พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 218 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 9)

บทที่ 218 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 9)

***

“บ้าไปแล้ว! ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กันนะเนี่ย! ”

แอนนี่กรี๊ดกร๊าดขึ้นมาภายในร้านบูทีคอันเงียบสงบ สาเหตุมาจากการที่บลิสออกมาโชว์ตัวหลังจากได้ลองชุดเดรสเป็นชุดที่ห้าแล้ว

หากเป็นเหมือนทุกทีละก็ เจสซี่คงจะห้ามแอนนี่ไปแล้ว แต่ในครั้งนี้นั้นเจสซี่เองก็ไม่ได้ต่างแอนนี่สักเท่าไหร่

เจสซี่หน้าแดงแจ๋ เธอเดินวนรอบตัวบลิสเพลิดเพลินไปกับความน่ารักน่าชัง

“ซื้ออันนี้ด้วยดีไหม”

“ดีสิ! ช่วยแก้ชุดนี้ให้โดยเร็วด้วยนะคะ และก็เตรียมชุดอื่นมาให้ด้วยได้ไหม อย่าลืมเอารองเท้าและถุงเท้าที่เข้ากันมาให้ด้วยล่ะ”

“ครับ! จะรีบไปเอามาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ! ”

เหล่าพนักงานตื่นเต้นไปกับการให้บริการบุคคลสำคัญที่บอกว่าจะซื้อชุดในทุกครั้งที่ได้ลองใส่โดยที่ไม่ตำหนิหรือจับผิดอะไรเลย พวกเขาเดินเข้าออกระหว่างห้องรับรองแขกวีไอพีและห้องโถงกันให้วุ่น

เมื่อเห็นว่าบลิสหายออกไปที่ห้องลองเสื้อเพื่อลองใส่ชุดถัดไปกับพนักงานแล้ว แอนนี่ก็บิดตัวและพูดออกมาว่า

“จริงๆ เลยนะ รู้สึกเหมือนกับได้พาพระชายามาเล่นแต่งตัวตุ๊กตาเลยละ”

เจสซี่เองก็เช่นเดียวกัน เธอรู้สึกเหมือนได้ทำในสิ่งที่แม้แต่ในฝันยังไม่กล้าทำขึ้นมา

“ที่จริงแล้ว ฉันน่ะ เคยลองคิดภาพตอนพระชายายังเด็กใส่ชุดโน่นชุดนี่ด้วยล่ะ พวกชุดที่ดูน่ารักๆ น่ะ”

“อ๋อ ชุดที่เหมือนกับเสื้อผ้าที่ถูกเผาไปกับตู้เสื้อผ้าน่ะเหรอ”

“จะใช่ได้ยังไงเล่า! นี่เธอมองฉันแบบไหนเนี่ย! ”

แอนนี่นึกถึงชุดเดรสวิบวับเป็นประกายจนแสบตาพวกนั้นแล้วทำท่าเกลียดขึ้นมาก่อนจะพูดต่อไปอย่างรวดเร็วว่า

“นั่นน่ะไม่ใช่เสื้อผ้าหรอกนะ มันคืออาชญากรรมต่างหาก! ดีไซเนอร์ที่ทำเสื้อผ้าพวกนั้นควรจะถูกจับยัดเข้าคุกไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ! ”

แอนนี่โล่งอกและพูดว่าโชคดีจริงๆ ที่รสนิยมของอาเรียเปลี่ยนไป

“ถ้าหากพระชายาเข้ามาช่วยเหลือฉันโดยที่ยังมีรสนิยมแบบนั้นอยู่ละก็ ไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง”

แอนนี่พูดออกมาอย่างโง่เขลาว่าบางทีเธออาจจะอยู่รับใช้มิเอลก็เป็นได้ พร้อมส่ายหัวไปมา

และนั่นทำให้เจสซี่ที่ยังยิ้มอยู่จนถึงตอนนั้น ทำหน้าแข็งทื่อขึ้นมา

“นี่เธอพูดจริงเหรอ ฉันผิดหวังมากเลยนะแอนนี่ เธอรู้สึกต่อพระชายาแค่นั้นเองน่ะเหรอ”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่นะ! ฉันล้อเล่นน่ะ! ทำไมเธอถึงคิดเป็นเรื่องจริงจังขนาดนั้นกันเล่า! ”

