พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 205 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 23)

บทที่ 205 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 23)

“…เมื่อกี้ก็เห็นแล้วนี่นา ฉันมีเงินเยอะนะ”

เพราะฉะนั้นไปร้านอาหารดีๆ เถอะ ได้โปรด อาซส่งสายตาเรียกร้องแต่ก็ไม่ได้ผลกับอาเรีย

“ถ้าอย่างนั้นกินเยอะได้ไหม กินสามชิ้นได้ไหม! นะ!”

ไม่สิ อาซที่กำลังจะตอบว่าไม่ได้จะหมายความอย่างนั้นสักหน่อย กลับปิดปากเงียบ

“สามชิ้นคงไม่ได้สินะ… ถึงจะมีเงินเยอะก็ตามแต่สามชิ้นคงจะไม่ไหวสินะ…”

ทั้งยังถามด้วยท่าทางเกรงใจแบบนั้น มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ เหมือนกับแมวตัวน้อยที่ตัวสั่นจากตากฝนเลย

…ใช่สิ บางทีนี่อาจจะเป็นความผิดเขาเองที่ขอให้อาเรียช่วยแนะนำให้ ร้านอาหารดีๆ ก็ค่อยไปพรุ่งนี้แล้วกัน ไม่สิ ไปเย็นนี้เลยก็ได้ อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาอีกมากนี่นา

“…กินสี่ชิ้นเลยสิ จะกินห้าชิ้นก็ได้ หกชิ้นก็ได้ กินเท่าที่อยากกินให้เต็มที่ได้เลยนะ”

“จริงเหรอ! จริงใช่ไหม!”

“ใช่สิ”

อาเรียที่กำลังร่าเริงสั่งอาหารสองชิ้นทันที และแล้วเนื้อเสียบไม้สองไม้ที่ร้านทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาอยู่ในมือของอาเรีย

“สะ.. สองชิ้นค่ะ”

เจ้าของร้านยื่นอาหารพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เนื่องจากทั้งอาซและอาเรียดูภายนอกแล้วเหมือนกับทายาทตระกูลชนชั้นสูง

แม้จะเป็นร้านที่โด่งดังในละแวกชาวบ้านแถวนี้ แต่ในสายตาของเหล่าขุนนางแล้วแค่เข้ามาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นและทำท่าทางดูแคลนร้านริมทาง กระทั่งขุนนางบางคนยังหัวเราะเยาะว่าเชื้อโรคจะแพร่กระจายคับคั่งจนเป็นโรคด้วยซ้ำ

ดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลมาก แต่แปลกที่อาเรียที่ได้รับเนื้อย่างเสียบไม้ไปกลับแสดงสีหน้าดีใจราวกับได้โลกทั้งใบเสียอย่างนั้น เป็นวันที่แปลกจริงๆ

“เอาล่ะ นี่ของอาซ!”

นึกว่าจะกินคนเดียวสองไม้ซะแล้ว อาเรียกลับยื่นไม้หนึ่งให้อาซ อาซกลืนน้ำลายพลางรีบบอกปฏิเสธ

“ฉันไม่เป็นไร”

“ทำไมล่ะ ไหนบอกว่าหิวไง”

“…….”

ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่เขาไม่อยากทานอาหารแปลกๆ แบบนี้

“รีบรับไปเร็วเข้า ฉันจะได้กินด้วยอย่างไรล่ะ”

แต่ก็ไม่สามารถเมินเฉยอาเรียที่คอยชวนอยู่ตลอดแบบนี้ก็ไม่ได้ ไม่สิ หากเป็นนิสัยปกติก็สามารถเมินเฉยได้อยู่แล้ว แต่กับอาเรียกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ต่างหาก

ท้ายที่สุดอาซก็รับเนื้อเสียบไม้ย่างมาหนึ่งไม้ ดูเหมือนจะเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพเพราะมันมีน้ำหนักอยู่พอควร

“เท่าไรนะ”

“สอง.. สองซิลเวอร์ค่ะ…”

สองซิลเวอร์เนี่ยนะ ถูกจริงๆ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้เป็นราคาที่ถูก แต่อาซที่ไม่รู้เรื่องอะไรจึงหยิบเงินออกมาเพื่อชำระเงิน

เป็นเงินที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในวังหลวง ไม่แม้แต่มีติดตัวด้วยซ้ำ จึงคิดว่าทำดีแล้วที่ซื้อเสื้อผ้าก่อนเพื่อจะได้มีเงินทอนเอาไว้ใช้

“อร่อย! อร่อย! อร่อยมากเลย!”

เสียงอาเรียที่ได้ชิมเนื้อย่างเสียบไม้พูดขึ้นเสียงดัง

ด้วยใบหน้าราวกับ โลกใบนี้มีอาหารที่อร่อยขนาดนี้อยู่ด้วยจริงเหรอ เห็นว่าชอบขนาดนี้แล้วแทบจะอยากซื้อร้านให้แทนเนื้อย่างเสียบไม้เสียอีก

อร่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ

อาซยกมือขึ้นมาดมกลิ่นเนื้อเสียบไม้ย่าง ราวกับอย่างน้อยก็ลองดมกลิ่นดูก่อน บางทีอาจจะมีกลิ่นน่าอร่อยก็ได้

ทว่ากลับไม่มีกลิ่นอื่นที่แตกต่างไปจากรูปลักษณ์ภายนอก มีกลิ่นคาวออกมาจากเนื้อเสียบไม้ย่างเล็กน้อย ส่วนซอสก็ขึ้นจมูกมากเกินไป เป็นกลิ่นที่ทำให้ความอยากอาหารลดลง

“อาซไม่กินเหรอ”

“…….”

เพราะอย่างนั้นอาซที่อยู่นิ่งไม่คิดจะกินเนื้อเสียบไม้ย่าง อาเรียที่กินเสร็จเรียบร้อยไปหนึ่งไม้จึงถามอาซ

เป็นใบหน้าราวกับอยากจะกินอีกไม้หนึ่ง อาซจึงถามอาเรีย

“กินอีกไม้ไหม”

“อื้ม! กินได้อีกสองไม้เลยล่ะ!”

“งั้นก็ เอาเลย”

เจ้าของร้านที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่จึงยื่นเนื้อเสียบไม้ย่างให้อาเรียอีกไม้หนึ่ง ทันทีที่อาเรียรับเนื้อเสียบไม้ย่างก็เริ่มรับประทานอย่างมีความสุข จากนั้นอาซก็เริ่มสงสัยมากขึ้น

‘…ฮืม ลองกินดูคำหนึ่งดีไหมนะ’

เห็นว่ากินเยอะขนาดนั้นแล้ว ไม่มีทางที่ไม่อร่อยแน่นอน ผ่านเวลาพักเที่ยงไปทำให้ไม่แออัดเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีร้านที่ลูกค้าแวะเวียนเข้าไปเรื่อยๆ

หากเป็นอาหารแปลกๆอย่างที่คิดคงจะไม่มีลูกค้าเข้าไปแน่นขนาดนั้นหรอกมั้ง ท้ายสุดก็เอาชนะความสงสัยของตัวเองไม่ได้ อาซจึงกัดเนื้อเสียบไม้ย่างไปคำหนึ่ง หากไม่อร่อยก็เตรียมพร้อมจะคายมันออกมา

ทว่า

“อร่อยนี่นา”

“ใช่ไหมล่ะ”

เป็นเพราะหิวหรือเปล่านะ

ไม่สิ มันอร่อยมากเลย แน่นอนว่ามันมีกลิ่นแปลกๆ แต่พอได้ลองลิ้มรสดูแล้วก็มีซอสหวานและเผ็ด ทั้งยังมีความนุ่มของเนื้อที่เข้ากันอย่างดี

มีอาหารแบบนี้ด้วยเหรอ เขาตกใจมาก อาซที่เมื่อครู่ชิมแค่ส่วนปลาย ครั้งนี้จึงลองกัดทั้งชิ้นเข้าปาก ปกติไม่ได้เป็นคนที่รีบทานอาหารขนาดนี้นี่นา

“…อร่อยมากจริงๆ”

“ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม”

อาซที่จัดการเนื้อย่างเสียบไม้ไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่รอช้าสั่งเพิ่มอีกไม้หนึ่ง และไม่นานก็จัดการทานจนหมด ไม่สิ สองไม้ก็ยังไม่พอ เขากินเพิ่มอีกไม่หนึ่ง เมื่อกินไปทั้งหมดสามไม้จึงรู้สึกว่าเต็มท้องขึ้นมาหน่อย

และตอนนั้นเองสีหน้าเจ้าของร้านที่ประหม่าและดูไม่สบายใจได้หายไป จากนั้นจึงพูดด้วยคำพูดประจำที่ใช้กับลูกค้า

“เอาอีกไม้หนึ่งไหม”

ดีไหมนะ เอาอย่างนั้นก็ได้

ดูเหมือนว่าจะกินได้อีกสามไม้เลยด้วยซ้ำ และเมื่อจะตอบไปเช่นนั้น เขากลับเห็นร้านข้างทางอีกนับสิบร้านอยู่ในสายตาเสียอย่างนั้น พอมองดูดีๆ แล้วก็เห็นว่ากำลังขายอาหารหลากหลายชนิดอยู่

‘จะกินแค่อย่างเดียวก็ดู… แปลกๆ อยู่นะ’

หมายความว่าเขาอยากจะลองชิมอาหารหลายๆ แบบอย่างไรล่ะ

อาซจึงหันไปถามอาเรีย

“นอกจากเนื้อเสียบไม้แล้วยังมีอาหารอย่างอื่นที่อยากแนะนำอีกไหม”

“อื้ม! ตรงนี้มีอาหารที่ส่งกลิ่นน่าทานหลายอย่างเลย! เป็นที่ที่คนชอบไปบ่อยๆ”

แม้อาเรียจะไม่เคยกินจึงไม่รู้อย่างแน่ชัด แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าร้านไหนที่ได้รับความนิยมและมีกลิ่นน่าอร่อยโชยออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเราทานเนื้อเสียบไม้ย่างเต็มอิ่มแล้ว ลองไปร้านอื่นกัน จะกินแค่อย่างเดียวก็เสียดาย”

“ทำแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ”

“ใช่สิ”

ทั้งหมดไม่ใช่เพื่ออาเรียแต่ตอนนี้อาซกลับอยากลองทานอาหารชนิดอื่นด้วย

ในตอนแรกกังวลเรื่องความสะอาด สุขอนามัย สภาพแวดล้อมหลายอย่าง แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เป็นเพียงแค่ร้านที่มีอาหารอร่อยๆ ละลานตา

“หวังว่าจะแนะนำไปจนถึงดีเสิร์ทเลยนะ”

“อื้ม! อื้ม! ไม่ต้องห่วง!”

ถึงจะไม่รู้ว่าดีเสิร์ทคืออะไร แต่อาเรียกลับตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับจับมืออาซ

การตระเวนร้านริมทางของอาซและอาเรียได้เริ่มขึ้นแล้ว

* * *

เนื่องจากอาซได้ตระหนักถึงรสชาติที่แท้จริงของอาหารริมทาง ทั้งสองจึงไม่ได้ใช้เวลานานนักสำหรับการตระเวนทานอาหารและเดินเล่นริมทาง

ราวกับว่ามีใครเป็นห่วงเรื่องสุขอนามัยจนไม่กล้ากินอาหารร้านริมทาง อาซจึงชิมอาหารทีละอย่างๆ ทุกร้านทั้งยังประเมินคุณภาพอีกด้วย

ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนสำหรับอาเรียที่ทานหญ้าหรือขนมปังแข็งๆ เป็นอาหารหลัก แต่สำหรับอาซที่ได้ทานแต่อาหารราคาแพงและหายากในวังหลวงนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียจริง

“อืม.. เนื้อเสียบไม้ย่างที่กินร้านแรกอร่อยที่สุดล่ะ”

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน!”

อาเรียที่ทานอาหารทุกอย่างก็อร่อยไปเสียหมดจึงไม่สามารถประเมินได้ แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของอาซเช่นกัน

ส่วนอาซกลับใช้คำศัพท์สวยงามที่อาเรียไม่เข้าใจ บรรยายอาหารริมทางที่ราคาไม่กี่เหรียญราวกับเป็นอาหารหรูในภัตตาคาร

แม้ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจคำพูดนั้นก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่จะดูออกว่าอาซเป็นคนฉลาด อาเรียจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกระทั่งคำพูดไร้สาระของอาซ

“ตอนนี้ท้องก็อิ่มแล้ว ต้องทานดีเสิร์ทแล้วล่ะ”

“ดีเสิร์ท”

เมื่อกี้ก็ได้ยินแล้วแต่อาเรียก็ยังไม่เข้าใจว่าดีเสิร์ทคืออะไร ทันทีที่พยักหน้าอาซจึงคิดว่าเธอพอจะเดาออกได้บ้างจึงพูดตอบ

“มีที่ที่ดูไว้ระหว่างมาด้วยล่ะ ดูเหมือนจะปั่นผลไม้ใส่ในนมด้วยล่ะ แถวยากมากด้วย คงจะหมายความว่าอร่อยใช่ไหมนะ”

“อ๊ะ! ฉันว่า..เหมือนจะรู้เลยว่ามันคืออะไร! เหมือนจะรู้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน!”

แม้จะอธิบายสั้นๆ แต่อาเรียก็พูดเสียงดังทำเหมือนกับรู้ ดูท่าจะเป็นร้านดัง

“ร้านนั้นก็อยากกินมานานแล้วด้วย!”

เป็นคำตอบที่ทำให้เขาสงสัยว่ามีอาหารอะไรที่เธอไม่อยากกินไหมนะ ถึงขนาดหูชาก็ไม่แปลกใจเลย

แต่อาซกลับไม่รู้สึกเบื่อที่ได้มองอาเรียดีอกดีใจอยู่อย่างนั้น เขาหันไปสบตากับเธอพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าอย่างนั้นไปกัน”

“อื้ม!”

อาเรียยื่นมือออกไปอย่างมั่นใจและอาซก็คว้ามือเธอไว้ราวกับเป็นเรื่องปกติ

‘ไม่ใช่เวลาจะมาทำแบบนี้นะ’

ลองมาคิดดูแล้วช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง หากจะทำตัวไม่ให้สะดุดตาก็ต้องไม่ไปไหนมาไหนแบบนี้หรือเปล่านะ ผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น ยังจะเดินได้อย่างเรียบเฉยได้ขนาดนี้อีก

อย่างน้อยก็ใส่หมวกตอนนี้ดีไหมนะ อาซที่กังวลจึงหยิบหมวกขึ้นมาสวม

ไม่ใช่เวลาจะต้องมากังวลแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ขั้นชีวิต อาเรียจึงถามอาซที่จู่ๆ ก็สวมหมวกพร้อมกับเบิกตากว้าง

“หมวก”

“อืม เข้ากันไหม”

“อืม ไม่นะ…”

บอกว่าเข้ากันให้หน่อยก็ไม่ได้

สมกับเป็นอาเรียจริงๆ จึงทำให้เขาไม่โกรธ แสดงความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่โกหก ช่างน่ารักมากจนเผลอยิ้มออกมา

อาซมาถึงร้านขายเครื่องดื่มจึงสั่งนมใส่สตรอว์เบอร์รีสองแก้ว

ดูเหมือนจะเป็นเมนูที่ได้รับความนิยม ใช้เวลาเพียงไม่นานในการทำสตรอว์เบอร์รีที่บดแล้วเติมน้ำหวานและนม เด็กๆ ในละแวกนั้นมองดูพลางน้ำลายสอ

“น่าอร่อยจัง…”

“ฉันก็อยากลองทานสักครั้งเหมือนกัน…”

“ต้องอร่อยจริงๆ ใช่ไหมนะ”

‘หืม…’

ใบหน้าที่ดูคุ้นเคย

เพราะเป็นเด็กๆ ที่เขาเพิ่งได้เจอเมื่อวานอย่างไรล่ะ เด็กพวกนั้นมามุงดูและเรียกเขาที่กำลังนอนสลบเลือดไหลอยู่ว่าเป็นศพ ทั้งยังไล่ตีอาเรียเพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวโสเภณีเท่านั้น

เนื่องจากเด็กพวกนั้นยืนติดรถขายของจ้องราวกับอยากกิน ทำให้อาเรียมองเด็กพวกนั้นออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

“โอ๊ะ พวกนาย”

“เฮือก!”

แม้เธอไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งทำเป็นรู้จัก แต่ทันทีที่เธอก็เผลอชี้นิ้วไปพร้อมกับอ้าปากกว้างเด็กพวกนั้นก็ตกใจจนลืมหายใจ ราวกับสงสัยว่าทำไมบุตรจากตระกูลชนชั้นสูงถึงได้สนใจพวกเขากัน

“ขะ ขอโทษครับ!”

“คะ แค่ดูน่าอร่อยมากเลยมองเท่านั้นเองครับ! ไม่ได้มีนัยอื่นแอบแฝงเลยนะครับ!”

เด็กพวกนั้นเริ่มพูดข้ออ้างขึ้นและหลบสายตาของผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ดูเหมือนเขากลัวจะถูกฆ่าหากเผลอไปสบตาเข้า

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วย ราวกับไม่มีใครคิดว่าเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นลูกสาวโสเภณีที่เคยไปดูถูกดูแคลนไว้

“ใครว่าอะไรล่ะ”

อาเรียตอบโต้อย่างไม่ใส่ใจอะไร พลางแสดงสีหน้าว่าเด็กๆ ที่ขอโทษและพูดแก้ตัวเหล่านั้นดูแปลกๆ

“เมื่อวานพวกนายก็เล่นทุบเต็มที่ขนาดนั้น ต้องขอบคุณที่ทำให้เละเทะไปหมด!”

อาเรียตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เด็กๆ พวกนั้นกลับส่ายหัวไปมาราวกับไม่เข้าใจเลยสักนิด

“คะ.. เครื่องดื่มได้แล้วครับ”

เนื่องจากอยู่ในบรรยากาศที่ไม่ดีสักเท่าไร เจ้าของร้านจึงค่อยๆ เปิดปากพูดและยื่นเครื่องดื่มให้ อาซจึงรับอย่างไม่สนใจอะไรพลางยื่นแก้วหนึ่งให้อาเรีย

………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

Status: Ongoing

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์

อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่

ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม

และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง

ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา

และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…!

“ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า”

เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า!

เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย!

เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น

พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท