“พระชายาคะ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ”
ทว่าผู้ที่มาเข้าพบนั้นไม่ใช่สาวรับใช้หรือหมอประจำตัว แต่เป็นเจสซี่ที่เข้ามาในห้องนอนพร้อมกับเบิกตาโพลงเมื่อเห็นอาซจากนั้นเธอก็โค้งศีรษะให้เขา
“ขะ ขอประทานอภัยด้วยค่ะ! ดิฉันไม่ทราบว่าท่านอยู่ด้วย เลยถือวิสาสะ…”
เพราะเจสซี่พูดออกมาราวกับว่าเธอได้ทำลายช่วงเวลาดีๆ ลงไป อาเรียจึงส่ายหน้าออกไป
“ไม่ใช่อะไรอย่างนั้นเสียหน่อย ไม่มีอะไรต้องขอโทษกันหรอกนะ อีกอย่างถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ฉันคงไม่บอกให้เธอเข้ามาข้างในหรอก”
เมื่ออาเรียบอกว่าไม่เป็นอะไร เจสซี่ก็สำรวมมารยาทแล้วปรับท่าทางให้เหมาะสมขึ้นมา
“เอ่อ…ที่จริงแล้วดิฉันตั้งใจจะมารายงานช่วงเช้าให้ฟังค่ะ ค่อยให้ดิฉันมาอีกรอบดีไหมคะ อย่างไรเสียก็ไม่มีประเด็นสำคัญอะไร…”
หน้าที่ของเจสซี่คือการตรวจดูสิ่งอำนวยความสะดวกที่อาเรียสร้างขึ้น และนำมารายงานนั่นเอง
นอกจากนั้นแอนนี่ซึ่งแต่งงานกับบารอนเวอร์บูมไปแล้ว ก็ยุ่งอยู่กับการช่วยงานสามี และต้องดูแลงานอื่นนอกจากนั้นด้วย
เพราะเหตุนั้นอำนาจและตำแหน่งเลขานุการเพียงหนึ่งเดียวของพระชายาจึงเป็นของเจสซี่ แต่เจสซี่กลับไม่รู้จักใช้อำนาจนั้นตามใจชอบเสียเท่าไหร่ เธอเอาแต่ทำในสิ่งที่ต้องทำอย่างเงียบๆ เท่านั้น
‘เพราะแบบนั้นถึงได้กังวลว่าบางทีเจสซี่อาจจะโดนดูถูกและถูกปฏิบัติอย่างไร้มารยาทก็ได้’
แต่ช่างโชคดีเสียจริง ที่กลายเป็นว่านั่นทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนรุ่มใจขึ้นมา
เพราะไม่ว่าจะเป็นการประจบสอพลอด้วยท่าทีอ่อนน้อม หรือสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลกับเธอได้ พวกขุนนางจึงปฏิบัติตัวต่อเจสซี่ได้ลำบากขึ้นมานิดหน่อย
แถมบางคนยังพูดว่าเจสซี่ดีกว่าแอนนี่ที่เห็นได้ชัดว่าชอบทำตัวเกินหน้าเกินตาด้วยซ้ำ
‘ไม่นึกเลยว่านิสัยน่าอึดอัดของเจสซี่จะเป็นประโยชน์ได้แบบนี้’
อาเรียหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทำไมจู่ๆ ถึงทำแบบนั้นกันนะ เจสซี่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างสงสัย แล้วเธอก็เห็นร่างเล็กๆ ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเข้า
“อ๊ะ…!”
