นัยน์ตาประกายสีเขียวคู่นั้นที่ได้สบตา ช่างเป็นดวงตาบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ในแววตานั้นเลย
แต่ดูจะไม่ระวังตัวมากเกินไปหน่อย เด็กชายหยุดความคิดของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ
“จะว่าไป ฉันหลับไปนานเท่าไรแล้วนะ”
“อืม.. หนึ่งวัน เพราะหลับไปเมื่อวาน”
นี่ฉันหลับไปทั้งวันเลยเหรอ
ที่ผ่านมาคงนอนไม่ค่อยหลับล่ะมั้ง ค่อยโล่งอกไปหน่อย เด็กที่โล่งอกคนนั้น มีอาเรียตัวติดอยู่ด้วย
“เจ้าชาย!”
“ทำไมต้องเรียกว่าเจ้าชายอยู่เรื่อยเลย”
“ก็เพราะเจ้าชายช่วยฉันนี่นา!”
“…ถ้าช่วยเธอก็จะกลายเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ”
“อื้ม! เจ้าชายเคยพูดว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกอยู่ในอันตราย! ขี่ม้าขาวมาด้วย!”
ใครพูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นกัน อย่าว่าแต่ม้าขาวเลย สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก
“หมายความว่าอะไร…”
เด็กชายที่ตั้งใจจะซักถามว่าพูดเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของ ‘เจ้าชาย’ และ ‘พระชายา’ ในคำพูดเธอ
เจ้าชายที่แสนเท่ พระชายาที่งดงาม
อะไรประมาณนั้นสินะ จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้าพูดต่อหน้าเหมือนกัน
‘เพราะอย่างนั้นฉันเลยดูเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยเด็กหญิงคนนั้นน่ะเหรอ’
หมายถึงดูเท่งั้นเหรอ สภาพแบบนี้ยังดูดีจนเหมือนขี่ม้าขาวเลยอย่างนั้นเหรอ
แต่พอคิดอย่างนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เกร็งตาโดยใช่เรื่องไปซะแล้ว แทนที่จะเหน็บแนมว่าเป็นเจ้าชายจริงหรือไม่ การถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายรูปงามนั้นไม่ดียิ่งกว่าหรือ
แต่จะปล่อยให้เรียกตนว่าเจ้าชายแบบนี้ตลอดไม่ได้ หนีแทบไม่รอด… มันอันตรายเกินไป
“ฉันไม่ได้ชื่อเจ้าชายนะ อย่าเรียกแบบนั้นสิ”
“งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะ”
“อา…”
เด็กชายตั้งใจจะบอกชื่อของตนเองไปเพื่อตอบถามอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองทันที
เพราะไม่รู้ว่าจะอันตรายหรือเปล่า จึงบอกว่าอย่างเรียกตนว่าเจ้าชายแต่ก็เกือบบอกชื่อของตนไปเสียแล้ว เป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง จนคิดว่าโดนมีดปักที่ศีรษะไม่ใช่ขาด้วยซ้ำ
เด็กชายคนนั้นตกอยู่ในห้วงความคิดชั่วครู่
เรียกว่าอะไรดีนะ หากบอกชื่อเต็มไปก็หมายความว่าเปิดเผยตัวตน แต่จะให้ตั้งชื่อใหม่ก็คิดไม่ออก
เพราะอย่างนั้นจึงเหลือทางเลือกแค่อย่างเดียว
“อาซ เรียกฉันว่า อาซ”
“อื้ม เจ้าชายอาซ!”
“ตัดคำว่าเจ้าชายออก! …แต่จะว่าไป เธอชื่ออะไรล่ะ”
“อาเรีย เรียกฉันว่า อาเรีย! นะคะ เจ้าชาย!”
อาเรียยิ้มร่าพร้อมกับพูดตอบ
นัยน์ตาสีเขียวสดใสโค้งลงอย่างนุ่มนวล มัวแต่เรียกว่าเจ้าชายอยู่อย่างนั้น เขาต้องโกรธแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้นทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ออกไปได้
ใครกัน… ใครบอกล่ะว่าขี้เหร่ บ้าหรือเปล่าน่ะ อาซบ่นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ล่ะก็จะทุบสั่งสอนพวกที่ตาไม่ถึงให้สักหน่อย
“บอกว่าไม่ให้เรียกว่าเจ้าชายไง”
“อื้ม!
