เพราะแอนนี่บอกให้เปลี่ยนที่คุย ทั้งสองจึงย้ายไปนั่งคุยกันที่ห้องรับรองซึ่งไม่มีใครอยู่เลย
ดูเหมือนแอนนี่ตั้งใจจะเล่าความลับให้ฟัง อาเรียจึงไม่ได้เรียกข้ารับใช้เข้ามา
แอนนี่มองไปรอบข้างเพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ ก่อนจะพูดว่า
“เอ่อ ที่จริงแล้ว…”
ดูไม่สมกับเป็นแอนนี่ที่ช่างพูดช่างจาเสียเลย
อาเรียอยากรู้ว่าแอนนี่ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ เธอจดจ่อไปยังริมฝีปากที่เผยอออกของแอนนี่
“ดิฉันตั้งครรภ์ค่ะ! ”
“…”
“เฮ้อ ในที่สุดดิฉันก็ได้บอกออกไปสักที! ”
แอนนี่ยิ้มสดใสราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก
เพราะแบบนั้น นี่หมายความว่าเธอทำให้คนอื่นรู้สึกกระสับกระส่ายถึงขนาดนี้ เพราะตั้งใจจะบอกว่าตัวเองท้องอย่างนั้นหรือ
เพราะคาดไม่ถึงว่าแอนนี่จะพูดเรื่องนี้ อาเรียจึงหลุดหัวเราะออกมา พอเห็นท่าทีตอบสนองที่ไม่ได้คาดคิดเข้า แอนนี่ก็ทำหน้าเหยเกขึ้นมา
“ทำไม ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้นล่ะคะ! ดิฉันอุตส่าห์ปิดเงียบเอาไว้เพราะอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกเลยนะคะ! ”
แม้จะรู้ว่าอาเรียคงไม่ได้แสดงท่าทียินดีอะไรมากมาย เพราะนิสัยเธอเป็นแบบนั้น แต่ก็คิดว่าเธอคงจะพูดแสดงความยินดีออกมาบ้าง แต่เธอกลับหัวเราะออกมาเสียได้
ในตอนนั้นเองที่อาเรียรู้ตัวว่าตัวเองหัวเราะมากเกินควร จึงแก้ต่างด้วยคำที่ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับคำแก้ตัวสักเท่าไหร่
“ก็บรรยากาศมันพาไปนี่นา ฉันก็เป็นกังวลขึ้นมา นึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นน่ะสิ”
“นั่นน่ะเป็นเพราะจะให้คนอื่นสังเกตเห็นไม่ได้ยังไงล่ะคะ ดิฉันอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกจริงๆ แม้แต่สามีของดิฉันก็ยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”
บารอนเวอร์บูมยังไม่รู้อย่างนั้นหรือ ทั้งที่บอกเขาก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแท้ๆ
เอาเถอะ อย่างไรความภักดีของแอนนี่ก็เป็นที่น่าชื่นชม อาเรียถอนหายใจไล่ความกังวลและความวุ่นวายใจออกไป ก่อนจะยินดีกับการตั้งครรภ์ของแอนนี่
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ยินดีด้วยนะ ขอให้เป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาเหมือนกับเธอนะ”
“ขอบพระคุณค่ะ พระชายา! ดิฉันอยากได้คำอวยพรจากพระชายาเป็นคนแรกเลยค่ะ ดีใจจังเลยค่ะ”
แก้มของแอนนี่แดงเรื่อขึ้นมา พร้อมกับยิ้มจนตาหยี
ถึงฉันจะอวยพรไปตามมารยาทก็เถอะ แต่การมีลูกมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ
อยู่ๆ อาเรียก็คิดแบบนั้นขึ้นมา แล้วถามแอนนี่ออกไป
“ดีใจที่จะมีลูกขนาดนั้นเลยเหรอ”
แอนนี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า