แม้จะมองดูอยู่ห่างๆ แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าของร่างนั้นหน้าตาคล้ายอาเรียอย่างมาก เจสซี่กะพริบตาปริบๆ ไม่สามารถซ่อนความฉงนใจไว้ได้
“ฉันตั้งใจจะแนะนำให้เธอรู้จักตอนที่เด็กนี่ตื่นนอนละนะ แต่เมื่อเธอเห็นไปเรียบร้อยก็ควรจะบอกให้รู้ไว้เลยดีกว่า นี่ญาติฉันเอง ชื่อว่าบลิสจ้ะ”
เพราะเป็นเด็กที่อยู่ในพระราชวังมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงควรแนะนำให้รู้จักเอาไว้
เจสซี่คิดว่าการแนะนำของอาเรียก็เหมือนกับการอนุญาตนั่นเอง เธอจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงที่บลิสนอนอยู่
คงจับไม่ได้หรอกใช่ไหม อาซที่เฝ้าดูสถานการณ์รู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาเดินตามหลังเจสซี่ไป
“ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ น่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้ ถึงจะเป็นพระญาติแต่หน้าตาเหมือนพระชายามากเลยค่ะ”
เจสซี่พูดเสียงดังกว่าเดิม เมื่อได้เห็นใบหน้าน่ารักน่าชังที่ทำให้เธอนึกถึงตอนที่อาเรียเข้ามาในคฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์เป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าอาเรียในตอนนั้นยังดูห่างไกลจากคำว่าน่ารักอยู่มาก แต่เพราะหน้าตาที่เหมือนกัน เจสซี่จึงไม่สามารถละสายตาไปได้
เจสซี่ยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอลูบแก้มของบลิสที่ดูตุ้ยนุ้ยน่ารัก โดยที่อาซเข้าไปขว้างไม่ทัน
“…! ”
ในขณะนั้นบลิสก็กะพริบตาขึ้นมาพร้อมกับอาซที่ทำหน้าแข็งทื่อ
“อะ…ตื่นเพราะดิฉันหรือเปล่าคะ”
เจสซี่เอียงคอขึ้นมา ส่วนอาเรียที่ไม่รู้สถานการณ์ก็พูดออกมาว่าจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรและลุกขึ้น
“ไม่ใช่ว่าเธอดูผิดไปเองหรอกหรือ คงจะเหนื่อยมากถึงได้หลับปุ๋ยไปแบบนี้”
“แปลกจังค่ะ เหมือนคุณหนูจะกะพริบตาด้วยนะคะ”
เนื่องจากเจสซี่ยังไม่หายสงสัย อาซจึงแทรกขึ้นมา
“หลับสนิทเสียขนาดนั้น พอไปแตะเข้าก็คงจะขมวดคิ้วขึ้นมาในภวังค์น่ะสิ”
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่นั่นก็มีความหมายแฝงว่าเจสซี่แตะตัวบลิสโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
ในตอนนั้นเองเจสซี่ที่ตกใจตั้งใจจะชักมือตัวเองกลับไป
“อ๊ะ…!”
แต่บลิสที่แกล้งเคลิ้มหลับก็จับมือของเจสซี่ไว้
แน่นอนว่ามือเล็กๆ ของบลิสนั้น จับนิ้วมือของเจสซี่ได้เพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
ทั้งที่คนอื่นตั้งใจช่วยแท้ๆ แต่ตัวเองกลับพยายามทำให้ถูกจับได้ขึ้นมาเสียนี่ ชอบทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมา อย่างกับว่าไม่เคยร้องห่มร้องไห้ขอให้ช่วยอย่างนั้นแหละ
“…นี่ก็คงจะละเมอน่ะ”
อาซเดาะลิ้นไม่พอใจอยู่ในใจ และพยายามแก้ต่างออกมา
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดีคะ…ดิฉันไม่ต้องดึงมือออกมาก็ได้หรือคะ”
โล่งอกที่เจสซี่ไม่สงสัยอะไร ไม่สิ ท่าทางเธอจะดีใจมากกว่าสงสัยเสียอีก ถึงได้หน้าแดงและถามออกมา
“ถ้าเธอไม่ขัดอะไร ฉันว่าทำแบบนั้นก็ได้นะ”
พออาเรียอนุญาตเจสซี่ก็พยักหน้าอย่างแข็งขันและนั่งลงบนพื้นใต้เตียงพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
“ชอบเหรอ”
“ชอบสิคะ”
เพราะรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปดูแลอาเรียตัวน้อยในอดีตอีกครั้ง
แต่เจสซี่ก็ไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป เพราะเธอไม่อยากปล่อยมือน้อยๆ ที่น่ารักนี้เพราะพูดจาเรื่อยเปื่อยนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้ก็หน้าตาเหมือนอาเรียอย่างมาก จนเธอรู้สึกว่านี้คือเด็กที่อาเรียคลอดออกมา