* * *
“อะไรเนี่ย… อายุแปดขวบแล้วเหรอ”
อาซที่ตกใจหลังจากได้ยินอายุของอาเรียจึงถามอย่างตกใจ
ถึงจะอายุมากก็ตามแต่คิดว่าคงไม่เกินเจ็ดขวบ ทำไมถึงตัวเล็กขนาดนี้นะ
“อาซล่ะ”
“ฉันสิบเอ็ดขวบ”
“ว้าว! เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นา!”
ยังไม่เคยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเลยนะ ปกติโดนดุอยู่เรื่อยว่าความสามารถไม่พอ ยังขาดฝีมือ แต่เมื่อได้พบกับอาเรียที่ตัวเล็กและบริสุทธิ์เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ที่โตมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
“เพราะอย่างนั้นเลยทำลายพวกคนไม่ดีสินะ”
ดวงตาของอาเรียเป็นประกาย
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่เพราะแค่เขาต้องเรียนรู้สิ่งที่จะเอาไว้ปกป้องตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แม้จะกลายเป็นว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้กลับให้อะไรไม่ได้ก็ตาม
“ถ้าฉันโตขึ้นจะสามารถจัดการคนไม่ดีพวกนั้นได้เหมือนกันไหมนะ”
“ไม่ได้หรอก”
ถึงจะโตไปมากกว่านี้ แต่จะโตได้สักเท่าไรกัน
เมื่ออาซตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา อาเรียจึงเผยสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เป็นใบหน้าที่ดูผิดหวังมาก
ได้เห็นภาพแบบนี้ เลยรู้สึกเหมือนทำบาปไปเสียอย่างนั้น แค่ทำให้เด็กน้อยผิดหวังไปเท่านั้นเอง อาซหลับตาแน่น
“ไม่ต้องใช้กำลังก็ได้ เพราะมีตั้งหลายวิธีที่จะจัดการคนไม่ดีพวกนั้นนี่นา”
“งั้นเหรอ อะไรบ้างล่ะ”
มีวิธีการพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ! อาเรียส่งสายตามองอาซอย่างเป็นประกาย
อาซจึงกลอกสายตาพร้อมกับตอบ
“ก็… แค่ให้เงินคนอื่นไปจัดการทุบตีให้ หรือจะขุดคุ้ยทรัพย์สินวิธีแบบนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน หรือไม่ก็สั่งให้ย้ายรกรากก็ไม่เลว หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือการให้คนที่มีอำนาจมากกว่าไปจัดการเขาอย่างไรล่ะ ยิ่งมีความสนิทชิดเชื้อกันเท่าไรยิ่งดี”
“…….”
หลังจากที่อาซอธิบายเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทั้งหมดอย่างอิ่มอกอิ่มใจจึงรอการตอบรับจากอาเรีย
ทว่าโชคร้ายที่อาเรียกลับแสดงสีหน้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเธอไม่เข้าใจ เป็นสีหน้าราวกับถามว่าพูดเรื่องอะไรอยู่เสียอย่างนั้น
“….อ๋อ”
“เธอคงไม่เข้าใจสินะ”
“อื้ม!
อาเรียตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับควงแขนอาซ เพราะคิดว่าเด็กน้อยอย่างอาเรียคงจะไม่เข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก
ต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ อาซกังวลอยู่ครู่หนึ่ง พลางเลือกคำอธิบายง่ายที่สุดที่ตัวเองรู้ ถ้าพูดแบบนี้ก็คงจะเข้าใจสินะ
“ฮืม อาเรีย เธอแค่ขอร้องให้คนที่มีแรงหรือมีเงินมากช่วยก็ได้”
เป็นคำอธิบายง่ายๆ
ซึ่งนั่นเป็นคำตอบ หากจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ก็แค่ยืมมือคนอื่นก็เท่านั้นเอง
ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาเรียจะเข้าใจคำอธิบายง่ายๆ เขาจึงเบิกตาโตเป็นประกายขึ้น
“อ๊ะ! เหมือนกับอาซเหรอ”
“…ฉันหรือ”
“อื้ม! อาซช่วยฉันไว้นี่นา!”
