<การพบกันครั้งแรกอย่างที่เราไม่คาดหมาย และมันก็นานมาแล้วมากกว่าที่เราได้คาดคิด>
วันนั้นเป็นวันที่มีแสงแดดอันอบอุ่นสมกับที่รอคอย หลังจากฤดูฝนอันยาวนานได้สิ้นสุดลง
ฤดูฝนนั้นกินเวลายาวเสียจนรู้สึกรำคาญใจ ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ราวกับฟ้ามีรูรั่ว ได้จบลงแล้วในที่สุด
อาเรียทอดสายตามองแผ่นหลังของแม่ตัวเองที่กำลังจะออกไปข้างนอก
“มีขนมปังที่ซื้อไว้เมื่อวานอยู่ใช่ไหม กินอันนั้นไปนะ”
“…ขนมปัง อันนั้น”
ขนมปังที่ซื้อไว้เมื่อวาน
ขนมปังนั้นไม่ใช่แค่ขนมปังของเมื่อวาน แต่เป็นขนมปังที่ผ่านไปนานกว่าหนึ่งอาทิตย์ ขนมปังนั้นแข็งขนาดที่ไม่กล้าบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าขนมปัง
มันแข็งขนาดที่ถ้ากินแล้วฟันหักก็คงไม่แปลก ถ้าจะให้อาเรียที่เพิ่งจะอายุแปดขวบกินก็คงไม่ไหว
อาเรียจึงพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แล้วก็ปิดปากของเธอลงในทันที เพราะเธอรู้ว่าต่อให้บ่นไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว
การบ่นเว้าวอนนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีฝ่ายที่คอยรับฟังอยู่ คุณแม่นั้นไม่ใช่คนที่จะรับฟังคำบ่นของเธอ อาเรียตระหนักถึงเรื่องนั้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“อย่าออกไปไหนล่ะ”
อาเรียไม่ตอบอะไรกลับไป แล้วคารินก็ฮัมเพลงออกจากบ้านไป
อาเรียที่ลบภาพความรักความผูกพันของมารดาออกไปตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ปริปากบ่นหรือไม่พอใจอะไร เธอเฝ้ามองการจากไปของคารินอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับร่างกายของตัวเอง
‘เบื่อจัง’
น่าเบื่อ
แถมยังน่าหงุดหงิดเพราะเธอไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดฤดูฝน คุณแม่ไม่ยอมเล่นด้วย และเธอก็ไม่มีของเล่นให้เล่น มันเป็นฤดูฝนที่น่าเบื่อหน่ายและแสนยาวนานสำหรับอาเรียที่ยังเป็นเด็ก
อาเรียเกิดรู้สึกหิวขึ้นมาและพยายามกินขนมปังแข็งๆ อยู่หลายครั้ง แต่แล้วก็ต้องลูบคางที่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีอยู่หลายครั้ง เธอจึงยอมแพ้ แล้วสวมรองเท้าคู่เก่าขาดรุ่งริ่งออกไปข้างนอก คำสั่งกำชับของคารินอย่างการห้ามไม่ให้เธอออกไปข้างนอกได้หายไปนานมากแล้ว
‘ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเสียหน่อยล่ะนะ’
อาเรียสังเกตพวกโคลนที่กระจัดกระจายและกองขยะที่กองซ้อนกันที่อยู่บริเวณใกล้บ้านก่อน แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังถนนพลางฮัมเพลงตามที่แม่ของเธอฮัม
เธอเดินไปได้ไม่เท่าไรนัก แต่รองเท้าของเธอก็เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนเลอะเทอะ ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติ ก็คงจะตระหนักได้ว่าลูกของพวกเขาใส่รองเท้าแบบนั้นออกไปข้างนอก แต่สำหรับคารินแล้ว เธอหัวทื่อในเรื่องแบบนั้น
และถึงแม้เธอจะสังเกตเห็น เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากถามอะไร เพราะเธอที่กลับบ้านมาหลังจากทำงานเสร็จนั้นมักจะเหนื่อยล้าและอ่อนแรงเสมอ
ด้วยเหตุนี้อาเรียจึงเมินคำสั่งของคารินได้อย่างสบายใจและสามารถออกไปข้างนอกได้ แล้วเธอก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจขนาดนั้น
ในตอนที่เธอมุ่งหน้าไปยังถนนและเดินไปได้เล็กน้อยนั้นเอง พวกเด็กละแวกใกล้เคียงมารวมตัวกันที่หน้าปากซอยหมู่บ้านอันสกปรก
“นี่เขาตายแล้วไม่ใช่หรือไง ดูเลือดนี่สิ”
“ว้าว! ฉันเพิ่งเคยเห็นคนตายครั้งแรกเลย”
“ไม่หรอก ดูสิ เลือดยังเป็นสีแดงสดอยู่เลยไม่ใช่หรือ ก็แปลว่ายังไม่ตายไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
“ไม่รู้สิ”
“ลองจับดูสิ”
“ไม่เอา! ถ้าตายแล้วขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ!”
“ถ้าตายแล้ว ก็แปลว่าตายแล้วน่ะสิ จะอะไรล่ะ”
…อะไรกันน่ะ คน ตาย
อาเรียรู้สึกสนใจพวกเด็กที่พูดเรื่องน่าขนลุกออกมา เธอค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ พวกเขา
“รีบๆ ลองจับดูสิ!”
“นายก็ทำสิ!”
“ก็นายเป็นคนสงสัยนี่!”
“นายไม่สงสัยหรือไง”
“กะ ก็สงสัย แต่ว่า…”
ไม่คิดที่จะลองจับดูหรอกนะ อาเรียยื่นหน้าเข้ามาอย่างกะทันหันก่อนที่เด็กคนนั้นจะพูดจบ
“อะไรอะ”
“ว้ากกก!”
“อ๊ากก!”
“ตกใจหมดเลย!”
การปรากฏตัวของอาเรียทำให้พวกเด็กๆ วงแตกเพริดด้วยความตกใจกลัวราวกับพวกเขาเห็นผี และเมื่อพวกเขารู้ว่าคนที่พูดคืออาเรีย ก็เริ่มมีท่าทีหงุดหงิดทันที
“อะไรกัน ลูกสาวโสเภณีเองหรือ”
คำพูดของเขามีหนามโผล่ออกมา
“มาทำอะไรที่นี่แทนที่จะตามแม่ของเธอไปกันล่ะ”
“เหวอ เชื้อโสเภณีกำลังแพร่กระจายแล้ว!”
“เฮือก ถ้างั้นฉันก็จะกลายเป็นโสเภณีไปด้วยหรือ!”
“ก็ใช่น่ะสิ! เพราะงั้นรีบหนีกันเร็ว!”
อาเรียขมวดคิ้วแน่น
โสเภณี
คำเรียกชื่อคุณแม่ของเธอ แม่เธอจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรโดยรูปธรรม แต่ได้ยินทีไรก็รู้สึกอารมณ์เสียและโมโหขึ้นมาทุกที อาเรียกำหมัดเล็กๆ ของเธอ
“งี้เด็กคนนั้นก็ติดเชื้อโสเภณีด้วยหรือ”
“…คงงั้นมั้ง”
พวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ตาสีตาสายืนทิ้งระยะห่างจากอาเรีย แล้วเริ่มนินทาว่าร้ายด้วยคำที่เรียนรู้มาจากพวกผู้ใหญ่ ทั้งที่ไม่รู้แม้แต่ความหมายแท้ๆ มันเป็นการนินทาว่าร้ายชั้นต่ำและโสมมเกินไปสำหรับพวกเด็กๆ
หนึ่งในนั้นมีเด็กผมยาวคนหนึ่งที่รู้ว่าโสเภณีคืออะไร เขามองอาเรียปราดตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหัวเราะเยาะ
“ไม่หรอก เด็กนั่นเป็นไม่ได้หรอก เธอขี้เหร่เกินไป”
“ฮ่าๆ! อะไรกันล่ะนั่น!”
“ก็ขี้เหร่จริงล่ะนะ”
“ก็สกปรกมอมแมมเสียขนาดนั้นน่ะ”
“ถ้างั้นก็คงไม่ติดเชื้อโสเภณีสินะ!”
อาเรียที่ไม่สามารถเอาชนะเสียงหัวเราะอันรุนแรงพักหนึ่งได้ก็วิ่งเข้าไปหาเด็กคนหนึ่ง พลางสบถคำด่าที่ดีที่สุดเธอรู้
“นี่! ไอ้เลวนี่!”
แม้จะเป็นเพียงมือเล็กๆ แต่ก็โดนอาเรียผลักอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กคนหนึ่งล้มลงไป และไม่นานนักพวกเด็กคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าไปหาอาเรีย
“ไอ้เด็กเลวนี่!”
“เป็นแค่ลูกโสเภณีแท้ๆ กล้าดียังไง!”
“อย่าเสนอหน้าออกมาให้เห็น แล้วมุดหัวอยู่แต่ในบ้านโง่ๆ ของแกไปเลยนะ!”
“อ๊ากก!”
เหล่ามืออันแข็งกระด้างรุมทึ้งผมของอาเรีย ดึงเสื้อผ้าตัวเก่าที่ขาดหลุดลุ่ยและผิวอันอ่อนนุ่มของเธออย่างไม่รีรอ พวกเด็กๆ ไม่มีความลังเลราวกับเป็นความชำนาญที่ไม่ได้ทำมาแค่ครั้งหรือสองครั้ง
อาเรียเองก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่าคนที่เจ็บตัวจะมีแต่ตัวเองคนเดียว แต่เธอก็ยังกัดฟันเผชิญหน้าสู้กับเด็กพวกนั้น
เพราะงานของคุณแม่ เพราะสายตาของผู้คน ทำให้อาเรียต้องเผชิญหน้าสู้กับสายตาและเหล่ามืออันโหดร้ายเช่นนี้เพียงลำพังมาตลอดตั้งแต่อายุยังน้อย
ทว่า
“…ตีเด็กผู้หญิงคนเดียวแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง”
มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่ต่างออกไป
ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้ชายร่างสูงโปร่งปรากฏตัวขึ้นมาและดึงเด็กที่กำปกเสื้อของอาเรียอยู่ออก การเคลื่อนไหวของมือนั้นดูเบาราวกับผู้ใหญ่ดึงตัวเด็กออก
ต่อจากนั้นเด็กผู้ชายคนนั้นก็ดึงเด็กที่กำผมของอาเรียออก และผลักแม้กระทั่งเด็กที่ตัวใหญ่ที่สุดอย่างเต็มแรง ทำให้เขาล้มลงไป เรื่องมันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
“อะ อะไรของนาย…!”
“ฉันหรือ ฉันก็คือคนที่นอนอยู่ตรงนั้นจนถึงเมื่อกี้อย่างเป็น… ศพ”
เด็กชายคนนั้นตอบพลางชี้ไปที่ขาข้างหนึ่งของตัวเองที่มีเลือดไหลออกมา ตอนนั้นเองที่เด็กพวกนั้นจับจุดไม่ถูกจนถึงตอนนี้ว่าเด็กชายคนนั้นตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่ พวกเขาจึงเริ่มวิ่งหนีกระเจิงไปด้วยความตกใจกลัว
“วะ ว้ากกกกก!”
“อ๊ากกก!”
“ว้าก! ว้าก!”
“ศพ! ศพขยับได้!”
อาเรียมองพวกเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะ
ไม่สิ มันเป็นใบหน้าที่ใกล้เคียงกับการมองดูภาพที่น่าตื่นเต้น อาเรียจ้องมองเด็กผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บ คนที่ช่วยเธอเอาไว้ เธอมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายราวกับไม่เคยถูกพวกเด็กในหมู่บ้านรังแกมาก่อน
“เธอเป็นอะไรไหม”
เด็กชายคนนั้นเอ่ยปากถามอาเรีย
แม้ว่าคนที่ควรจะถูกถามว่าเป็นอะไรไหมนั้นน่าจะเป็นเด็กผู้ชายคนนั้นมากกว่าอาเรีย แต่เด็กชายคนนั้นก็มองอาเรียที่กระเซอะกระเซิงอยู่บนพื้นและถามเธอ
“ฉันถามว่าเธอเป็นอะไรไหมน่ะ”
“คุณเจ้าชาย!”
ทว่าสิ่งที่ย้อนกลับมาจากปากของอาเรียกลับเป็นคำพูดไร้สาระ
เด็กชายรีบกวาดตามองไปรอบๆ ทันทีเมื่ออยู่ดีๆ ก็ได้ยินคำว่า ‘เจ้าชาย’ และหลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ เขาก็มองไปที่อาเรียอีกครั้ง
“…ว่าไงนะ”
คำตอบของอาเรียนั้นเข้าใจยากสำหรับเขา ยิ่งเป็นอาเรียผู้ตัวผอมบางเพราะไม่ค่อยได้กินข้าวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาสูญเสียความตั้งใจในการจะสนทนาด้วยเข้าไปอีก
ดูเหมือนว่าเธอคงจะยังเด็กเกินกว่าจะสื่อสารกันได้
สุดท้ายเด็กชายก็ยอมแพ้ที่จะคุยกับเธอและถอนหายใจพลางหันหลังกลับ เขาคิดจะจากเธอไปทั้งอย่างนั้น แต่เมื่อเขาก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
“เอ๊ะ! เอ๊ะะ! คุณเจ้าชาย!”
อาเรียตกใจวิ่งเข้าไปหาเด็กชายที่กำลังหายใจหอบ ไม่มีทางที่เด็กที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและตากฝนมาทั้งคืนจะสบายดีเป็นปกติครบถ้วนได้หรอก
“ทะ ทำอย่างไรดี! ทำอย่างไรดีล่ะ!”
สิ่งสุดท้ายที่ส่องสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเด็กชายที่สติเลือนรางนั้นคือร่างเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตคู่สดใสและชัดเจนกำลังน้ำตาคลอเบ้า เธอดูต่างจากที่พวกเด็กคนอื่นๆ หยอกเย้าเล่นกันว่าขี้เหร่
* * *
โกดังร้างเก่าๆ ที่สกปรกและผุพัง
นั่นเป็นความรู้สึกแรกต่อทัศนียภาพที่เด็กชายเห็นหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เขากะพริบตาและปรับจุดโฟกัสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองไปและเห็นอาเรียที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ เข้ามาในสายตาของเขา
“…อย่าบอกนะว่า”
เธอเป็นคนพาฉันมาถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ แบกมาด้วยร่างเล็กๆ นั้นสินะนี่ เธอเรียกผู้ใหญ่มาหรือเปล่านะ
เขาอยากจะคิดเช่นนั้น แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแสบวูบขึ้นมาที่หลังและตะโพกที่ตอนแรกไม่มีบาดแผลอะไร ถึงได้รู้ว่าเธอค่อยๆ ลากเขามาที่นี่
‘ฉันเป็นแผลที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นเลยไม่ใช่หรือไงเนี่ย’
พอเขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดขึ้นมาที่หลัง ก็มีกลิ่นเหม็นส่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง มันเป็นกลิ่นที่ส่งออกมาจากหน้าผากของเขา เมื่อเขาเอื้อมมือไป ก็พบว่ามีผ้าเก่าๆ และสกปรกวางอยู่บนหน้าผากของเขา
สิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนเต็มมือที่จับผ้านั้น ราวกับว่ามันถูกล้างด้วยน้ำโคลน แม้จะไม่รู้ว่ามันเอาไว้ใช้สำหรับอะไรมาก่อน แต่แค่ด้วยเรื่องที่เอาไปล้างในน้ำโคลนก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้
“เชื่อเขาเลย…”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะกล้าเอาผ้าสกปรกๆ แบบนี้… เศษผ้าที่แย่เสียยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วนี้มาวางไว้บนหน้าผากของฉันได้ เรื่องโชคดีอย่างหนึ่งคือเธอพับผ้ามาวางไว้ได้อย่างเรียบร้อย ถึงจะไม่ได้ดีมาก เจ้าเด็กตัวเล็กคนนี้คงได้เรียนรู้วิธีทำแบบนั้นมาจากที่ไหนสักแห่ง
เด็กชายหันสายตามองไปที่อาเรียอีกครั้ง อาเรียยังคงนั่งสัปหงกอยู่
“…”
จะว่าเยี่ยม เธอก็เป็นเด็กหญิงที่ยอดเยี่ยมพอตัวเลย เธอเผชิญหน้าต่อสู้กับพวกเด็กๆ ในละแวกนั้นด้วยร่างเล็กๆ นั้นไม่ใช่หรือ เธอแบกตัวเองที่ตัวใหญ่กว่าตัวเธอเองหลายเท่า แถมยังเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกมาถึงที่นี่เลยไม่ใช่หรือไง
ใบหน้าขาวนวลขนาดที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเด็กละแวกที่คนยากจนอาศัยอยู่ของเธอเต็มไปด้วยรอยถลอก ผมสีทองที่ถูกขยุ้มของเธอก็ยุ่งเหยิงไปหมดเช่นกัน
แม้ว่าจะมีฝุ่นดินติดอยู่และต้องมองใกล้ๆ เท่านั้นถึงจะเห็น แต่การที่เธอไม่ห่วงตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วช่วยคนอื่นก่อนแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ
คนแบบนี้ เด็กผู้หญิงแบบนี้
‘ถ้ามาอยู่ข้างๆ ฉันได้ก็คงจะดี ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้’
แต่โชคร้ายที่ข้างๆ เขาไม่มีคนที่จะมารักษาบาดแผลของเขาให้เหมือนกับที่เธอทำ มีแต่พวกที่พยายามจะทำร้ายและจ้องแต่จะคอยแย่งชิงสิ่งที่เขามีอยู่เต็มไปหมด
พอเขานึกถึงเรื่องเมื่อคืน ความโกรธแค้น ความเศร้า และความหวาดกลัวก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แม้กระทั่งความรู้สึกเกลียดตัวเองที่อ่อนแอและไร้กำลังที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
คงจะดีกว่า
คงจะดีกว่าถ้าฉันตายๆ ไปซะ หากจะต้องมีชีวิตอยู่แบบนี้…
“โอ๊ะ ตื่นแล้วหรือ”
“…!”
ดวงตาของเธอส่องประกายระยิบ เสียงอันสดใสของอาเรียได้ทำลายความคิดแง่ลบของเด็กชายออกไปจนหมดสิ้น
……………………………..