“อืม ไม่รู้สิคะ ที่จริงแล้วดิฉันยุ่งจนมากจนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ลูกงั้นหรือ ดิฉันไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”
หลังจากแต่งงานแอนนี่ก็กลายมาเป็นขุนนาง นอกจากต้องปรับตัวให้กับสถานะภาพชนชั้นสูงแล้ว เธอยังต้องช่วยธุรกิจของสามีและดูแลวงศ์ตระกูลอีกด้วย
พอมีเวลาว่างขึ้นมานิดหน่อยก็มักจะมาเยี่ยมอาเรียที่พระราชวัง
อีกทั้งการพบปะร่วมดื่มชากับเหล่าคุณผู้หญิงที่สนิทกับตระกูลของบารอนก็เป็นเรื่องที่ละเว้นไม่ได้ด้วย
“นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ดิฉันยังเป็นแค่สาวใช้อยู่เลยค่ะ ปกติแล้วสาวใช้ประจำตระกูลขุนนางก็มักจะไม่แต่งงานกันอยู่แล้ว นี่เลยเป็นเรื่องที่ดิฉันไม่เคยวางแผนเอาไว้ในชีวิตเลยค่ะ”
แม้จะพูดอ้อมแล้วอ้อมอีก แต่สุดท้ายก็เป็นการบอกว่าเพราะอาเรียเธอจึงมีวันนี้
แอนนี่ขอบคุณอาเรียอย่างไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร
อาเรียทำหน้าไม่พอใจต่อแอนนี่ที่ตอบไม่ตรงคำถามและเอาแต่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมา ก่อนจะถามเธออีกครั้ง
“แล้วสรุปเธอชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ รู้สึกแบบไหนกันแน่”
“อืม ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ ถ้าคิดให้ดีละก็ คงชอบค่ะ ตอนที่ดิฉันได้ยินหมอประจำตระกูลบอกว่าดิฉันตั้งครรภ์เข้า ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ลูกของดิฉันกับสามีนี่นา อยากรู้ว่าจะหน้าตาเหมือนใครกันค่ะ นอกจากนั้น-“
แอนนี่พึมพำว่าหากหลังจากนี้อาเรียมีลูกแล้วละก็ ตนก็คิดอยากจะช่วยเลี้ยงดูร่วมกับลูกของตนเอง
และยังพูดเพ้อเจ้อร่ายยาวว่าหากเป็นเด็กที่เพศตรงข้ามกันละก็ อาจจะมีวาสนาต่อกันอย่างไม่คาดคิดก็ได้
หากฟังแอนนี่พูดจนจบ อาเรียก็คงจะหัวเราะออกมา เพียงแต่เธอกำลังคิดเรื่องอยู่
‘เด็กที่เหมือนสามีกับตัวเองหรือ…’
ความจริงแล้วอาเรียเองก็เคยคิดแบบนั้นมาก่อน
พูดให้ถูกเธอเคยคิดถึงเด็กที่คล้ายอาซ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร
‘แต่ดูเหมือนว่าเด็กจะคล้ายฉันเสียมากกว่านะ’
ไม่ใช่แค่คล้าย แต่บลิสหน้าตาเหมือนอาเรียราวกับถอดแบบกันมา
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบลิสเป็นลูกของอาเรียจริงหรือเปล่า
‘ก็ไม่แย่เท่าไหร่’
ไม่สิ ไม่ใช่ไม่แย่ แต่น่ารักมากเลยต่างหาก
ใบหน้างดงามไร้ที่ติเหมือนกับตน และยังมีดวงตาที่งดงามเหมือนกับอาซอีกด้วย
บลิสเกิดมาพร้อมกับจุดเด่นของตนและอาซ ดูแล้วสวยกว่าอาเรียตอนเด็กด้วยซ้ำ
“ไม่ว่ายังไงดิฉันก็สำนึกในบุญคุณเสมอค่ะ ที่มอบชีวิตเหนือความคาดฝันให้กับดิฉัน แน่นอนว่าดิฉันเสียใจที่จะได้เจอกับพระชายาน้อยลง ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
“มีเรื่องให้ขอโทษเยอะจังเลยนะ”
ทั้งที่พรั่งพรูความรู้สึกหลายๆ อย่างออกไป แต่อาเรียกลับแสดงทีท่าตอบกลับมาอย่างห้วนๆ แอนนี่จึงทำหน้าเหยเกขึ้นมา
“พระชายาไม่เป็นอะไรเลยเหรอคะที่จะไม่มีดิฉันอยู่ด้วย”
“ไม่ได้อยู่ไกลกันมากมายเสียหน่อย จะเป็นอะไรเล่า”
“ฮึก พระชายาพูดเกินไปนะคะ! ”
แอนนี่มุดหน้าลงบนฝ่ามือ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ร้องไห้หรือรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ
แล้วแอนนี่ก็เกี่ยวแขนอาเรียพร้อมกับยิ้มอ่อนหวานกลับมาเป็นปกติอีกครั้งราวกับตัวเองไม่ได้ทำทีร้องไห้มาก่อน
“แต่ถึงยังไงหากมีเวลาว่างขึ้นมา ดิฉันจะมาหานะคะ เพราะถ้าไม่มีดิฉันอยู่ด้วยละก็ พระชายาคงจะลำบากน่าดู ใช่ไหมล่ะคะ”
พูดออกมาอย่างไม่อายปากเสียจริง แต่เพราะนิสัยแบบนั้นจึงอดทนและอยู่เคียงข้างรับใช้อาเรียมาได้หลายปี
อาเรียส่งยิ้มที่ไม่มีความหมายกลับไปแทนคำตอบ
ดูเหมือนนั่นจะเพียงพอแล้วสำหรับแอนนี่ เธอถูไถแก้มตัวเองเข้ากับแขนของอาเรียที่กำลังเกาะอยู่และหัวเราะแหะๆ
“อ๊ะ จริงด้วย! ดิฉันลืมบอกไปค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือเปล่า”
ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แอนนี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดต่อไป
“รูบี้น่ะค่ะ ดูเหมือนเธอจะทำตัวก้าวก่ายไปหน่อยนะคะ ทำเรื่องที่ไม่ได้สั่งทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพระชายาเลยละค่ะ”
แอนนี่เบ้ปากขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่รูบี้ตักเตือนบลิส
อาเรียนึกถึงตอนที่รูบี้สั่งให้ทหารยืนเฝ้ารักษาการณ์เพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาเรียขึ้นมา
แม้จะเป็นการกระทำที่ก้าวก่ายเกินหน้าที่จริงๆ แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ ดูเหมือนว่ารูบี้พยายามทำตัวให้ดูดีในสายตาอาเรีย
เพราะอย่างนั้นคนที่ก้าวก่ายจริงๆ ก็คือแอนนี่ที่ว่าร้ายให้กับคนใกล้ชิดของตนอย่างไร้สาระนั่นเอง และสมควรจะถูกลงโทษด้วย
แต่ว่า
“…งั้นหรือ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ดูเหมือนต้องฟังเธอเล่าให้ละเอียดเสียแล้ว”
แอนนี่ไม่ใช่คนที่จะว่าร้ายให้ผู้อื่นแบบมั่วซั่ว
แม้บางครั้งจะพูดจาโผงผางดูไร้มารยาทไปบ้าง แต่เธอไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องผู้อื่น
ไม่สิ ที่จริงแล้วแอนนี่ไม่สนใจคนพวกนั้นตั้งแต่แรกเลยต่างหาก
เมื่อเห็นว่าอาเรียยอมรับฟังอย่างรวดเร็ว แอนนี่ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา
เธอพยายามเล่าเรื่องของบลิสและรูบี้ที่ได้เห็นเมื่อตอนกลางวันออกไปอย่างเต็มที่
“เพราะอย่างนั้น สรุปว่ารูบี้ตั้งใจจะกำหนดห้องให้บลิสและยังให้คำแนะนำเพื่อให้ใช้ชีวิตในพระราชวังได้เป็นอย่างดี ส่วนแนะนำเรื่องอะไรนั้นเธอเองไม่ได้ยินเรื่องนั้นอย่างละเอียดงั้นหรือ”