และอาเรียก็พยายามจะช่วยอาซด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเรื่องของอาเรียอยู่ในจุดที่เกี่ยวพันกับชีวิต จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น อาซจึงตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีแรงมากก็ได้นี่นา แน่นอนว่าถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้นอาซจึงสามารถตอบว่าใช่ได้
“ก็…นั่นสิ”
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมีอาซช่วยก็ได้นี่นา!”
“ว่าไงนะ”
แต่นั่นก็
ถึงจะเป็นเรื่องง่ายที่ช่วยเหลือเด็กแถวนี้ แต่ในฐานะที่เขาเพิ่งถูกโจมตีถึงขั้นชีวิตเมื่อคืนแล้วดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ดีสักเท่าไร หากสะดุดตาเข้าล่ะก็อันตรายแน่ๆ
“…….”
“อาซไม่มีกำลังเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
แม้ในนามจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจพวกนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย
เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหุ่นเชิดที่จะถูกกำจัดไปเมื่อไรก็ได้
แม้จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็ตาม แต่สามารถสร้างราชวงศ์ได้ อาจจะเป็นลูกชายคนโตจากสายเลือดของดยุกเฟรดเดอริกก็ได้ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มขุนนางมากกว่า เพราะอย่างนั้นเลยทำเรื่องแบบนั้นเมื่อคืนสินะ
ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนและสีหน้าไม่ดีของอาซ ทำให้ใบหน้าอาเรียห่อเหี่ยวลง
“แต่อย่างไรเสีย ต้องดุพวกที่ตัวใหญ่กว่าอยู่แล้วนี่นา!”
“ดูเหมือนว่าจะโชคดีล่ะสิ”
“…….”
อาเรียกัดปากแน่นเนื่องจากคำปฏิเสธที่หนักแน่นของอาซ
ช่างเป็นคำตอบที่ยากที่จะตอบโต้ได้ ขนาดผู้ใหญ่ยังจะไม่ไหวเลย เด็กขนาดนี้จะมีหนทางไหมนะ
ทว่าอาเรียกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแล้วนัยน์ตาเป็นสีเขียวของเธอก็เริ่มเปล่งประกายออกมาราวกับว่าเธอหาคำตอบเจอ
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยก็ได้สินะ!”
“บางทีถ้ามีเรื่องทะเลาะเกิดขึ้น ฉันก็เคยชนะอยู่เหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้น กลับกันฉันจะช่วยอาซเอง! ถึงจะเห็นแบบนี้ก็ตาม ฉันแรงเยอะนะ!”
อาเรียพูดพร้อมกับยกแขนตัวเองที่เรียวเล็กราวกับกิ่งไม้
ช่างเป็นแขนที่น่าเชื่อถือเสียจริง อาซยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยได้หายไปเสียแล้ว
“ใช่ ช่วยทำแบบนั้นหน่อยนะ”
“อื้ม!
โครก..
เมื่อพูดระบายเรื่องจริงจัง ทันใดนั้นท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากอาเรียต้องมาเฝ้าไข้ ส่วนอาซก็สลบไปทำให้ทั้งคู่จึงอยู่ในสภาพที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
“กินขนมปังไหมล่ะ”
“มีขนมปังเหรอ”
“อื้ม! แม่ฉันซื้อไว้น่ะ”
อาซพยักหน้า
กำลังหิวอยู่พอดีเลย บอกว่าจะให้ขนมปังอย่างนี้ มีหรือจะปฏิเสธ
อาเรียจึงรีบวิ่งไปยังห้องครัว แม้จะน่าอายที่เรียกว่าห้องครัวเพราะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดข้างๆ อย่างไรก็ตามเธอก้าวไปไม่เท่าไรก็เอาขนมปังมาจากห้องครัวได้
เป็นขนมปังก้อนแข็งที่อาเรียทานได้ไม่เท่าไรก็หยุดทาน อาซที่กำลังถือก้อนขนมปังที่แข็งราวกับอิฐอยู่อย่างไม่คิดอะไรด้วยสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าขนมปังนั้นเสียอีก
“นี่อะไรเนี่ย”
“หืม ขนมปังไงล่ะ!”