แอนนี่ตกใจและโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เธอกลัวว่าบางทีเจสซี่อาจจะเอาไปเล่าให้เอาเรียฟัง จึงได้ชี้แจงขึ้นมา

“ฉันพูดเล่นจริงๆ นะ แค่พูดเล่น! แค่พูดให้ขำเท่านั้นเอง ยิ้มหน่อยน่า! “

แอนนี่ขอร้องและอ้อนวอนขึ้นมา แต่เจสซี่ก็ทำเพียงเบือนหน้าตาอันนิ่งเฉยไปทางอื่นเท่านั้น

แม้จะรู้ว่าแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่เจสซี่ก็ไม่อยากให้แอนนี่พูดถึงอาเรียในลักษณะนั้น

ในขณะนั้นเอง บลิสที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

“พระชายาจะถูกใจชุดนี้ไหมน้า…”

บลิสกระดิกนิ้วไปมาและถามเจสซี่กับแอนนี่ออกไป เธอใส่ชุดเดรสสีเหลืองเข้มเหมือนลูกเจี๊ยบตัวน้อย พร้อมทั้งติดโบชิ้นใหญ่ที่ดูน่ารัก

“ตายแล้ว พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ! ต้องชอบแน่ๆ ค่ะ! “

“จริงเหรอ”

แม้จะเป็นคำถามและคำตอบที่พูดซ้ำทุกครั้งตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่แววตาของบลิสก็เปล่งประกายราวกับได้ยินเป็นครั้งแรก

แม้จะเป็นขั้นตอนที่น่ารำคาญ แต่เมื่อคิดว่านี่จะทำให้ตนเองดูดีในสายตาของอาเรียแล้ว บลิสก็ใจเต้นตึกตักขึ้นมา

“แน่นอนค่ะ! คุณหนูน่ารักจนอาจจะทำให้เป็นลมขึ้นมาเลยละค่ะ! “

แอนนี่ลุกลี้ลุกลนบอกว่าต้องเรียกจิตรกรมาวาดภาพของบลิสในตอนนี้เก็บไว้เสียแล้ว อย่างกับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะขอร้องอ้อนวอนเจสซี่ไปอย่างเศร้าสร้อย

เจสซี่เองก็ไม่ต่างกัน ภาพที่เหมือนกับดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลินั้น ทำให้สีหน้าเย็นชาเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย และเอาแต่จ้องมองบลิสโดยที่ไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย

“ดีละ เอาชุดนี้ด้วย แล้วก็เอาชุดต่อไปมาด้วยนะ! ”

“ครับ! ”

หลังจากนั้นบลิสต้องใส่ชุดต่ออีกห้าชุดด้วยกัน กว่าจะได้รับอิสระมาในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักคน

ตรงกันข้ามแอนนี่กลับแสดงสีหน้าเสียดายที่ไม่สามารถซื้อชุดให้ได้อีก เจสซี่จึงปลอบใจเธอด้วยการบอกว่ายังมีโอกาสหน้าอยู่อีก

“เราเลือกชุดกันไปตั้งสามชั่วโมงเลยนะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องพักบ้างแล้วละ”

“เข้าใจแล้วละ แต่ก็นะ ยังไงเสื้อผ้าแบบใหม่ก็ออกมาขายเรื่อยๆ อยู่แล้ว ซื้อทีเดียวหลายๆ ตัวมันก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่”

ครั้งหน้างั้นเหรอ…อาจจะไม่มีครั้งหน้าแล้วก็ได้

ในระหว่างนั้นบลิสหัวเราะแหะๆ และซ่อนความรู้สึกไว้ข้างใน

“จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้ก็เสียดายแย่ หาอะไรหวานๆ ดื่มกันก่อนดีไหม ร้านฟลาวเวอร์เมาน์เทนล่ะเป็นไง คุณหนูบลิสยังไม่เคยไปเลยใช่ไหมคะ คงไม่รู้สินะคะว่านั่นเป็นคาเฟ่ที่สวยมากขนาดไหน”