เจสซี่อยากจะดูแลลูกของอาเรีย เหมือนกับที่เธอได้ดูแลอาเรียตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในคฤหาสน์ของเคานต์โรสเซนต์ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกที่มีต่อบลิสจึงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
“เอ่อ พระชายาคะ ถ้าหากว่าอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้แล้วละก็ ดิฉันขอรายงานตรงนี้เลยได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
เพราะได้รับอนุญาตแล้ว เจสซี่จึงเริ่มรายงานออกมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ในตอนนี้เจสซี่คุ้นเคยกับงานมากขึ้นแล้ว จึงไม่ได้รายงานเฉพาะสภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างง่ายๆ แต่ยังเสนอถึงเรื่องที่จำเป็นต่อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้วย
“เธอหมายความว่าให้จัดอบรมการปฐมพยาบาลขึ้นตามวาระในโรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วค่ะ ดิฉันได้ยินมาว่ามีหลายกรณีที่เกิดบาดแผลเล็กน้อย ซึ่งสามารถหายได้เพียงแค่ทำความสะอาดแล้วฆ่าเชื้อเท่านั้น แต่คนไข้กลับปล่อยละเลยเอาไว้จนแผลลุกลามมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ”
และยังได้เสนอให้แจกจ่ายยาทาแผลหรือผ้าพันแผลให้กับผู้ที่ผ่านการอบรมแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลาหนึ่งปีอีกด้วย
และให้จัดทำรายชื่อขึ้นมาต่างหาก เพื่อควบคุมไม่ให้ผู้คนเอาสิ่งที่ได้รับมาขายใหม่
ถือเป็นความคิดที่ไม่เลว กำลังแรงงานของประชาชนคือขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักร อย่างที่เจสซี่พูดเอาไว้ว่ามีคนที่ต้องเสียชีวิตจากโรคร้ายเพราะการมองข้ามบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ นั่นเอง
“ดีละ ถ้าอย่างนั้นเธอไปเขียนแผนงานว่าจะดำเนินการอย่างไรมาให้ละเอียดด้วยละ”
“ทราบแล้วค่ะ!”
เจสซี่ตาวาวเป็นประกายและตอบออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ดูน่ารักมากจนอาเรียยิ้มออกมา
ในระหว่างนั้นอาซที่รู้สึกหวั่นใจก็โล่งอกขึ้นมา
โชคดีที่ไม่ถูกจับได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรอาซก็ยังรู้สึกเป็นกังวล เพราะเรื่องเช่นนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้งในอนาคตแน่ๆ
***
“แม้ร่างกายจะอ่อนแอมาแต่กำเนิด แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาสุขภาพอะไรเป็นพิเศษค่ะ”
หมอหลวงตรวจร่างกายของบลิสอย่างละเอียดและพูดออกมาด้วยสีหน้าแจ่มใส
ซึ่งนั่นก็เป็นผลตรวจที่แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อมันเป็นแค่การแกล้งหลับไปเท่านั้น
ท่าทางของบลิสดูเหมือนคนที่หลับสนิทจริงๆ ถึงขนาดที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังจับมือเจสซี่พร้อมกับขอบตาสั่นสะท้านขึ้นมา
“ไม่มีปัญหาอะไรเลยงั้นหรือ แล้วพวกแผลเป็นล่ะ อย่างร่องรอยการบาดเจ็บหรือสารอาหารไม่เพียงพออะไรแบบนี้น่ะ”
อาเรียถามหมอหลวงออกไป เธอกังวลว่าบางทีบลิสอาจจะถูกแม่ที่แท้จริงทำร้ายร่างกายมาก็ได้
ความจริงใจที่แฝงออกมานั้น ทำให้หมอกะพริบดวงตาสีดำขลับและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ค่ะ อย่าทรงกังวลไปเลยนะคะ สารอาหารที่ได้รับนั้นครบถ้วนดี และไม่มีบาดแผลที่มองเห็นด้วยค่ะ”
อาเรียฟังคำตอบและขมวดคิ้วขึ้นมา เธอเข้าใจว่าบลิสต้องถูกทารุณหรือถูกปล่อยปละละเลยอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่างเลยงั้นหรือ