แม้จะเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ฟังดูแล้วเหมือนกับว่ารูบี้ทำหน้าที่ได้ดีมากอย่างไรอย่างนั้น
“อืมม ก็ใช่ค่ะ…แต่ว่าห้องที่จะจัดให้นั้นเป็นห้องที่อยู่ใกล้สวนหลังพระราชวังค่ะ ยิ่งกว่านั้นสีหน้าของคุณหนูบลิสดูแย่มากเลยละค่ะ! ถึงกับขอร้องกับดิฉันว่าอยากพักอยู่ใกล้ๆ กับห้องของพระชายาเลยนะคะ”
พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา แอนนี่จึงทุบอกตนเอง
“รูบี้น่ะ เอาแต่พูดว่าที่ตัวเองทำแบบนั้น ก็เพื่อพระชายา! หากดิฉันไม่เข้าไปในตอนนั้นละก็ เรื่องนี้ก็คงจะผ่านไปโดยที่ไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ”
แอนนี่ถอนหายใจและพูดว่าหากรูบี้ใส่ใจบลิสจริงๆ บลิสก็คงไม่ทำสีหน้าหม่นหมองเช่นนั้น
ซึ่งนั่นก็ไม่ผิด
เพราะบลิสดูเป็นเด็กอ่อนโยนมาก หากเจอกับสถานการณ์ที่พอรับได้ ก็คงจะไม่เป็นเช่นนั้น อาเรียคิด
แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจู่ๆ เธอจะสามารถเรียกรูบี้มาซักถามว่าเกิดอะไรขึ้นได้ในทันที
เพราะนั่นเป็นความใส่ใจของรูบี้เอง หากเธอแก้ต่างว่าตัวเองคงพูดจาอะไรผิดไปละก็ ปัญหานี้ก็จะถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย
อาเรียคิดว่าก่อนอื่นคงต้องเฝ้าดูไปก่อน เธอกะพริบตาช้าๆ และถามว่า
“เธอบอกว่าตัวเองท้องนี่นา แต่คนท้องโกรธได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
แอนนี่คิดว่าอาเรียไม่ได้ใส่ใจฟังเรื่องที่เธอพูดสักเท่าไหร่ จึงถอนหายใจและเบ้ปากขึ้นมา
“เรื่องนั้นมันเป็นไปตามที่ใจนึกเสียที่ไหนกันล่ะคะ ก็ดิฉันเห็นภาพที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมานี่ค่ะ”
“งั้นเหรอ ไม่เห็นเธอพูดเรื่องของขวัญแสดงความยินดีเลย คงไม่อยากได้สินะ”
“ของ ของขวัญแสดงความยินดีเหรอคะ”
ทว่าคำที่พูดต่อจากนั้น ทำให้ความไม่พอใจของแอนนี่หายไปจนหมดเกลี้ยง
แอนนี่เป็นคนหูตาไว เธอคงเดาได้แล้วว่าอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่เพราะเธอถามกลับมา อาเรียจึงตอบออกมาว่า
“ใช่ เพราะในบรรดาคนใกล้ชิดของฉัน เธอเป็นคนแรกเลยที่ตั้งท้อง ฉะนั้นแล้วฉันควรจะให้อะไรที่พิเศษกับเธอหน่อย”
“กรี๊ดด…! ”
แอนนี่ตั้งใจจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถปิดเสียงที่เล็ดลอดออกมาเบาๆ ได้
หากความไร้ยางอายมีมากเกินแล้วละก็ จากที่โมโหอยู่สุดท้ายก็กลายเป็นยิ้มออกมา
แอนนี่ขอของขวัญซึ่งๆ หน้าอย่างที่เคย อาเรียหัวเราะและถามออกไป
“เธออยากได้อะไรล่ะ”
“ชื่อค่ะ! ดิฉันอยากให้พระชายาตั้งชื่อให้ลูกของดิฉันค่ะ! ดิฉันไม่หวังถึงขั้นให้เป็นแม่ทูนหัวหรอกค่ะ! เพราะบุญคุณที่ดิฉันได้รับมาก็มากล้นเกินกว่าภูเขาแล้ว จะขอให้เป็นแม่ทูนหัวก็ถือว่าขอมากเกินไปค่ะ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่แววตากลับส่อความปรารถนาว่าอยากให้อาเรียเป็นแม่ทูนหัวของลูกของตนเองอย่างแรงกล้า
เพราะแอนนี่เป็นคนที่อยู่ร่วมกับอาเรียมานาน นั่นจึงไม่ใช่คำขอร้องที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย
แต่ถ้าบอกว่าจะรับฟังในสิ่งที่เธอขอออกไปง่ายๆ ก็แกล้งแอนนี่ไม่สนุกกันพอดี
อาเรียหลุบตาลงอย่างอ่อนช้อยราวกับจะมอบความเอื้ออารีให้ เธอกะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะตอบว่า
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแค่ตั้งชื่อให้ก็พอแล้วสินะ เข้าใจแล้วล่ะ”
จากนั้นอาเรียก็ออกไปจากห้องรับรองอย่างไม่มีเยื่อใย แอนนี่หน้าซีดขึ้นมาและรีบวิ่งตามไปอย่างลนลาน
“มะ ไม่ ไม่ใช่นะคะ! เป็นแม่ทูนหัวให้ด้วยเถอะค่ะ! นะคะ นะคะ! “
เสียงหัวเราะเล็กๆ ของอาเรียดังไปทั่วโถงทางเดินที่นำไปยังห้องรับรอง
***
“เจ้าชาย ผมได้ยินว่าคุณหนูบลิสเพิ่งจะกลับมาถึงพระราชวังขอรับ มาร์เชอเนสวินเซนต์และบารอนเนสเวอร์บูมก็มาเยี่ยมเยียนพร้อมกันด้วยขอรับ”
อาซเอามือค้ำหน้าผาก เมื่อได้ยินข้ารับใช้รายงานถึงการกลับมาอย่างสะเพร่าของบลิส
แม้จะได้ยินว่าออกไปข้างนอกกับเจสซี่และแอนนี่มาแล้ว แต่เหตุใดถึงกลับมาพร้อมกับซาร่าได้เล่านี่
หรือเธอคิดจะไปเจอคนรู้จักทุกคนก่อนวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อบอกลากันนะ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย
‘หากมีใครสักคนในบรรดานั้นสงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ’
แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้นั้นเท่ากับศูนย์ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
‘น่าปวดหัวจริงๆ’
ทำไมตัวเขาในอนาคตถึงได้เลี้ยงดูบลิสให้ทำตามใจได้ขนาดนี้นะ
เพราะทั้งอาเรียและตนเองก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด จึงไม่ได้มีนิสัยปล่อยปละละเลยเสียหน่อย
แต่พอลองคิดดูแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเท่าไหร่ เพราะตอนนี้บลิสกำลังพบเจอกับผู้คนมากขึ้นตามกาลเวลาและยังเที่ยวสำรวจในเมืองหลวงอีกด้วย
“…ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกันน่ะ”
“ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องนอนร่วมกับพระชายาและคุณผู้หญิงท่านอื่นขอรับ ได้ยินว่าตั้งใจจะใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ชมน่ะขอรับ”
แค่ออกไปเจอคนยังไม่พอ นี่ยังคิดจะจัดแฟชั่นโชว์ด้วยงั้นเหรอ อาซหลับตาแน่น
เขาถอนหายใจออกมา แล้วใครกันที่มาขอร้องให้เขาช่วยปิดบังความลับให้ แต่ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงความอันตรายอะไรเลยทั้งนั้น
ไม่ว่ายังไงก็คงต้องไปหาบลิสและสั่งสอนให้หลาบจำว่าสถานการณ์ในตอนนี้ และการกระทำของเธอมันอันตรายมากแค่ไหน
อาซไล่ข้ารับใช้ออกไปข้างนอก ก่อนจะวางปากกาขนนกลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
…………………………………