ท่าทางแอนนี่คงจะนึกถึงตอนที่อาเรียพาเธอไปครั้งแรกขึ้นมา ถึงได้ทำตาเคลิบเคลิ้มขึ้น

จากนั้นบลิสที่ตั้งใจว่าจะรีบกลับไปพระราชวังเพื่ออวดเสื้อผ้าให้อาเรียดูในทันทีก็ทำตาสั่นระริกขึ้นมา

‘ฟละ ฟลาวเวอร์ เมาน์เทน…! ’

มันอยู่ที่ไหนกันน่ะ มันใช่คาเฟ่ในจินตนาการที่มีแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ไปได้หรือเปล่านะ

แม้มันจะไม่ใช่สถานที่แบบนั้นเลยก็ตาม แต่เพราะยังไม่เคยไปมาก่อน นั่นจึงเป็นเหมือนโลกที่บลิสไม่รู้จัก

“อืม อืม! ยังไม่เคยไปเลย! ไป! ไป! อยากไปดูบ้าง! “

แววตาของบลิสแวววาวเป็นประกาย เธอจับชายกระโปรงของแอนนี่และตะโกนออกมา หน้าตาอยากจะไปเอามากๆ

และเพราะแบบนั้น เจสซี่ที่ตั้งใจจะบอกว่าหากไม่กลับไปตอนนี้ก็จะสายเอา จำต้องหยุดเอาคำนั้นเอาไว้ก่อน เพราะหากเธอค้านออกไปตอนนี้ละก็ บลิสคงจะร้องไห้ขึ้นมา

“…ถ้าอย่างนั้น แวะไปแป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ถ้าเรากลับช้าละก็ พระชายาได้เป็นห่วงแน่ๆ ค่ะ คุณหนูเข้าใจใช่ไหมคะ”

แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เจสซี่ก็ไม่ได้คิดจะอยู่นานนัก เพราะเธอออกมาโดยที่ไม่ได้รายงานให้อาเรียทราบ จึงควรจะกลับไปให้เร็วที่สุดนั่นเอง

แม้จะเห็นด้วยกับความคิดนั้น แต่ไม่รู้ว่าทั้งคู่เข้าใจในความหมายที่เจสซี่บอกไปจริงๆ หรือไม่ เพราะแอนนี่และบลิสเริ่มส่งเสียงเอะอะสนุกสนานขึ้นมาแล้ว

“คุณหนูบลิสอยากทานอะไรคะ”

“หืม ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง กินอะไรก็ได้ที่อร่อยๆ แล้วกัน! ”

“อย่างนั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นเราสั่งมาให้หมด แล้วลองกินดูว่าอันไหนอร่อยที่สุดดีไหมคะ”

“ทำอย่างนั้นได้เหรอ”

“ได้สิคะ! ”

“อืม อืม! ดีจังเลย! ชอบแอนนี่จังเลย! ”

บลิสดีใจกระโดดโหยงเหยง

ที่นั่นมีเมนูเยอะจะตายไป นี่เธอพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เจสซี่เอามือแตะหน้าผาก

ไม่ว่าจะยกเหตุผลที่เหมาะสมให้ฟังอย่างไร แต่ดูเหมือนเจสซี่จะไม่สามารถโน้มน้าวทั้งคู่ได้เลย คงต้องรอจังหวะที่เหมาะสมแล้วค่อยอ้างเหตุผลดีๆ ให้กลับไปเสียแล้ว

นั่นเป็นสิ่งที่เจสซี่คิดว่าน่าจะทำได้ ก่อนที่จะได้เจอเข้ากับบุคคลที่ไม่คาดคิดที่คาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทน

***

“…อา เรีย”

น้ำเสียงอันคุ้นเคยเรียกบลิสที่กำลังเลือกเมนูอย่างตื่นเต้นอยู่ที่ระเบียงของคาเฟ่

แววตาของบลิสที่พบหันมาพบเธอเริ่มเปล่งประกายขึ้นมา

“มาร์เชอเนสวินเซนต์! ”