ทว่าเมื่อนึกถึงบลิสที่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากและบอกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่ดีที่ต้องหายไปขึ้นมา อาเรียก็คิดว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นคำพูดที่รุนแรงเกินไปก็ได้
“อ๊ะ และก็“
ในขณะที่หมอเอ่ยออกมาเพราะยังพูดไม่จบนั้น ก็สบตาเข้ากับอาซที่กำลังจ้องมองตนมาตลอดเข้าพอดี
‘…หืม ทำไมถึงจ้องแบบนั้นกันล่ะ’
ทันทีที่คิดอย่างนั้น สายตาของอาซจ้องไปมาช้าๆ ระหว่างบลิสที่แกล้งนอนหลับกับหมอหลวง
และคนหูตาไวอย่างเธอก็เข้าใจเจตนาของอาซได้ในทันที ดูเหมือนอาซอยากจะห้ามไม่ให้เธอพูดถึงสิ่งที่ตั้งใจจะพูดออกมา
ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนจะมีสาเหตุอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ อีกทั้งเรื่องที่แกล้งนอนหลับก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องพูดออกมา แค่มองข้ามมันไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร
หมอหลวงพยักหน้าเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ที่วางอยู่เกลื่อนกลาดแล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวดิฉันจะนำยาที่ช่วยฟื้นฟูเรี่ยวแรงมาให้ทีหลังนะคะ รสชาติยาขมและฝาดมาก แต่ก็ช่วยให้ไม่ให้เป็นลมหมดสติไปแบบนี้ค่ะ”
แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมมองข้ามไปง่ายๆ
แม้จะไม่รู้เหตุผลก็ตาม แต่ถึงกับทำให้อาเรียผู้ที่ตนถวายทั้งกายและใจทุ่มเทดูแลต้องเป็นกังวลขึ้นมาแบบนี้ อย่างน้อยก็จำเป็นต้องถูกลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง
และมันก็เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อได้ยินว่ายามีรสขมและฝาดเข้า ดวงตาของบลิสก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ไหนๆ หมอก็บอกแล้วว่าร่างกายไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้นเราปล่อยให้เด็กพักผ่อนแล้วออกไปกันดีกว่าไหมครับ”
ในระหว่างนั้นอาซก็รีบเข้ามาโอบไหล่เธออย่างรวดเร็วโดยที่อาเรียไม่ทันสังเกตได้ และปิดกั้นระยะสายตาอย่างเป็นธรรมชาติและพูดออกมา
“ผมหมายความว่าผมไม่สามารถปล่อยห้องทำงานให้ว่างไว้ แล้วอยู่ในห้องนอนต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทำงานแบบนี้ได้น่ะครับ”
ต้องขอบคุณเจสซี่ที่เธอเข้ามาในห้องนอนด้วยพอดี เนื่องจากช่วงบ่ายมีกำหนดการพบกับนักธุรกิจอายุน้อยอยู่นั่นเอง
“นั่นสิคะ ต้องแจ้งกับเลดี้โคลซี่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำชุดพิธีการขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะไม่ได้รบกวนอะไรมาก”
หากจะแจ้งให้ทราบด้วยคำพูดเฉยๆ คุณหญิงก็คงจะตกใจและรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นเรื่องที่น้องต่างแม่ของตนเป็นคนก่อขึ้น จึงควรที่จะไปพบและอธิบายสถานการณ์ให้ฟังพร้อมกับชดเชยให้เธออย่างเหมาะสมด้วย
แค่เพียงสองวัน ไม่สิ เจอกันยังไม่เกินหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเด็กที่ทำให้ต้องลำบากเอาเสียจริงๆ
“เธอช่วยตรวจดูบลิสเป็นระยะๆ ให้หน่อยนะ ถ้าตื่นขึ้นมาก็เตรียมอาหารกับยาให้ด้วย ส่วนห้องก็ไม่จำเป็นต้องย้ายหรอก ช่วยดูแลเธอที่นี่ให้หน่อยแล้วกัน”
“อ๊ะ! ดิฉันขอทำได้ไหมคะ”
ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาจากเจสซี่
เธอเดินไปมาใกล้ๆ บลิส และจ้องอาเรียอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าที่เหมือนกับลูกสุนัขรออาหารว่างอย่างไรอย่างนั้น
“ดิฉันจะทำโดยไม่ให้กระทบกับงานเลยค่ะ! และก็จะเขียนแผนงานโดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดด้วยค่ะ!”
หน้าตาของเจสซี่ดูประหม่ากลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
ในเมื่อเธออุตส่าห์เสนอตัวออกมาทำเรื่องที่ไม่จำเป็นให้ขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่อนุญาตได้อย่างไรเล่า
“เอาสิ”
“ขอบพระคุณค่ะ พระชายา!”
เจสซี่บอกว่าเธอตื้นตันใจมากๆ และโค้งหัวขอบคุณ จากนั้นอาเรียก็พูดออกมาว่ามีเรื่องให้ขอบคุณเยอะเสียจริงก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา
***
กึก ในขณะที่ทุกคนออกไปจากห้องและประตูถูกปิดลง บลิสก็ลืมตาพรึบขึ้นมา
ดวงตาสีฟ้านั้นไม่มีความง่วงอยู่เลย บลิสใช้ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นสอดส่องไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงช้าๆ
จากนั้นใบหน้าที่ควบคุมสีหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมา แล้วก้มดูมือที่ใช้จับมือของเจสซี่ไปโดยไม่รู้ตัว
‘มือของเจสซี่นุ่มจังเลย’
อีกแปดปีให้หลังก็ยังเป็นมือที่ไร้ซึ่งความหยาบกร้านอยู่ดี แต่คงเป็นเพราะพอย้อนเวลากลับมาแบบนี้เลยเป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น
“แบบนี้มันดีจังเลยนะ! ชอบมาก ชอบ! ชอบ! ”
บลิสพูดกับตัวเองด้วยความสุขใจที่ไม่สามารถควบคุมได้ และกลิ้งเกลือกไปมาบนผ้าห่ม
ทั้งยังคว้าเอาหมอนที่มีกลิ่นหอมของอาเรียเข้ามากอดและยิ้มออกมา
โชคดีจริงๆ ที่ปกติมักจะแกล้งทำเป็นเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ ในอนาคตก็เป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่ตอนนี้เองตนก็สามารถซื้อความกังวลใจและขจัดความสงสัยของอาเรียออกไปได้
‘วันข้างหน้าคงต้องออดอ้อนให้มากกว่านี้อีกหน่อยเสียแล้ว’
และหลังจากที่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นลง ก็ค่อยสารภาพความจริงแล้วหายตัวไปก็สิ้นเรื่อง
หากเหลือความทรงจำที่มีความสุขแบบนี้เอาไว้ละก็ จะไม่มีทางเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน
ในขณะที่บลิสคิดเช่นนั้นแล้วลุกพรวดขึ้นมากระโดดโหยงเหยงอยู่บนเตียง
บลิสก็ได้ยินเสียงขอเข้าเยี่ยมพร้อมกับเสียงเปิดประตูดังกึก
บลิสตกใจเมื่อได้เห็นผู้ที่เข้ามาอย่างกะทันหันและล้มคว่ำลงบนเตียง
ทั้งที่กำลังสนุกสนานกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่รอคอยมาตั้งนานอยู่แท้ๆ แต่คนที่โผล่เข้ามากลับเป็นคนที่เจ้าตัวไม่ได้อยากพบไปเสียได้
……………………