“…นี่ขนมปังงั้นเหรอ”
ไม่ใช่หินเหรอ
สีของขนมปังราวกับหิน จะกินได้จริงหรือเปล่านะ อาซนำขนมปังมาแตะปลายจมูกพร้อมกับสีหน้าสงสัย …ไม่ใช่กลิ่นของอาหารนี่
“คงไม่ได้โกหกใช่ไหม”
งึกๆ สีหน้าของอาเรียไม่มีความโกหกเลยแม้แต่นิด
เพราะอย่างนั้นจึงทำให้อาซกังวลและคิดมาก คิดมาว่านี่เป็นอาหารจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเผลอกินเข้าไปแล้วจะตายนะ
คงไม่ใช่คนที่บรรดาชนชั้นสูงส่งมาลอบฆ่าสินะ อาซส่งสายตามองอาเรียราวกับเคลือบแคลงใจ
ยิ้มร่า อาเรียยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารัก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาสูญเสียตัวตนของเขา สิ่งที่เขาเคลือบแคลงใจกลับหายไป
“…เธอไม่กินเหรอ”
“ฉันหรือ”
อาเรียอ้าปากตัวเองให้เห็นฟันแทนการตอบ
“อ๋อ กินไม่ได้สินะ”
เพราะอยู่ในสภาพที่ฟันหลุดไปหลายซี่พอๆ กับอายุ เพราะอย่างนั้นเลยทานขนมปังที่แข็งราวกับหินแบบนี้ไม่ได้สินะ
อาเรียส่งสายตาราวกับให้รีบกิน และยังส่งแววตาเป็นประกายนั้นต่อ ถึงขนาดรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ
“ฮืม…”
เพราะอย่างนั้น ขนมปังพวกนี้ ปกติแล้วแทบจะไม่ได้ชายตามองเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดจนต้องหยิบมันใส่ปาก ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ป๊อก’ ที่น่ากลัวในปากของเขา …หรือว่า ฟันคงไม่ได้แตกใช่ไหมนะ
“เป็นไง อร่อยไหม”
ไม่เลย อย่าว่าแต่รสชาติเลย มีแค่ความปวดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
ถ้าอาเรียลองกินก็คงรู้รสชาติไปแล้ว ทำไมถึงกับต้องซักไซ้ถามรสชาติด้วยนะ หรือว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้กินขนมกันเลยสักก้อนอย่างนั้นเหรอ
อาซที่รู้สึกสงสัยจึงถามออกไป
“เธอไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ทำไมถามรสชาติล่ะ”
“ฉันหรือ แน่นอนว่าไม่เคยกินมาก่อนน่ะสิ จะกินได้อย่างไรล่ะ”
ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะฟันทำให้กินไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นปกติแล้วกินอะไรล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นเธอกินอะไรเหรอ”
“ฉันหรือ ก็อะไรที่คล้ายกับจำพวกหญ้า”
หญ้านั้นสามารถหาได้ทุกที่
แม้จะไม่สามารถหาหญ้าที่สดใหม่และอร่อยได้ หากไม่มีพิษก็สามารถหยิบกินได้โดยไม่สนใจอะไร เนื่องจากอาการที่แม่หามาให้มีแค่ขนมปังแข็งๆ เท่านั้น อาเรียจึงต้องกินหญ้าไปโดยปริยาย
แน่นอนนั่นไม่ได้หมายความว่าจะเก็บหญ้าอะไรก็ตามที่อยู่รอบบ้าน แต่อย่างไรเสียเธอกินหญ้าที่แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังไม่กิน
“อันนี้ไม่อร่อย”
อาซมองอาเรียที่เก็บหญ้ามาจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่
………………………