เจสซี่เริ่มรู้สึกสังหรณ์บางอย่างเมื่อแอนนี่แสดงสีหน้ายินดีตามไปด้วย

ทำไมซาร่าต้องผ่านมาที่นี่ เวลานี้ด้วยนะ ไม่สิ ซาร่ามักจะแวะไปที่วิทยาลัยและผ่านทางนี้เสมออยู่แล้ว นี้อาจจะเป็นเพราะพวกเธอมาที่คาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทนผิดเวลาละนะ

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่บทสรุปมีอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไม่ว่าจะยังไงก็คงจะไม่ได้กลับไปเร็วๆ นี้แน่

***

“รู้สึกอึดอัดที่มีบลิสอยู่ด้วยหรือคะ เป็นเพราะดิฉันตัดสินใจทุกอย่างตามใจตัวเองมากไปใช่ไหมคะ”

หลังจากตรวจดูสภาพของบลิสและออกมามาจากห้องนอน อาเรียก็ถามอาซขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินไปยังห้องทำงาน จากนั้นอาซก็รีบส่ายปฏิเสธในทันที

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ผมสาบานได้เลยครับ”

ทว่าเขากลับร่ายคำปฏิเสธออกมามากเกินควร ทั้งๆ ที่ตอบว่าไม่ใช่ก็เพียงพอแล้วแท้ๆ

และเพราะอาซทำตัวไม่เหมือนปกติ เขาปฏิเสธออกมาหลายครั้งเกินไป นั่นยิ่งทำให้แววตาของอาเรียฉายความสงสัยออกมามากยิ่งขึ้น

เธอจ้องอาซเขม็ง และค่อยๆ พูดออกมาว่า

“อึดอัดสินะคะ”

และนั่นทำให้อาซตระหนักได้ว่าตัวเองตอบมากเกินจำเป็น

“…ผมไม่ได้อึดอัดจริงๆ นะครับ”

อาซหยุดพูดก่อนจะตอบออกไป เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกไปอย่างไรดี

“ถ้าอย่างนั้นมันอะไรกันล่ะคะ สีหน้าที่เหมือนกับมีอะไรปิดบังอยู่แบบนั้น”

เมื่อเขาไม่ยอมพูดความจริงออกมาง่ายๆ อาเรียจึงแสดงความเสียใจออกไปตรงๆ และถามว่าเขามีความลับต่อเธอได้อย่างไรกัน

“นั่นสินะคะ จะมีความลับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่คะ ฉันคงทำเป็นเรื่องใหญ่มากเกินไป ถ้าไม่อยากพูดละก็ ไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ค่ะ ฉันต้องเข้าใจว่าไม่ควรใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”

สีหน้าของเธอดูเจ็บปวดไม่เหมือนกับคนที่บอกว่าเข้าใจเลย แถมยังพูดแต่ละคำออกมาเสียยาวเหยียดอีกต่างหาก

อาซหวั่นเกรงและรีบขอโทษขอโพยออกมา

“ไม่ใช่นะครับ เป็นความผิดของผมเอง ทั้งที่ผมควรจะบอกเรื่องทั้งหมดให้รู้แต่แรกแท้ๆ ”

ทั้งที่พูดเผื่อเอาไว้เท่านั้น แต่กลับเป็นจริงขึ้นมา อาซติดกับคำพูดลองใจของอาเรียอย่างง่ายดาย

“ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับบลิสน่ะครับ เธอขอร้องให้เก็บเป็นความลับและผมก็สัญญาเอาไว้แล้ว…แต่ยังไงเล่าให้คุณฟังก็คงจะดีกว่า ทีแรกผมคิดว่าจะบอกให้รู้หลังจากที่จัดการสถานการณ์ต่างๆ เรียบร้อยดีแล้วครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี”

อาซค่อยๆ พูดออกมา พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นว่าอาซหยุดพูดขึ้นมาระหว่างนั้น อาเรียก็คิดว่านั่นคงเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะพูดออกมาได้

