพิถีพิถันเพื่อเข้าร่วมพิธีเช่นนี้ เธอจึงดูงามราวกับภาพวาดไม่มีผิด
‘หวังว่าเจ้าชายจะชอบนะ’
แม้ในตอนที่อาเรียจะไม่ได้แต่งหน้าดังเช่นตอนนี้ ยังเคยทำให้อาซหลงใหลจนแอบไปเขินแก้มแดงได้ แต่ในเมื่อครั้งนี้เธอได้แต่งหน้าแต่งตัวอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว เธอก็หวังว่าเขาจะชอบและแสดงออกมาให้ได้เห็นด้วยเช่นกัน
“ช่างงดงามอะไรเช่นนี้……”
“สวยราวกับนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์เลย ขนาดฉันเป็นแม่ที่ให้กำเนิดมาเอง ยังอดประทับใจไม่ได้เลยจริงๆ”
ในระหว่างนั้น คารินและไวโอเล็ตได้เข้ามายังห้องของอาเรียหลังจากที่พวกเธอเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นสัญญาณเวลาที่ต้องเตรียมออกไปแล้ว
เนื่องจากในพิธีรัดเกล้าพระชายานั้น องค์รัชทายาทจะเป็นคนสวมรัดเกล้าให้เอง ดังนั้นทรงผมของอาเรียจึงตกแต่งแค่ปิ่นปักผมพลอยเท่านั้น
โดยปกติแล้ว จะให้ผู้เป็นมารดาของเจ้าสาวเป็นคนทำให้ และเหมือนคารินจะคิดว่าตนเป็นผู้ที่เหมาะสมในช่วงเวลานั้น เธอจึงหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา
“ขออภัยด้วยนะคะท่านแม่ แต่หนูมีคนที่หนูอยากให้ปักปิ่นแล้วค่ะ”
“……อะไรนะ”
ไวโอเล็ตงั้นเหรอ คารินเลยหันไปมองไวโอเล็ต และไวโอเล็ตเองก็ตกใจ เบิกตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทั้งสองก็ยังไม่ใช้ผู้ที่จะมาปักปิ่นให้อาเรียอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้น ใครล่ะ……”
ใครกันนะที่จะมาปักปิ่นให้อาเรีย ถ้าไม่ใช่คารินและไวโอเล็ต
ดูเหมือนว่าเหล่าสาวใช้ก็สงสัยอยู่ด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างเงียบราวกับกลั้นหายใจไว้ เพื่อรอคำตอบจากอาเรีย
“เพื่อนคนสำคัญของหนูค่ะ”
แล้วตกลงคือใครกันล่ะ ดูเหมือนนั่นจะเป็นคำตอบ เมื่อ ‘เพื่อนคนสำคัญ’ ที่อาเรียเฝ้ารอนั้นมาถึงคฤหาสน์แล้ว
หากไม่รวมไวโอเล็ต เธอคนนั้นเป็นที่รู้จักในหมู่บริวารของคฤหาสน์แห่งนี้
“คุณซาร่า!“
“อาเรีย! ตายจริง ทำไมเลดี้ถึงสวยได้ขนาดนี้คะเนี่ย สวยมากเสียจนไม่กล้าอิจฉาเลยค่ะ!”
ซาร่าแสดงสีหน้าที่เหมือนอยากจะแอบซ่อนความงดงามของอาเรียเอาไว้สักแห่งหากเธอทำได้
แม้คารินรู้จะสึกหมดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็หัวเราะออกมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ที่ซาร่าเป็นคนที่จะปักปิ่นให้แก่อาเรีย
“นี่คือท่านย่าของหนูค่ะ เพิ่งได้พบกันครั้งแรกใช่ไหมคะ ส่วนนี่คือคุณซาร่า มาร์เชอเนสของมาร์ควิสวินเซนต์ เพื่อนคนสำคัญที่สุดของหนูค่ะ”
“อย่างนั้นสินะคะ เพื่อนคนสำคัญของอาเรีย… ยินดีที่ได้รู้จักนะ ดิฉันคือย่าของอาเรียค่ะ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
ซาร่าทักทายไวโอเล็ตด้วยท่าทางอันสง่างามและสุภาพอย่างไม่มีที่ติได้ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษในบรรดาขุนนางชั้นสูง
ดูเหมือนไวโอเล็ตคงจะถูกใจกิริยาท่าทางอันงดงามของซาร่าเข้าให้ เธอจึงยิ้มตอบกลับอย่างนุ่มนวลไม่เหมือนครั้นที่ยิ้มให้อาเรีย อีกทั้งซาร่ายังเป็นเพื่อนคนสำคัญของอาเรียด้วย
“คุณซาร่า หนูอยากให้ซาร่าเป็นคนปักปิ่นให้หน่อยค่ะ”
“…เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ เลดี้อาเรีย”
ในพิธีแต่งงานของซาร่า อาเรียก็เป็นผู้ที่หน้าที่นี้ให้ด้วยเช่นกัน และดูเหมือนว่าซาร่าจะจำสัญญาในครั้งนั้นได้ เธอจึงอมยิ้มพร้อมหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา
แม้มันจะเป็นเพียงการปักปิ่นลงบนผมที่ได้รับการจัดทรงเรียบร้อยแล้ว แต่ซาร่ากลัวว่าเธอจะทำให้ผมเสียทรง เธอจึงแตะต้องผมอย่างเบามือและระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แม้มันจะดูง่ายมากและผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับการรอคอยอันยาวนาน แต่นี่สามารถเป็นเครื่องยืนยันถึงมิตรภาพระหว่างอาเรียและซาร่าอีกครั้งหนึ่ง
เมื่ออาเรียเตรียมตัวในขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยืนขึ้นและตรวจดูความเรียบร้อยของชุดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งส่งสายตาอันนุ่มนวลไปยังซาร่า คารินและไวโอเล็ต
หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนาน ในที่สุด จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเติบโตจนกลายมาเป็นหญิงสาวเต็มตัว ที่ก้าวออกจากครอบครัว เป็นการจากลาครั้งสุดท้ายเพื่อก้าวไปสู่เส้นทางใหม่
เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้เลย อย่างไรก็ตาม มันคือความรู้สึกอันอบอุ่นที่ทุกคนต่างเข้าใจกันและปรารถนาให้มีแต่ความสุข
……………………