* * *
“พระชายาคะ! พระชายา! ดูหนังสือพิมพ์ที่ฉันเอามาสิคะ!”
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดนิสัยไร้มารยาทของแอนนี่ที่ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนสักแห่งและหายใจอย่างหอบถี่ ก่อนที่เธอจะยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้อาเรีย มันเป็นหนังสือพิมพ์ที่เหล่าสามัญชนอ่าน
ในอดีตเธออ่านมันบ่อยเพื่อคาดเดาอนาคต แต่หลังจากฮานส์เข้าโรงเรียน เธอก็ไม่ได้ควานหามันอ่านอีก เพราะเธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคาดเดาอนาคตอีกต่อไป
มันมีข่าวอะไรลงหนังสือพิมพ์กันแน่นะ เธอถึงได้ลืมบทขุนนาง แล้วประพฤติตัวหยาบคายเช่นนั้น
เมื่ออาเรียรับหนังสือพิมพ์มาไว้ในมือ รูบี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วของเธออย่างไม่ให้อาเรียเห็น
[บุคคลที่ประชาชนเคารพยกย่องมากที่สุดไม่ใช่เจ้าชายแต่เป็นพระชายา!]
พอแอนนี่เห็นอาเรียอ่านบทความที่อยู่กลางหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ เธอก็พูดขึ้นมาพร้อมกับฉีกยิ้ม
“ถึงมันจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าดิฉันจะเดินไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เรื่องของพระชายาอย่างเดียวเลยค่ะ! ทุกคนต่างพากันถามว่าทำไมพระชายาถึงได้ทำแต่ความดีขนาดนั้น แล้วก็ยังพากันบอกว่าพระชายาต้องเป็นนางฟ้าลงมาจากสวรรค์แน่ๆ เลยค่ะ!”
แอนนี่พูดไม่หยุดว่าการสนับสนุนต่ออาเรียนั้นกำลังจะเหนือกว่าจักรพรรดิ เธอพูดสิ่งที่ถึงจะไม่ต้องอุตส่าห์เอาหนังสือพิมพ์มาให้อ่านแบบนี้แต่ก็รู้กันทั้งฟ้าสวรรค์ทั้งแผ่นดินโลก
“ฉันว่าหญิงผู้ซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าสาวที่ควรจะยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งไม่ควรเลื่อนกำหนดการทั้งหมดออกไปและทำตัววุ่นวายแบบนี้ เพราะเรื่องนี้หรอกนะ”
อาเรียทำกระทั่งให้วันหยุดแก่แอนนี่ เพราะเห็นว่าเธอค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นเมื่ออาเรียชี้เรื่องนี้ให้เห็นอย่างแทงใจดำ แอนนี่ก็ปิดปากแน่นและกลอกตาของเธอไปมา
เธอดูลนลานเพราะโดนจี้จุดอ่อน แต่แล้วเธอก็สบตาอาเรียพร้อมกับเขินแก้มแดง ด้วยความที่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
“ความจริง… ดิฉันมีเรื่องอยากจะขอเรื่องหนึ่ง เลยมาหาพระชายาอย่างหน้าไม่อายน่ะค่ะ”
“ขอเรื่องอะไร”
อาเรียวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะและถามกลับ เพราะมันไม่มีเรื่องอะไรที่เธอรู้สึกแปลกใหม่
เธอได้คาดคิดเอาไว้แล้ว แอนนี่คงอยากให้ช่วยเพราะมีของที่อยากได้สำหรับงานแต่งเยอะสินะ
“คือว่า… ดิฉันสงสัยว่าพระชายาจะช่วยแนะนำดีไซเนอร์ที่พระชายาลงทุนไปเมื่อครั้งที่แล้วได้ไหมให้ดิฉันน่ะค่ะ ดิฉันไปลองหาข้อมูลด้วยตัวเองมาแล้ว แต่ราคามันค่อนข้างสูงกว่าที่คิดมาก แล้วก็ไม่ค่อยถูกใจด้วย…”
ก่อนที่แอนนี่จะพูดจบ รูบี้เบิกตาของเธอกว้าง และอาเรียก็ยกริมฝีปากของเธอขึ้น