มันคือเรื่องอะไรกันแน่นะ

แม้จะรู้สึกสงสัย แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็คิดว่าความลับที่เขาซ่อนไว้นั้นมันสำคัญมากขนาดไหน ถึงพูดออกมาได้ยากเย็นเช่นนี้

“เพราะอย่างนั้นแล้ว บลิสน่ะ-“

“ช่างเถอะค่ะ”

เพราะอย่างนั้น อาเรียจึงปล่อยอาซที่กำลังฝืนพูดออกมาให้รอดตัวไป

ทั้งที่พูดแค่ประโยคเดียวก็สิ้นเรื่องแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆ อาเรียก็บอกว่าจะไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาซได้แต่กะพริบตาปริบๆ

“หมายความว่า…อย่างไรครับ”

“ถึงขนาดสัญญาเอาไว้แล้ว จะให้ทำผิดสัญญาก็ไม่ถูกต้องสิคะ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ถ้าฉันได้ฟังมันเข้าละก็ คุณก็คงจะสูญเสียความเชื่อใจจากบลิสไปแน่ๆ ”

อาเรียลูบแก้มอาซซึ่งกำลังทำตาโตตกใจกับความใส่ใจที่ไม่ทันคาดคิด เธอพูดต่อไปว่า

“นอกจากนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้ความลับของบลิสที่ท่านอาซเป็นคนค้นพบไปตลอดหรอกค่ะ”

ที่จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับใจจริงของอาเรียมากที่สุด

ก็แค่ความลับของเด็กตัวเล็กๆ อายุเจ็ดขวบเท่านั้น ในเมื่ออาซล่วงรู้ถึงความลับนั่นได้ภายในวันเดียว ยังไงเธอก็ต้องรู้ถึงมันเข้าสักวันแน่ๆ

“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แต่หลังจากที่ฉันสืบได้แล้ว หน้าผากเล็กๆ แสนเจ้าเล่ห์นั่นคงต้องโดนเขกเข้าสักทีแล้วค่ะ”

อาเรียยิ้มขึ้นมาอย่างน่ากลัว ต่างกับสัมผัสมืออันอ่อนโยนที่กำลังลูบแก้มของอาซ

คล้ายกับว่าเธอยอมรับคำท้าทายแสนน่ารักของบลิสเข้าแล้ว

อาซพ่นลมหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง โชคดีที่เขาไม่ต้องเสียความน่าเชื่อถือจากใครไป และสิ่งที่กังวลมาตลอดนั้น กลับไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง

อาซคิดว่าคงจะดีหากเอาเรื่องนั้นมาปรึกษากับอาเรีย โดยที่ไม่ต้องปิดบังและจัดการมันด้วยตัวคนเดียว

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม แต่ดิฉันก็ไม่คิดจะมองข้ามเรื่องที่ท่านอาซมีความลับต่อดิฉันหรอกนะคะ เพราะดิฉันไม่ใช่คนจิตใจดีแบบนั้นเสียหน่อย”

เพิ่งจะโล่งอกได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น จู่ๆ อาเรียก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง

แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่อาซคาดเอาไว้ เขาจับมือของอาเรียที่ผละออกจากแก้มของตนขึ้นมา และส่งสายตาคาดหวังให้เธอ

“ไม่ว่าจะลงโทษอะไร ผมก็ยินดีทั้งนั้นครับ เชิญดุด่าสามีแย่ๆ ที่กล้ามีความลับกับภรรยาคนนี้แรงๆ ด้วยเถอะครับ”

ว่าแล้วก็ประสานนิ้วมือของตนเองเข้ากับนิ้วมือของอาเรียที่กำลังจับอยู่อย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าอยากจะโดนอาเรียด่า หรือว่าอยากจะยั่วยวนกันแน่

อาเรียยิ้มและตอบออกไปว่าเธอจะทำอย่างนั้นแน่ จากนั้นก็ชักมือตัวเองกลับมาอย่างไร้เยื่อใย

