“…เมื่อกี้ก็เห็นแล้วนี่นา ฉันมีเงินเยอะนะ”
เพราะฉะนั้นไปร้านอาหารดีๆ เถอะ ได้โปรด อาซส่งสายตาเรียกร้องแต่ก็ไม่ได้ผลกับอาเรีย
“ถ้าอย่างนั้นกินเยอะได้ไหม กินสามชิ้นได้ไหม! นะ!”
ไม่สิ อาซที่กำลังจะตอบว่าไม่ได้จะหมายความอย่างนั้นสักหน่อย กลับปิดปากเงียบ
“สามชิ้นคงไม่ได้สินะ… ถึงจะมีเงินเยอะก็ตามแต่สามชิ้นคงจะไม่ไหวสินะ…”
ทั้งยังถามด้วยท่าทางเกรงใจแบบนั้น มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ เหมือนกับแมวตัวน้อยที่ตัวสั่นจากตากฝนเลย
…ใช่สิ บางทีนี่อาจจะเป็นความผิดเขาเองที่ขอให้อาเรียช่วยแนะนำให้ ร้านอาหารดีๆ ก็ค่อยไปพรุ่งนี้แล้วกัน ไม่สิ ไปเย็นนี้เลยก็ได้ อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาอีกมากนี่นา
“…กินสี่ชิ้นเลยสิ จะกินห้าชิ้นก็ได้ หกชิ้นก็ได้ กินเท่าที่อยากกินให้เต็มที่ได้เลยนะ”
“จริงเหรอ! จริงใช่ไหม!”
“ใช่สิ”
อาเรียที่กำลังร่าเริงสั่งอาหารสองชิ้นทันที และแล้วเนื้อเสียบไม้สองไม้ที่ร้านทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาอยู่ในมือของอาเรีย
“สะ.. สองชิ้นค่ะ”
เจ้าของร้านยื่นอาหารพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เนื่องจากทั้งอาซและอาเรียดูภายนอกแล้วเหมือนกับทายาทตระกูลชนชั้นสูง
แม้จะเป็นร้านที่โด่งดังในละแวกชาวบ้านแถวนี้ แต่ในสายตาของเหล่าขุนนางแล้วแค่เข้ามาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นและทำท่าทางดูแคลนร้านริมทาง กระทั่งขุนนางบางคนยังหัวเราะเยาะว่าเชื้อโรคจะแพร่กระจายคับคั่งจนเป็นโรคด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลมาก แต่แปลกที่อาเรียที่ได้รับเนื้อย่างเสียบไม้ไปกลับแสดงสีหน้าดีใจราวกับได้โลกทั้งใบเสียอย่างนั้น เป็นวันที่แปลกจริงๆ
“เอาล่ะ นี่ของอาซ!”
นึกว่าจะกินคนเดียวสองไม้ซะแล้ว อาเรียกลับยื่นไม้หนึ่งให้อาซ อาซกลืนน้ำลายพลางรีบบอกปฏิเสธ
“ฉันไม่เป็นไร”
“ทำไมล่ะ ไหนบอกว่าหิวไง”
“…….”
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่เขาไม่อยากทานอาหารแปลกๆ แบบนี้
“รีบรับไปเร็วเข้า ฉันจะได้กินด้วยอย่างไรล่ะ”
แต่ก็ไม่สามารถเมินเฉยอาเรียที่คอยชวนอยู่ตลอดแบบนี้ก็ไม่ได้ ไม่สิ หากเป็นนิสัยปกติก็สามารถเมินเฉยได้อยู่แล้ว แต่กับอาเรียกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ต่างหาก
ท้ายที่สุดอาซก็รับเนื้อเสียบไม้ย่างมาหนึ่งไม้ ดูเหมือนจะเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพเพราะมันมีน้ำหนักอยู่พอควร
“เท่าไรนะ”
“สอง.. สองซิลเวอร์ค่ะ…”
สองซิลเวอร์เนี่ยนะ ถูกจริงๆ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้เป็นราคาที่ถูก แต่อาซที่ไม่รู้เรื่องอะไรจึงหยิบเงินออกมาเพื่อชำระเงิน
เป็นเงินที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในวังหลวง ไม่แม้แต่มีติดตัวด้วยซ้ำ จึงคิดว่าทำดีแล้วที่ซื้อเสื้อผ้าก่อนเพื่อจะได้มีเงินทอนเอาไว้ใช้
“อร่อย! อร่อย! อร่อยมากเลย!”
เสียงอาเรียที่ได้ชิมเนื้อย่างเสียบไม้พูดขึ้นเสียงดัง
ด้วยใบหน้าราวกับ โลกใบนี้มีอาหารที่อร่อยขนาดนี้อยู่ด้วยจริงเหรอ เห็นว่าชอบขนาดนี้แล้วแทบจะอยากซื้อร้านให้แทนเนื้อย่างเสียบไม้เสียอีก
อร่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ
อาซยกมือขึ้นมาดมกลิ่นเนื้อเสียบไม้ย่าง ราวกับอย่างน้อยก็ลองดมกลิ่นดูก่อน บางทีอาจจะมีกลิ่นน่าอร่อยก็ได้
ทว่ากลับไม่มีกลิ่นอื่นที่แตกต่างไปจากรูปลักษณ์ภายนอก มีกลิ่นคาวออกมาจากเนื้อเสียบไม้ย่างเล็กน้อย ส่วนซอสก็ขึ้นจมูกมากเกินไป เป็นกลิ่นที่ทำให้ความอยากอาหารลดลง
“อาซไม่กินเหรอ”
“…….”
เพราะอย่างนั้นอาซที่อยู่นิ่งไม่คิดจะกินเนื้อเสียบไม้ย่าง อาเรียที่กินเสร็จเรียบร้อยไปหนึ่งไม้จึงถามอาซ
เป็นใบหน้าราวกับอยากจะกินอีกไม้หนึ่ง อาซจึงถามอาเรีย
“กินอีกไม้ไหม”
“อื้ม! กินได้อีกสองไม้เลยล่ะ!”
“งั้นก็ เอาเลย”
เจ้าของร้านที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่จึงยื่นเนื้อเสียบไม้ย่างให้อาเรียอีกไม้หนึ่ง ทันทีที่อาเรียรับเนื้อเสียบไม้ย่างก็เริ่มรับประทานอย่างมีความสุข จากนั้นอาซก็เริ่มสงสัยมากขึ้น
‘…ฮืม ลองกินดูคำหนึ่งดีไหมนะ’
เห็นว่ากินเยอะขนาดนั้นแล้ว ไม่มีทางที่ไม่อร่อยแน่นอน ผ่านเวลาพักเที่ยงไปทำให้ไม่แออัดเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีร้านที่ลูกค้าแวะเวียนเข้าไปเรื่อยๆ
หากเป็นอาหารแปลกๆอย่างที่คิดคงจะไม่มีลูกค้าเข้าไปแน่นขนาดนั้นหรอกมั้ง ท้ายสุดก็เอาชนะความสงสัยของตัวเองไม่ได้ อาซจึงกัดเนื้อเสียบไม้ย่างไปคำหนึ่ง หากไม่อร่อยก็เตรียมพร้อมจะคายมันออกมา
ทว่า
“อร่อยนี่นา”
“ใช่ไหมล่ะ”
เป็นเพราะหิวหรือเปล่านะ
ไม่สิ มันอร่อยมากเลย แน่นอนว่ามันมีกลิ่นแปลกๆ แต่พอได้ลองลิ้มรสดูแล้วก็มีซอสหวานและเผ็ด ทั้งยังมีความนุ่มของเนื้อที่เข้ากันอย่างดี
มีอาหารแบบนี้ด้วยเหรอ เขาตกใจมาก อาซที่เมื่อครู่ชิมแค่ส่วนปลาย ครั้งนี้จึงลองกัดทั้งชิ้นเข้าปาก ปกติไม่ได้เป็นคนที่รีบทานอาหารขนาดนี้นี่นา
“…อร่อยมากจริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม”
อาซที่จัดการเนื้อย่างเสียบไม้ไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่รอช้าสั่งเพิ่มอีกไม้หนึ่ง และไม่นานก็จัดการทานจนหมด ไม่สิ สองไม้ก็ยังไม่พอ เขากินเพิ่มอีกไม่หนึ่ง เมื่อกินไปทั้งหมดสามไม้จึงรู้สึกว่าเต็มท้องขึ้นมาหน่อย
และตอนนั้นเองสีหน้าเจ้าของร้านที่ประหม่าและดูไม่สบายใจได้หายไป จากนั้นจึงพูดด้วยคำพูดประจำที่ใช้กับลูกค้า
“เอาอีกไม้หนึ่งไหม”
ดีไหมนะ เอาอย่างนั้นก็ได้
ดูเหมือนว่าจะกินได้อีกสามไม้เลยด้วยซ้ำ และเมื่อจะตอบไปเช่นนั้น เขากลับเห็นร้านข้างทางอีกนับสิบร้านอยู่ในสายตาเสียอย่างนั้น พอมองดูดีๆ แล้วก็เห็นว่ากำลังขายอาหารหลากหลายชนิดอยู่
‘จะกินแค่อย่างเดียวก็ดู… แปลกๆ อยู่นะ’
หมายความว่าเขาอยากจะลองชิมอาหารหลายๆ แบบอย่างไรล่ะ
อาซจึงหันไปถามอาเรีย
“นอกจากเนื้อเสียบไม้แล้วยังมีอาหารอย่างอื่นที่อยากแนะนำอีกไหม”
“อื้ม! ตรงนี้มีอาหารที่ส่งกลิ่นน่าทานหลายอย่างเลย! เป็นที่ที่คนชอบไปบ่อยๆ”
แม้อาเรียจะไม่เคยกินจึงไม่รู้อย่างแน่ชัด แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าร้านไหนที่ได้รับความนิยมและมีกลิ่นน่าอร่อยโชยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเราทานเนื้อเสียบไม้ย่างเต็มอิ่มแล้ว ลองไปร้านอื่นกัน จะกินแค่อย่างเดียวก็เสียดาย”
“ทำแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ”
“ใช่สิ”
ทั้งหมดไม่ใช่เพื่ออาเรียแต่ตอนนี้อาซกลับอยากลองทานอาหารชนิดอื่นด้วย
ในตอนแรกกังวลเรื่องความสะอาด สุขอนามัย สภาพแวดล้อมหลายอย่าง แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เป็นเพียงแค่ร้านที่มีอาหารอร่อยๆ ละลานตา
“หวังว่าจะแนะนำไปจนถึงดีเสิร์ทเลยนะ”
“อื้ม! อื้ม! ไม่ต้องห่วง!”
ถึงจะไม่รู้ว่าดีเสิร์ทคืออะไร แต่อาเรียกลับตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับจับมืออาซ
การตระเวนร้านริมทางของอาซและอาเรียได้เริ่มขึ้นแล้ว
* * *
เนื่องจากอาซได้ตระหนักถึงรสชาติที่แท้จริงของอาหารริมทาง ทั้งสองจึงไม่ได้ใช้เวลานานนักสำหรับการตระเวนทานอาหารและเดินเล่นริมทาง
ราวกับว่ามีใครเป็นห่วงเรื่องสุขอนามัยจนไม่กล้ากินอาหารร้านริมทาง อาซจึงชิมอาหารทีละอย่างๆ ทุกร้านทั้งยังประเมินคุณภาพอีกด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนสำหรับอาเรียที่ทานหญ้าหรือขนมปังแข็งๆ เป็นอาหารหลัก แต่สำหรับอาซที่ได้ทานแต่อาหารราคาแพงและหายากในวังหลวงนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียจริง
“อืม.. เนื้อเสียบไม้ย่างที่กินร้านแรกอร่อยที่สุดล่ะ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน!”
อาเรียที่ทานอาหารทุกอย่างก็อร่อยไปเสียหมดจึงไม่สามารถประเมินได้ แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของอาซเช่นกัน
ส่วนอาซกลับใช้คำศัพท์สวยงามที่อาเรียไม่เข้าใจ บรรยายอาหารริมทางที่ราคาไม่กี่เหรียญราวกับเป็นอาหารหรูในภัตตาคาร
แม้ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจคำพูดนั้นก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่จะดูออกว่าอาซเป็นคนฉลาด อาเรียจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกระทั่งคำพูดไร้สาระของอาซ
“ตอนนี้ท้องก็อิ่มแล้ว ต้องทานดีเสิร์ทแล้วล่ะ”
“ดีเสิร์ท”
เมื่อกี้ก็ได้ยินแล้วแต่อาเรียก็ยังไม่เข้าใจว่าดีเสิร์ทคืออะไร ทันทีที่พยักหน้าอาซจึงคิดว่าเธอพอจะเดาออกได้บ้างจึงพูดตอบ
“มีที่ที่ดูไว้ระหว่างมาด้วยล่ะ ดูเหมือนจะปั่นผลไม้ใส่ในนมด้วยล่ะ แถวยากมากด้วย คงจะหมายความว่าอร่อยใช่ไหมนะ”
“อ๊ะ! ฉันว่า..เหมือนจะรู้เลยว่ามันคืออะไร! เหมือนจะรู้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน!”
แม้จะอธิบายสั้นๆ แต่อาเรียก็พูดเสียงดังทำเหมือนกับรู้ ดูท่าจะเป็นร้านดัง
“ร้านนั้นก็อยากกินมานานแล้วด้วย!”
เป็นคำตอบที่ทำให้เขาสงสัยว่ามีอาหารอะไรที่เธอไม่อยากกินไหมนะ ถึงขนาดหูชาก็ไม่แปลกใจเลย
แต่อาซกลับไม่รู้สึกเบื่อที่ได้มองอาเรียดีอกดีใจอยู่อย่างนั้น เขาหันไปสบตากับเธอพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าอย่างนั้นไปกัน”
“อื้ม!”
อาเรียยื่นมือออกไปอย่างมั่นใจและอาซก็คว้ามือเธอไว้ราวกับเป็นเรื่องปกติ
‘ไม่ใช่เวลาจะมาทำแบบนี้นะ’
ลองมาคิดดูแล้วช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง หากจะทำตัวไม่ให้สะดุดตาก็ต้องไม่ไปไหนมาไหนแบบนี้หรือเปล่านะ ผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น ยังจะเดินได้อย่างเรียบเฉยได้ขนาดนี้อีก
อย่างน้อยก็ใส่หมวกตอนนี้ดีไหมนะ อาซที่กังวลจึงหยิบหมวกขึ้นมาสวม
ไม่ใช่เวลาจะต้องมากังวลแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ขั้นชีวิต อาเรียจึงถามอาซที่จู่ๆ ก็สวมหมวกพร้อมกับเบิกตากว้าง
“หมวก”
“อืม เข้ากันไหม”
“อืม ไม่นะ…”
บอกว่าเข้ากันให้หน่อยก็ไม่ได้
สมกับเป็นอาเรียจริงๆ จึงทำให้เขาไม่โกรธ แสดงความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่โกหก ช่างน่ารักมากจนเผลอยิ้มออกมา
อาซมาถึงร้านขายเครื่องดื่มจึงสั่งนมใส่สตรอว์เบอร์รีสองแก้ว
ดูเหมือนจะเป็นเมนูที่ได้รับความนิยม ใช้เวลาเพียงไม่นานในการทำสตรอว์เบอร์รีที่บดแล้วเติมน้ำหวานและนม เด็กๆ ในละแวกนั้นมองดูพลางน้ำลายสอ
“น่าอร่อยจัง…”
“ฉันก็อยากลองทานสักครั้งเหมือนกัน…”
“ต้องอร่อยจริงๆ ใช่ไหมนะ”
‘หืม…’
ใบหน้าที่ดูคุ้นเคย
เพราะเป็นเด็กๆ ที่เขาเพิ่งได้เจอเมื่อวานอย่างไรล่ะ เด็กพวกนั้นมามุงดูและเรียกเขาที่กำลังนอนสลบเลือดไหลอยู่ว่าเป็นศพ ทั้งยังไล่ตีอาเรียเพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวโสเภณีเท่านั้น
เนื่องจากเด็กพวกนั้นยืนติดรถขายของจ้องราวกับอยากกิน ทำให้อาเรียมองเด็กพวกนั้นออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
“โอ๊ะ พวกนาย”
“เฮือก!”
แม้เธอไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งทำเป็นรู้จัก แต่ทันทีที่เธอก็เผลอชี้นิ้วไปพร้อมกับอ้าปากกว้างเด็กพวกนั้นก็ตกใจจนลืมหายใจ ราวกับสงสัยว่าทำไมบุตรจากตระกูลชนชั้นสูงถึงได้สนใจพวกเขากัน
“ขะ ขอโทษครับ!”
“คะ แค่ดูน่าอร่อยมากเลยมองเท่านั้นเองครับ! ไม่ได้มีนัยอื่นแอบแฝงเลยนะครับ!”
เด็กพวกนั้นเริ่มพูดข้ออ้างขึ้นและหลบสายตาของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ดูเหมือนเขากลัวจะถูกฆ่าหากเผลอไปสบตาเข้า
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วย ราวกับไม่มีใครคิดว่าเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นลูกสาวโสเภณีที่เคยไปดูถูกดูแคลนไว้
“ใครว่าอะไรล่ะ”
อาเรียตอบโต้อย่างไม่ใส่ใจอะไร พลางแสดงสีหน้าว่าเด็กๆ ที่ขอโทษและพูดแก้ตัวเหล่านั้นดูแปลกๆ
“เมื่อวานพวกนายก็เล่นทุบเต็มที่ขนาดนั้น ต้องขอบคุณที่ทำให้เละเทะไปหมด!”
อาเรียตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เด็กๆ พวกนั้นกลับส่ายหัวไปมาราวกับไม่เข้าใจเลยสักนิด
“คะ.. เครื่องดื่มได้แล้วครับ”
เนื่องจากอยู่ในบรรยากาศที่ไม่ดีสักเท่าไร เจ้าของร้านจึงค่อยๆ เปิดปากพูดและยื่นเครื่องดื่มให้ อาซจึงรับอย่างไม่สนใจอะไรพลางยื่นแก้วหนึ่งให้อาเรีย
………………….