“รูบี้ เอาของที่เตรียมไว้ให้แอนนี่ดูที”
“คะ ค่ะ”
“ของที่เตรียมไว้… หรือคะ”
แอนนี่มีสีหน้าสับสน แล้วรีบตามหลังรูบี้ที่ทำมือเป็นการบอกว่ามัวทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบตามเธอมาอีก
“เหมือนว่าพระชายาจะรู้จักเธอเป็นอย่างดีเลยล่ะ ท่านถึงได้เตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้าแล้วแบบนี้ไงล่ะ”
“…พูดเรื่อง…”
อะไรกัน เธอตั้งใจจะถามเช่นนั้น แต่เธอไม่สามารถถามต่อให้จบประโยคเพราะเธอมาถึงจุดหมายเสียก่อน ไม่สิ รูบี้เปิดประตู และแอนนี่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้กับทัศนียภาพที่ถูกกางออก
“ตะ ตายจริง ทั้งหมดนี่มันอะไรกัน…”
“จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็พวกของที่พระชายาเตรียมไว้ให้สำหรับพวกเธอไง”
เป็นเรื่องที่น่าตกใจเหลือเกินที่อาเรียคิดว่าแอนนี่คงจะมาขอของแบบนี้กับเธอ เธอจึงสั่งตัดเดรสกับดีไซเนอร์เอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
แอนนี่อ้าปากค้างมองไปในห้องที่เต็มไปด้วยชุดเดรสนับสิบตัวและค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง ชุดพวกนี้ทั้งหรูหราและงดงามชนิดที่ชุดเดรสที่แอนนี่ไปดูมาทั้งหมดเทียบไม่ติด
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาเรียเป็นคนเตรียมทั้งหมดนี่ เธอประทับใจจนพูดไม่ออก
“พวกนี้เป็นเดรสที่สั่งตัดมาเพื่อให้เธอกับเจสซี่ใส่ เธอแค่เลือกเดรสที่ชอบ แล้วเดี๋ยวดีไซเนอร์จะแก้ไซส์ให้พอดีกับตัวเธอเอง แล้วท่านก็ยังบอกอีกว่าเธอจะเอาไปหลายๆ ชุดก็ได้นะ”
รูบี้พูดเสริมกับตัวเองคนเดียวว่าเป็นโชคดีจังทั้งที่เป็นแค่สาวใช้แท้ๆ
ฉันโชคดีมากทั้งที่เป็นแค่สาวใช้จริงๆ นั่นล่ะ ขนาดที่คิดเป็นพันเป็นหมื่นรอบว่าตัวเองเก่งจริงๆ ที่ทิ้งมิเอลมาหาอาเรีย
“พระชายาท่านรู้ว่าเธอจะมาขอ ก็เลยเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าไม่กี่วันก่อน ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาขอพระชายาจริงๆ”
ทั้งที่เป็นแค่สาวใช้แท้ๆ แถมยังเป็นแค่สาวใช้สามัญชนอีก
รูบี้บ่นอยู่หลายครั้งว่าเธอช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย แล้วถามพูดกับแอนนี่เงียบๆ ในขณะที่เธอกำลังดูชุดเดรสโดยไม่สนใจว่ารูบี้จะพูดอะไรอยู่ข้างๆ
“…พระชายาท่านให้ของขวัญแก่สาวใช้แบบนี้บ่อยหรือ”
“แน่สิ เห็นพระชายาเตรียมของไว้ให้ล่วงหน้าแบบนี้แล้ว เธอยังถามเรื่องนั้นอีกหรือ ถ้าพระชายาไม่ใช่คนแบบนี้อยู่แล้ว ฉันก็คงไม่แม้แต่จะขอท่านหรอก ฉันก็มีความละอายใจเหมือนกันนะ”
ฉันก็คิดว่าเธอไม่มีความละอายใจเสียอีก สีหน้าของรูบี้เปลี่ยนไปต่อท่าทีของแอนนี่ที่ดูราวกับเธอคิดว่ามันไม่มีค่าพอจะให้พูดถึง เพราะเธอเองก็เป็นนักฉกฉวยโอกาสเช่นเดียวแอนนี่
ความทุ่มเทและเอาใจใส่ต่อสาวใช้ของอาเรียนั้นมันมากเกินกว่าที่จะเคยเห็นหรือเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“…อย่างนั้นหรือ …พระชายาท่านชอบสาวใช้แบบไหนหรือ”
ดังนั้นเธอจึงยอมเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง และถามวิธีที่จะทำให้อาเรียถูกใจกับแอนนี่ แล้วแอนนี่ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“สาวใช้ที่ทำงานที่พระชายาสั่งได้เป็นอย่างดีล่ะมั้ง”
เพราะไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบัง รูบี้ขมวดคิ้วกับคำตอบที่เรียบง่ายและชัดเจน
“…แค่นั้นน่ะหรือ”
“ใช่สิ จะมีอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ ถ้าเธอลอง เดี๋ยวก็รู้เอง”
“…แต่ดูไม่เหมือนว่าเธอทำงานที่ท่านสั่งได้เป็นอย่างดีเลยนะ”
เธอทำพลาดไปตั้งกี่ครั้งแล้วตอนที่พระชายาสั่งให้เธอทำหน้าที่ต้อนรับแขก เมื่อรูบี้ชี้ให้เห็นเรื่องนี้ แอนนี่ที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ครู่หนึ่งก็เสริมไปว่าเธอยังลืมพูดสิ่งหนึ่งไป
“อ๊ะ พระชายาชอบสาวใช้ที่เก่งในเรื่องที่ไม่มีใครทำกันน่ะ”
“เรื่องที่ไม่มีใครทำกันอย่างนั้นหรือ”
“ไม่รู้สินะ จะยกตัวอย่างให้ฟังก็ค่อนข้างยากเสียด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมา ฉันจะบอกให้รู้แล้วกันนะ หรือบางทีเธออาจจะไม่รู้ไปทั้งชีวิตก็ได้”
แอนนี่ทิ้งคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งเอาไว้ แล้วเดินชมเดรสพร้อมกับฮัมเพลง อีกทั้งถ้าเธอเกิดถูกใจชุดไหน เธอก็จะเรียกรูบี้ให้มาหยิบแยกออกไป
“ฉันไม่ใช่สาวใช้ของเธอ…!”
ไม่ใช่หรือไง รูบี้ที่เกือบจะหงุดหงิดและพูดออกมาแบบนั้นเม้มปากของเธอแน่น พลางนึกถึงคำแนะนำที่แอนนี่พูดให้ฟังเมื่อครู่นี้ เพราะเธอคิดว่า ‘เรื่องที่ไม่มีใครทำกัน’ นั้นอาจจะเป็นเรื่องแบบนี้ก็ได้
“…เข้าใจแล้ว”
รูบี้พยักหน้าเงียบๆ พลางจินตนาการค่าตอบแทนอันหอมหวานที่อาเรียจะให้ มันมากพอที่จะทำให้เธอไปเดินตามหลังคอยดูแลสาวใช้สามัญชนผู้ไร้ค่า
รูบี้เดินตามหลังแอนนี่ที่กำลังเลือกชุดนับสิบอย่างเงียบๆ
* * *
สิ่งที่ยังค้างคาอยู่ก็มีแค่งานแต่งงานของแอนนี่และเจสซี่ เพราะอาเรียได้จัดงานอภิเษกสมรสไปแล้วและปรับตัวกับชีวิตความเป็นอยู่ภายในวังได้แล้ว และเธอเพิ่งจะรับประกันอนาคตของพวกเธอไปอีกด้วย
พวกเธอตั้งใจเลื่อนงานแต่งของตัวเองเพื่ออาเรีย และพวกเธอก็จัดงานแต่งงานราวกับพวกเธอเฝ้ารอวันนี้มานาน
ระหว่างแอนนี่และเจสซี่นั้น คนที่ได้แต่งงานก่อนก็คือเจสซี่ เนื่องจากเดิมทีแอนนี่มีกำหนดการที่จะจัดงานแต่งงานก่อนเจสซี่ แต่เมื่อเริ่มได้รับการสนับสนุนจากอาเรียรวมถึงชุดเดรส แอนนี่ก็ยกเลิกทุกอย่างที่ตัวเองตัดสินใจไป แล้วเริ่มเตรียมงานใหม่ทั้งหมด
กลับกัน เจสซี่ได้รับการสนับสนุนจากอาเรียแค่เท่าที่จำเป็นและใช้ของที่ตัวเองเตรียมไว้ ทำให้พิธีดำเนินไปตามกำหนดการ
ในตอนแรกเธอหนักใจเพราะเธอรู้สึกว่าที่อาเรียให้นั้นมันมากเกินไปและพยายามจะปฏิเสธ แต่เธอก็ถูกอาเรียผลักดันให้รับ
“นี่มันเรียกว่างานแต่งของสามัญชนตรงไหนกัน แม้แต่ในหมู่ขุนนางกันเอง ก็มีแต่พวกที่ร่ำรวยจริงๆ นั่นแหละที่ทำได้”
แม้เจสซี่จะปฏิเสธ แต่อาเรียก็ตกแต่งสถานที่งานแต่งของเธอให้สวยสดงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้บรรดาแขกที่มางานต่างตกตะลึงตามๆ กันไป
“เธอมีพระชายาคอยช่วยหนุนอยู่ข้างหลังไม่ใช่หรือไง เธอเป็นสามัญชนธรรมดาๆ ที่ไหนกันล่ะคะ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นค่ะ แถมสามีของเธอก็มีความสามารถที่โดดเด่นและอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสม อีกเดี๋ยวเธอก็คงจะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ในไม่ช้าก็เร็วละค่ะ”
“ถึงแต่ก่อนจะไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้ให้เห็น แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้สินะคะเนี่ย”
“แล้วเจ้าชายเองก็ตกหลุมรักพระชายาหัวปักหัวปำ พระชายาขออะไร เจ้าชายก็คงทำให้หมดเลยน่ะสิคะ”
“ฉันมั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าชายจะต้องได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแน่ๆ มันก็เลยง่ายล่ะมั้งคะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอคงจะเป็นหญิงที่โชคดีที่สุดในอาณาจักรเลยละค่ะ”
“ตอนนี้เธอก็เป็นแบบนั้นแล้วไม่ใช่หรือคะ”
พวกคนที่สนทนากันเรื่องเจสซี่นั้นเป็นพวกขุนนางที่ไม่ได้สนิทกับเธอมากนั้น ดูเหมือนพวกเธอจะมาร่วมงานเพราะคิดจะมาทำให้อาเรียประทับใจหากอาเรียมา
อีกทั้งพวกเธอยังเชื่อว่าเจสซี่ผู้เป็นสาวใช้คู่ใจของอาเรียจะได้เลื่อนสถานะของตัวเองขึ้นไปอีกในไม่ช้า พวกเธอจึงส่งเสียงทักทายแม้กระทั่งญาติๆ ของเจสซี่อย่างอ่อนหวาน
“ตายจริง พระชายามาจริงๆ ด้วย!”
แล้วอาเรียก็มาปรากฏตัวพร้อมกับอาซก่อนพิธีจะเริ่มอย่างที่เหล่าผู้ชมคาดไว้
แม้จะบอกว่าเจสซี่เป็นสาวใช้คนโปรดมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแค่สามัญชน พวกเขาจึงคิดว่าอาเรียจะมาคนเดียว แต่อาเรียปรากฏตัวพร้อมกับอาซ ทำให้พวกเขาทุกคนมั่นใจขึ้นมาอีกครั้งว่าเจสซี่และฮานส์จะได้รับการเลื่อนยศแน่นอน
อาเรียไม่ทักทายใคร เธอเดินตรงไปยังห้องรับรองและทักทายเจสซี่
“มะ ไม่ต้องมาก็ได้นะคะ…”
“ฉันจะพลาดงานแต่งงานของเธอได้อย่างไรกันล่ะ”
เธอคือเจสซี่ คนเดียวที่คอยพูดสิ่งที่ถูกต้องอย่างตรงไปตรงมาแก่ฉันที่เคยเป็นนางร้ายนิสัยไม่ดีคนนั้นไม่ใช่หรืออย่างไร แม้เธอจะพบกับจุดจบอันน่าสังเวชเพราะเธอไม่ยอมทำตามคำพูดของเจสซี่ เรื่องต่างๆ เหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว แต่ความไว้วางใจต่อเจสซี่กลับมั่นคงขึ้นในระดับที่ไม่อาจแตกหักได้
อาซเองก็รู้เรื่องนั้น เขาจึงยินดีที่จะตามอาเรียมาโผล่หน้าในงานแต่ง แม้จะเพียงครู่เดียวก็ตาม
“เดี๋ยวเธอก็จะได้หยุดยาวแล้ว ฉะนั้นไปเที่ยวเล่นให้สบายใจนะ เพราะพอเธอกลับมาแล้ว เธอก็จะต้องกลับมาทรมานกับงานหนักอีก”
“…ขอบคุณนะคะ”
แม้เธอจะพูดเช่นนั้น แต่บริเวณขอบตาของเจสซี่ก็แดงขึ้นมา เพราะเธอรู้ว่าการมีงานให้กลับไปทำนั้นเป็นการอุปถัมภ์ค้ำจุนจากอาเรีย
สาวใช้แบบไหนกันที่ได้หยุดยาวแค่เพราะแต่งงานน่ะ มันเป็นงานที่ต้องจัดพิธีในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะมีมาเพียงแค่ครั้งเดียวในสัปดาห์หนึ่ง
พวกที่ไม่สามารถแม้แต่ทำเช่นนั้นได้ก็มีอยู่มากมาย ไม่สิ สาวใช้ที่ไม่ได้แต่งงานนั้นมีเยอะกว่า เพราะมันเป็นอาชีพที่พวกเธอจะไม่สามารถดูแลครอบครัวได้หลังจากแต่งงาน พวกที่เลือกที่จะลาออกพร้อมกับแต่งงานจึงมีอยู่เยอะ เพราะพวกเธอกลับไปอีกครั้งไม่ได้แล้ว
“เอาล่ะ ฉันได้เจอหน้าเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอกลับก่อนนะ ฉันอยู่นานไม่ได้เพราะฉันปลีกเวลายุ่งๆ ออกมาน่ะ”
“ไม่เลยค่ะ แค่พระชายามาหา ดิฉันก็รู้สึกขอบคุณจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้วค่ะ”
แค่เธอโผล่มาให้เห็นแค่หน้า แม้จะไม่ได้ทักทายใครแบบนี้ เจสซี่ก็รู้สึกเกียรติมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้อาเรียจึงค่อยๆ มองไปยังร่างของเจสซี่ที่ดูไม่มีความกระเซอะกระเซิงเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหันฝีเท้าของเธอกลับไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อได้ยินอาเรียพูดเช่นนั้นระหว่างที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังรถม้า อาซก็เพิ่มแรงเข้าไปที่มือของเขาที่จับมืออาเรียอยู่และปลอบเธอ
“เจสซี่เป็นสาวใช้ของคุณมานาน ก็ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกแบบนั้นหรอกครับ”
“ตอนที่คนสนิทของคุณอาซแต่งงาน คุณอาซรู้สึกแบบนี้ไหมคะ”
“ผม… หรือครับ”
ทว่าอาซดูลนลานและไม่สามารถตอบคำถามอันกะทันหันของเธอได้อย่างง่ายๆ เขาคงจะไม่เคยรู้สึกแบบนี้
ถ้าเขาจะปลอบใจเธอ เขาจะพูดว่า ‘ใช่’ หรือ ‘เดี๋ยวเวลาผ่านไป ก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง’ ก็ได้ ต่อให้เป็นคำโกหกก็ตาม
ในตอนที่เธอพยายามเอาความรู้สึกแปลกๆ ออกไปและกลับมาทำตัวให้เป็นปกติ เพราะเห็นเขาพูดไม่ออกและมีท่าทีเป็นกังวลว่าควรจะพูดอะไรดีนั้นเอง
บริเวณห้องโถงก็คึกคักขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง พวกที่มาออกันส่งเสียงอึกทึกครึกโครมขนาดที่ไม่ได้สังเกตว่าเจ้าชายและพระชายาเดินผ่านไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคน
ความอิจฉาริษยาและไม่พอใจปะปนอยู่ไม่น้อยภายในดวงตาของพวกเขา แอนนี่ส่งสายตาอย่างลับๆ ให้เธอแบบที่พวกเขาไม่ทันได้สังเกตเห็น
มีเรื่องอะไรกันนะ ทำไมถึงมีสายตาไม่บริสุทธิ์แบบนั้นอยู่ในพิธีแต่งงานของเจสซี่ผู้สมควรจะได้รับแต่คำอวยพรเท่านั้นกันล่ะ
อาเรียหันกลับไปมองเพื่อเช็กดูให้แน่ใจ แล้วเธอก็เห็นบารอนเวอร์บูมและแอนนี่อย่างไม่ได้คาดคิด
เธอสวมชุดเดรสชุดหนึ่งในบรรดาชุดที่อาเรียให้มาเป็นของขวัญ ชุดนั้นดูสง่างามล้ำหน้าเหล่าขุนนางไปและเป็นรองแค่เจ้าสาว ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนว่าเธอจะดึงดูดความสนใจของทุกคนไปโดยปริยาย แม้เธอจะไม่ได้แสดงพฤติกรรมโดดเด่นเตะตาอะไรเป็นพิเศษ และดูเหมือนนั่นจะทำให้บรรดาขุนนางรู้สึกไม่พอใจ
ถึงแอนนี่จะเป็นสามัญชน แต่เธอก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ควรมีใครมาก่นด่าอย่างเปิดเผยได้ หรือแม้แต่ซุบซิบนินทาลับหลังแบบนั้นก็ด้วย
ไม่สิ พวกนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลจากหลังแอนนี่ขนาดนั้น นี่มันอยู่ในระยะที่ขนาดฉันยังสังเกตเห็นเลยไม่ใช่หรือไง มันแทบจะไม่ต่างอะไรกับการวิจารณ์เธอโดยปิดแค่ตาเธอเอาไว้
แม้มันจะไม่จำเป็นจะต้องได้รับความรักและความเคารพจากทุกคน แต่การที่ต้องมาฟังคำดุด่าในระยะเผาขนแบบนี้โดยแสร้งว่าไม่ได้อยู่ในระยะใกล้นั้นเป็นเรื่องน่าอารมณ์เสีย
อีกทั้งมันยังทำให้อาเรียนึกถึงตอนที่ขุนนางเคยหัวเราะเยาะเธอในอดีต ด้วยเหตุนี้สีหน้าของอาเรียที่มองดูเธออยู่สักพักจึงเปลี่ยนไป
สีหน้านั้นเหมือนกับสีหน้าของเธอในอดีตตอนที่เธอมีนาฬิกาทรายอยู่ในมือและวางแผนว่าจะแก้แค้นมิเอลอย่างไรดี และยังเป็นสีหน้าที่บ่งบอกว่าเส้นทางไปของเธอยังอีกยาวไกล
“ฉันตั้งใจว่าจะกลับวังทันที แต่… ยังไงฉันก็คิดว่าจะต้องแวะไปที่โถงสักครู่น่ะค่ะ”
หลังจากที่อาซมองดูบรรยากาศของห้องโถงและอาเรียที่ดูเปลี่ยนไป เขาก็พยักหน้าเหมือนกับคิดว่ามันช่วยไม่ได้ อาซเคยพูดไปแล้วว่าไม่ว่าอาเรียจะทำอะไร มันก็ไม่สำคัญ เขาจึงดูไม่มีความคิดที่จะห้ามอาเรียไว้
อาเรียก้าวเท้าเข้าไปยังห้องโถงอย่างเบาๆ บรรดาขุนนางที่เอาแต่แอบว่าร้ายแอนนี่จนถึงตอนนี้เริ่มทำตัวสุภาพอ่อนน้อมและโค้งคำนับต่อรูปลักษณ์อันสง่างามและโอ่อ่าของเธอ ราวกับไม่เคยพูดว่าร้ายแอนนี่มาก่อน
พลางสังเกตว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองดูดีขึ้นในสายตาอาเรีย
‘ใช่แล้ว ที่ตรงนั้นล่ะที่พวกเธอสมควรจะอยู่’
ทว่าเธอไม่คิดว่าพวกเขาจะทำแบบนั้น เธอจึงต้องทำให้พวกเขาเชื่องเสียหน่อย ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้อดีตกลับมาซ้ำรอยอีกเช่นกัน
“แอนนี่”
อาเรียเรียกชื่อแอนนี่ แอนนี่ที่ไม่ได้สังเกตว่าอาเรียเดินเข้ามาใกล้ยิ้มกว้างให้อาเรียและโค้งคำนับเธอ ดูราวกับตัวเธอที่ทั้งทึ่มและโง่เขลาในอดีต
“ต่อให้เธอจะชอบบารอนเวอร์บูมแค่ไหน อย่างน้อยเธอก็ควรกล่าวทักทายบรรดาขุนนางที่กำลังสนใจเธอกันอยู่หน่อยไม่ใช่หรือ เพราะอีกเดี๋ยวเธอเองก็จะกลายเป็นสมาชิกของสังคมขุนนางชนชั้นสูงแล้วนี่”
สีหน้าของเหล่าขุนนางเริ่มซีดหลังจากที่อาเรียพูดราวกับว่าเธอได้เฝ้ายืนดูพวกเขาทุกคน ถ้าทุกคนเกิดรู้สึกกลัวกันง่ายขนาดนี้ ก็ไม่ควรจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไง
อาเรียยิ้มพลางมองดูใบหน้าของบรรดาขุนนางทีละคน อีกทั้งมันยังเป็นขั้นตอนการตรวจเช็กในการฝึกฝนสีหน้าของทุกคน
อาเรียที่เช็กสีหน้าของพวกเขาที่ค่อยๆ หวาดกลัวขึ้นทีละนิดก็เปิดปากของเธออย่างช้าๆ หลังจากเช็กสีหน้าของแอนนี่เป็นคนสุดท้าย
ได้เวลาของเธอที่จะสั่งสอนให้พวกเขาได้รู้ที่ยืนของตัวเองแล้ว
(พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย อวสาน)
……………………………..