“ดิฉันจะทำอย่างนั้นแน่นอนค่ะ ถึงจะไม่ได้ทำเดี๋ยวนี้ แต่รู้ไว้ด้วยนะคะว่าท่านอาซต้องจ่ายค่าทดแทนในภายหลัง”

“ครับผม”

หัวใจของอาซเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง แม้จะไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบไหน แต่เขาก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะต้องทำให้อาเรียพอใจไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม

“แต่ก่อนอื่น ทานมื้อสายด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปดีไหมคะ ถือซะว่าทานบรันช์แล้วกันค่ะ”

อาซพยักหน้าต่อคำถามของอาเรียทันที

แม้จะห่วงว่าบลิสจะเลิกแกล้งหลับแล้วรึยังแต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการรับประทานอาหารเช้ากับอาเรียได้

‘ไม่เป็นไรหรอก ค่อยไปหาหลังจากทานเสร็จแล้วกัน’

ถึงจะซุ่มซ่ามและสะเพร่ามากเพียงใด แต่ในระหว่างนั้นคงไม่ถูกใครจับได้ว่าตื่นอยู่หรอกน่า

อาซคิดเช่นนั้นและมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารกับอาเรีย

ในระหว่างที่อาหารถูกเตรียมอยู่นั้น อาเรียได้เรียกรูบี้เข้ามาและอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอย่างคร่าวๆ พร้อมทั้งกำชับคำสั่งไว้ในหลายๆ เรื่องด้วย

“สุดท้ายแล้ว ช่วยบอกเลดี้โคลซี่ด้วยนะว่าฉันจะไปหาในภายหลัง มันไม่ใช่การก่อกวนด้วยเจตนามุ่งร้ายแต่อย่างใด บอกเธอไปว่าไม่จำเป็นต้องตัดชุดใหม่มาหรอก”

“…เข้าใจแล้วค่ะ พระชายา ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้พระชายาเป็นกังวลค่ะ”

คำอธิบายส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดพลาดของบลิสที่เพิ่งเข้ามาในพระราชวังเป็นครั้งแรก แล้วรูบี้ก็รีบออกไปพร้อมกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด

***

หลังจากรับประทานอาหารกับอาเรียอย่างสบายๆ แล้ว อาซก็มาส่งเธอที่ห้องทำงาน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องนอนที่บลิสอยู่

เพราะเวลาผ่านไปค่อนข้างนาน อาซจึงคิดว่าบลิสคงจะเลิกนอนหลับปลอมๆ ไปนานแล้ว เธอคงกำลังเดินวนไปมาทั่วห้องนอนอยู่ในตอนนี้

‘ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็คงดี’

เพราะอาเรียสั่งให้เจสซี่คอยดูแลบลิสไปแล้ว จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ทำไมฉันถึงเอาแต่นึกภาพบลิสกระโดดโลดเต้นอยู่ในห้องนอนกันนะ

เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าเจสซี่จะรายงานสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังทุกอย่างให้อาเรียฟัง หากว่าเธอเห็นบลิสตื่นอยู่ละก็ ได้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากแน่

เมื่อคิดมาถึงตรงนั้นแล้ว อาซก็ใจร้อนขึ้นมา เขารีบสังเกตดูรอบข้างก่อนจะใช่พลังเคลื่อนที่ในทันที

อาซหวังว่าตัวเองจะเดาผิดไป เขารีบผลักประตูเปิดออกโดยไม่เคาะประตูหรือให้สัญญาณก่อนเลย

“…! ”

แต่โชคร้ายที่บลิสไม่ได้อยู่ที่นั่น อาซถอนหายใจออกมาเล็กน้อย และยกฝ่ามือขึ้นมาปิดตา

ลางสังหรณ์ใหม่กำลังบอกเขาว่าในเวลาไม่เกินหนึ่งวัน อาเรียจะต้องจับได้แน่ๆ

……………………………

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

Status: Ongoing

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์

อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่

ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม

และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง

ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา

และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…!

“ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า”

เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า!

เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย!

เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น

พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท