“ฉันไม่เป็นไร ได้โปรด ได้โปรด หนีไป…!”
“ไม่เอา! ไม่เอา! บอกว่าไม่ไง!”
“อาเรีย! “
“ไม่เอา!”
“ฉันไม่เป็นไร!”
“ไม่เอา! ไม่เอา! ไม่เอา! ไม่เอา!”
อาเรียยิ่งเกาะติดอาซไปอีก ไม่ให้อาซที่ได้รับบาดเจ็บสามารถผลักเธอออกไปได้
ชายที่มองเหตุการณ์ตรงนั้นก็รู้สึกแทงใจดำตัวเองเข้า จึงรีบรวบรวมความกล้าและจับมีดสั้นให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
หน้าที่ก็คือหน้าที่
ภารกิจยิ่งใหญ่ที่ต้องปลิดชีพเด็กนั่นเพื่อความยุติธรรม
เพียงแค่กำจัดเด็กที่อยู่ตรงหน้าได้ก็จบแล้ว เพื่ออนาคตที่สงบสุขของทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องจัดการพร้อมกันเลยแล้วกัน อย่างไรเสียก็ไม่ได้จะคิดไว้ชีวิตแล้วปล่อยไปเฉยๆ อยู่แล้ว”
ชายผู้นั้นสละความละอายใจอย่างน่าสะอิดสะเอียน อาซที่เผชิญหน้าอยู่จึงเบิกตากว้าง หากเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งตัวเขาและอาเรียก็จะต้องโดนฆ่าแน่
เป็นเรื่องที่แย่ที่สุด
ไม่สิถึงจะใช้คำที่แย่ขนาดไหนก็ไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้
ต้องทำอย่างไรดีนะ ก่อนที่จะได้คิดและหาคำตอบชายคนนั้นก็เข้ามาพร้อมกับมีดสั้น ไม่นะ ไม่ได้นะ! หากผลักไม่ได้ล่ะก็…!
“อาเรีย! “
“……!”
อาซใช้พลังทั้งหมดพลิกตัว ทันใดนั้นมีดสั้นในมือของชายผู้นั้นก็ปักลงตรงหลังอาซ ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
“อะ อาซ…!”
อาเรีบที่ตกใจรีบปรี่เข้าไปเขย่าไหล่อาซ มือของเธอสั่นเทาไปหมด ทว่าร่างกายของอาซที่ถูกมีดแทงกลับเหมือนสำลีที่ชุ่มไปด้วยน้ำทอดยาวอยู่เหนืออาเรีย
“อาซ!”
ทันทีที่เพิ่มแรงเขย่า เลือดสีแดงสดก็ออกมาจากริมฝีปากอาซเปื้อนไหล่ของอาเรีย รับรู้ถึงพลังของความตายที่กำลังคืบคลาน
หรือว่า คงไม่ตายใช่ไหมนะ อาเรียสูดหายใจเข้า ไม่สิ หายใจไม่ได้
“…อึก”
ในระหว่างนั้นชายผู้นั้นก็ถอดมีดสั้นที่ปักหลังอาซออก เนื่องจากไม่ได้เป็นการโจมตีที่หนักหนาอะไร จึงเตรียมที่จะโจมตีอีกครั้ง
อาซที่เริ่มรับรู้ได้ถึงความตายของตน พยายามขยับแขนที่แทบจะไม่มีแรงเหลือให้เคลื่อนไหวโอบกอดอาเรีย
อย่างไรก็ตามต้องช่วยอาเรียมีชีวิตรอดให้ได้ หากเป็นเช่นนี้ชายผู้นั้นที่ฆ่าเขาจะต้องฆ่าอาเรียด้วยแน่นอน
แต่อาซที่ทั้งยังเด็กและไร้ความสามารถอะไรกลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เพิ่งจะได้พบคนที่พอใจแท้ๆ อย่าว่าแต่จะปกป้องเลย เขากลับผลักเธอไปสู้ความตายเสียมากกว่า
“…ได้โปรด…”
ได้โปรดขอแค่อาเรียได้มีชีวิตรอดเท่านั้น
แม้ตนจะต้องตายไปก็ไม่เป็นไร ขอแค่อาเรียเท่านั้น แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็หวังแค่ปาฏิหาริย์จะช่วยชีวิตอาเรีย พระเจ้าได้โปรดช่วยชีวิตเด็กที่น่าสงสารเช่นนี้ด้วยเถิด
ด้วยความรู้สึกถึงความน่ากลัวตามหลังเขามา อาซจึงเกร็งแขนที่กอดอาเรียไว้
เหลือแรงเฮือกสุดท้ายแล้ว เพื่อขอร้องให้ช่วยอาเรีย ตัวเขาเองไม่เป็นไร เพียงแค่หวังว่าจะช่วยอาเรียก็เท่านั้น อาซที่มีความตายรออยู่ตรงหน้า ได้แต่คาดหวังพรที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
แกร๊ง!
แล้วจู่ๆ อาซและอาเรียที่อยู่ตรงหน้าก็หายตัวไปทำให้มีดของชายผู้นั้นตกลงพื้น
“หะ หายไปไหนนะ”
เมื่อกี้ยังอยู่ต่อหน้าเลยนี่!
ชายผู้นั้นขยี้ตาแล้วตรวจดูบริเวณรอบๆ
ทว่าสิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่ความมืดเท่านั้น แม้จะตามหาบริเวณโดยรอบแล้วแต่ก็ไม่มีร่องรอยของคนเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงรอยเลือดของอาซ
“เฮอะ…”
ชายผู้นั้นวิ่งออกตามหาอาซและอาเรียที่หายไปตรงทางเดินอีกครั้ง
* * *
ในเวลาเดียวกัน
อาซที่มาถึงข้างทางหน้าบ้านหลังเก่าของอาเรียจากนั้นเขาจึงค่อยๆ ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน แม้จะอยู่ในสภาพที่โดนมีดปักด้านหลังจนเลือดไหลไม่หยุด แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกอะไร
“…อะ อาซ”
ไม่รู้ว่านี่เป็นสถานการณ์อะไรอาเรียจึงเรียกชื่ออาซ ทว่าสิ่งที่อาซบอกอาเรียกลับไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นคำเตือน
“ลืมเรื่องทั้งหมดที่เขาเคยพบกันซะ ห้ามจดจำมันเด็ดขาด มันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ช่วงนี้ไม่ต้องออกจากบ้าน”
ด้วยสีหน้าที่เย็นชาและไม่สนใจอะไร
ทั้งน้ำเสียงก็ยังเป็นแบบนั้นทั้งน้ำเสียงก็ยังเป็นแบบนั้น ราวกับกลายเป็นคนอื่น ซึ่งนั่นน่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก จนสีหน้าของอาเรียซีดเผือดทันที
“หมายความว่าอะไร…!”
“ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็ทำแบบนั้น ทั้งเธอ ทั้งฉัน สัญญาสิว่าจะทำอย่างนั้น”
หากอยากมีชีวิตรอดก็ต้องทำอย่างนั้น หากทำเช่นนั้นอาซจะรอดอย่างนั้นเหรอ จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม! ทั้งคำพูดของอาซและสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีอะไรที่เข้าใจและสามารถยอมรับได้เลยสักอย่าง
ทว่าแทนที่อาซจะอธิบายกลับรอคำตอบของอาเรียด้วยสีหน้าที่เมินเฉยจึงทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้น
แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยก็ตามอาซก็สามารถรับรู้ได้จากนั้นจึงหันหลังกลับ
“จะ จะไปไหน!”
ท่าทางอาซที่ทำอย่างกับจะหายตัวไปเสียอย่างนั้นทำให้อาเรียรีบถาม
อย่าไปนะ จะไปไหน!
ทว่าแทนที่อาซจะบอกเป้าหมายกลับหันหน้ามาเพียงครู่หนึ่งเพื่อมองใบหน้าของอาเรียเป็นการบอกลา
และแล้วเมื่อหันหน้ากลับไปอาซก็ก้าวห่างไปอีกก้าวหนึ่ง ระยะห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่น่าแปลกใจที่บริเวณนั้นกลับไม่มีร่องรอยของอาซเหลืออยู่เลย
ราวกับเปลวควันภาพลวงตา เพียงแค่ก้าวเดียว ทุกอย่างของอาซกลับหายไป
“อะ อาซ…! อาซ!”
‘ลืมเรื่องทั้งหมดที่เขาเคยพบกันซะ ห้ามจดจำมันเด็ดขาด มันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ช่วงนี้ไม่ต้องออกมานอกบ้าน’
‘ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็ทำแบบนั้น ทั้งเธอ ทั้งฉัน สัญญาสิว่าจะทำอย่างนั้น’
คำพูดของอาซวนอยู่ในหัวราวกับเป็นเวทมนตร์
วนซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะล้างสมองเธอเสียอย่างนั้น ทำให้อาเรียเวียนหัวหนัก ในหัวของอาเรียสับสนไปหมดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“อ๊ากก!“
ฟุ่บ
และแล้วก็ทนกับความเจ็บปวดไม่ได้ อาเรียจึงล้มฟุบลงไปที่พื้น เวลาผ่านไปพักใหญ่หลายชั่วโมงแม่ของอาเรียก็พบตัวอาเรียที่ยังอยู่ตรงจุดเดิม
“ใคร… อะ อาเรีย!”
เสียงของคารินดังไปทั่วทางเก่านั่น
เป็นเพราะอาเรียเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของอาซทั้งตัว เสื้อผ้าที่สวยงามและผมสีทองสลวยกลับเลอะเลือดและคราบดินจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
“ระ โรงพยาบาล… โรงพยาบาล! โรงพยาบาล!”
คารินที่พยุงอาเรียเข้ามากอดก็สภาพไม่แพ้กัน
เมื่อครู่ยังเป็นหน้าตาที่แสนสวยอยู่ ทว่าตอนนี้กลับเลอะคราบน้ำตาจนเครื่องสำอางถูกลบไปหมดและมีเพียงใบหน้าที่เศร้าสร้อยของคนเป็นแม่เท่านั้น
คารินวิ่งออกไปจากทางทั้งที่ยังโอบกอดอาเรียอยู่ แม้จะไม่มีแรงถึงขนาดนั้น แต่แรงแขนที่กอดอาเรียและขาของเธอจะไม่มีวันล้าโดยเด็ดขาด
และแล้วก็วิ่งเป็นอยู่พักใหญ่อาเรียและอาซก็สามารถมาถึงที่โรงพยาบาลได้ พลางบอกหมอที่สภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนให้ช่วยชีวิตลูกสาวตอนเอง
“อาเรีย…! อาเรีย! แม่ขอโทษ! แม่ขอโทษลูกจริงๆ! แม่ไม่น่าทิ้งลูกไว้เลย! ไม่น่ามาช้าขนาดนี้เลย!”
ทันใดนั้นหมอที่รักษาอาเรียพร้อมกับความตะลีตะลานของคารินจึงส่ายหัวไปมาพร้อมกับถอนหายใจ เนื่องจากอาเรียดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนักคารินจึงเริ่มร้องไห้หนักจนสุดเสียง
“ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอกครับ เพราะไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บ”
“…คะ”
“อา มีส่วนที่บาดเจ็บอยู่เหมือนกันนี่ ดูเหมือนว่าจะหกล้มน่ะครับ เข่าเลยถลอก”
หมอฆ่าเชื้อแผลที่เข่าอาเรียพลางตอบ
คารินถามด้วยสีหน้าที่ไม่รู้เรื่อง
“ไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นเหรอคะ แค่ที่เข่านี่เหรอ เลือดไหลออกมาตั้งเยอะแบบนี้…”
“เลือดนี่ไม่ใช่เลือดของเด็กคนนี้หรอก หากไม่เชื่อก็ไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วลองเช็ดดูสิ”
หมอส่งสายตาไปที่ผ้าขนหนูที่ตกอยู่ตรงมุม
ทันใดนั้นคารินก็รีบนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดใบหน้า ไหล่ หลัง และก็เป็นอย่างที่หมอบอกจริงๆ ไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บเลย
“เพราะฉะนั้นเลิกตะลีตะลานและเชิญกลับบ้านได้แล้ว ดึกดื่นป่านนี้ มาปลุกคนนอนหลับสนิทอีก”
หมอที่รักษาเสร็จก็ไล่คารินกลับ คารินแบกอาเรียที่ยังไม่ตื่นกลับเหม่อคิดพลางบ่นพึมพำ
“นี่… หากนี่ไม่ใช่เลือดของอาเรียแล้วเป็นเลือดของใครกันล่ะ ทำไมถึงได้เลอะขนาดนี้”
อาเรียนอนหลับไปทั้งวันเมื่อตื่นขึ้นมากลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
จำเรื่องอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำไมตอนแรกถึงใส่ชุดแบบนั้น เลอะเลือดของใครมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เป็นเรื่องจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าโดนใครขู่มา จนกลัวเลยไม่กล้าพูดใช่ไหม”
งึกๆ อาเรียพยักหน้าแสดงท่าทางเห็นด้วย
“…ดี ก็ถือซะว่าเป็นอย่างนั้นแล้วกัน แม่ก็ไม่มีแรงจะถามต่อแล้ว ต่อไปก็อย่าออกไปไหนอีกล่ะ แม้แต่หน้าบ้านด้วย เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
ปกติก็ไม่ให้ออกไปไหนอยู่แล้ว จะมาห้ามไม่ให้ออกไปไหนอีกล่ะ อาเรียตอบอย่างลวกๆ คารินที่เบาใจลงหน่อยจึงรีบเตรียมตัวออกไปข้างนอก
* * *
“……!”
โรฮันตัวน้อยที่เห็นตัวเองเต็มไปด้วยเลือดแล้วตกใจอย่างหนัก เป็นฉากสุดท้ายที่ทำให้อาซสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็เห็นว่ายังเป็นเวลากลางคืนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบจากความฝันหรือเปล่าทำให้เหงื่อแตกไหลไปตามคาง
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน…’
จากนั้นก็รีบหันไปมองอาเรียที่นอนหลับอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างๆ
เมื่อนำมือไปอังใต้จมูกก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เอามือไปแตะแก้มก็รู้สึกถึงไออุ่นจากตัว
ยังมีชีวิตอยู่ ยังคงเป็นอาเรียที่อบอุ่นและอ่อนโยนอยู่เสมอ
‘ทำไมช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาถึงลืมได้นะ’
ว่าเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้นานมาก จนถึงตอนนี้เขานึกว่าโดนโจมตีจนมายังโครอาเสียอีก แต่ยังมีเรื่องราวที่ลึกมากกว่านั้น
‘เพื่อเอาชีวิตรอดสินะ แต่ทำไมฉัน…’
ถึงหลงลืมอาเรียอยู่ล่ะ
ไม่สิ ตอนที่ค้นพบพลังครั้งแรกก็ยังจำได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก จะบอกว่าไม่มีเลยก็ได้
หลังจากโดนโจมตีจากในวังความทรงจำก็ขาดหายไป เมื่อได้สติขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในอาณาจักรโครอาเสียแล้ว และมีพลังหายตัวแล้วด้วย
และก็ได้รู้ความจริงว่าหลังจากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถึงแก่ชีวิตจะทำให้มีพลังวิเศษขึ้น ในตอนนั้นยังเข้าใจว่าแค่โดนโจมตีจึงเกิดขึ้นได้
แต่ว่า
‘มันไม่ใช่อย่างนั้น แทนที่จะบอกว่าเป็นเพราะวิกฤตถึงแก่ชีวิตแล้ว แต่เพื่อช่วยชีวิตอาเรียต่างหาก’
เพื่อช่วยอาเรียที่ตกอยู่ในวิกฤตถึงแก่ชีวิต
และด้วยพลังนั้นจึงสามารถช่วยชีวิตทั้งอาซและอาเรียได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องขอบคุณอาเรีย ทั้งตอนนี้ และในอดีต และอาจจะในอนาคตด้วยเช่นกัน
……………………….