***
“บ้าไปแล้ว! ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กันนะเนี่ย! ”
แอนนี่กรี๊ดกร๊าดขึ้นมาภายในร้านบูทีคอันเงียบสงบ สาเหตุมาจากการที่บลิสออกมาโชว์ตัวหลังจากได้ลองชุดเดรสเป็นชุดที่ห้าแล้ว
หากเป็นเหมือนทุกทีละก็ เจสซี่คงจะห้ามแอนนี่ไปแล้ว แต่ในครั้งนี้นั้นเจสซี่เองก็ไม่ได้ต่างแอนนี่สักเท่าไหร่
เจสซี่หน้าแดงแจ๋ เธอเดินวนรอบตัวบลิสเพลิดเพลินไปกับความน่ารักน่าชัง
“ซื้ออันนี้ด้วยดีไหม”
“ดีสิ! ช่วยแก้ชุดนี้ให้โดยเร็วด้วยนะคะ และก็เตรียมชุดอื่นมาให้ด้วยได้ไหม อย่าลืมเอารองเท้าและถุงเท้าที่เข้ากันมาให้ด้วยล่ะ”
“ครับ! จะรีบไปเอามาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ! ”
เหล่าพนักงานตื่นเต้นไปกับการให้บริการบุคคลสำคัญที่บอกว่าจะซื้อชุดในทุกครั้งที่ได้ลองใส่โดยที่ไม่ตำหนิหรือจับผิดอะไรเลย พวกเขาเดินเข้าออกระหว่างห้องรับรองแขกวีไอพีและห้องโถงกันให้วุ่น
เมื่อเห็นว่าบลิสหายออกไปที่ห้องลองเสื้อเพื่อลองใส่ชุดถัดไปกับพนักงานแล้ว แอนนี่ก็บิดตัวและพูดออกมาว่า
“จริงๆ เลยนะ รู้สึกเหมือนกับได้พาพระชายามาเล่นแต่งตัวตุ๊กตาเลยละ”
เจสซี่เองก็เช่นเดียวกัน เธอรู้สึกเหมือนได้ทำในสิ่งที่แม้แต่ในฝันยังไม่กล้าทำขึ้นมา
“ที่จริงแล้ว ฉันน่ะ เคยลองคิดภาพตอนพระชายายังเด็กใส่ชุดโน่นชุดนี่ด้วยล่ะ พวกชุดที่ดูน่ารักๆ น่ะ”
“อ๋อ ชุดที่เหมือนกับเสื้อผ้าที่ถูกเผาไปกับตู้เสื้อผ้าน่ะเหรอ”
“จะใช่ได้ยังไงเล่า! นี่เธอมองฉันแบบไหนเนี่ย! ”
แอนนี่นึกถึงชุดเดรสวิบวับเป็นประกายจนแสบตาพวกนั้นแล้วทำท่าเกลียดขึ้นมาก่อนจะพูดต่อไปอย่างรวดเร็วว่า
“นั่นน่ะไม่ใช่เสื้อผ้าหรอกนะ มันคืออาชญากรรมต่างหาก! ดีไซเนอร์ที่ทำเสื้อผ้าพวกนั้นควรจะถูกจับยัดเข้าคุกไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ! ”
แอนนี่โล่งอกและพูดว่าโชคดีจริงๆ ที่รสนิยมของอาเรียเปลี่ยนไป
“ถ้าหากพระชายาเข้ามาช่วยเหลือฉันโดยที่ยังมีรสนิยมแบบนั้นอยู่ละก็ ไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง”
แอนนี่พูดออกมาอย่างโง่เขลาว่าบางทีเธออาจจะอยู่รับใช้มิเอลก็เป็นได้ พร้อมส่ายหัวไปมา
และนั่นทำให้เจสซี่ที่ยังยิ้มอยู่จนถึงตอนนั้น ทำหน้าแข็งทื่อขึ้นมา
“นี่เธอพูดจริงเหรอ ฉันผิดหวังมากเลยนะแอนนี่ เธอรู้สึกต่อพระชายาแค่นั้นเองน่ะเหรอ”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่นะ! ฉันล้อเล่นน่ะ! ทำไมเธอถึงคิดเป็นเรื่องจริงจังขนาดนั้นกันเล่า! ”
แอนนี่ตกใจและโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เธอกลัวว่าบางทีเจสซี่อาจจะเอาไปเล่าให้เอาเรียฟัง จึงได้ชี้แจงขึ้นมา
“ฉันพูดเล่นจริงๆ นะ แค่พูดเล่น! แค่พูดให้ขำเท่านั้นเอง ยิ้มหน่อยน่า! “
แอนนี่ขอร้องและอ้อนวอนขึ้นมา แต่เจสซี่ก็ทำเพียงเบือนหน้าตาอันนิ่งเฉยไปทางอื่นเท่านั้น
แม้จะรู้ว่าแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่เจสซี่ก็ไม่อยากให้แอนนี่พูดถึงอาเรียในลักษณะนั้น
ในขณะนั้นเอง บลิสที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
“พระชายาจะถูกใจชุดนี้ไหมน้า…”
บลิสกระดิกนิ้วไปมาและถามเจสซี่กับแอนนี่ออกไป เธอใส่ชุดเดรสสีเหลืองเข้มเหมือนลูกเจี๊ยบตัวน้อย พร้อมทั้งติดโบชิ้นใหญ่ที่ดูน่ารัก
“ตายแล้ว พูดอะไรอย่างนั้นกันคะ! ต้องชอบแน่ๆ ค่ะ! “
“จริงเหรอ”
แม้จะเป็นคำถามและคำตอบที่พูดซ้ำทุกครั้งตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่แววตาของบลิสก็เปล่งประกายราวกับได้ยินเป็นครั้งแรก
แม้จะเป็นขั้นตอนที่น่ารำคาญ แต่เมื่อคิดว่านี่จะทำให้ตนเองดูดีในสายตาของอาเรียแล้ว บลิสก็ใจเต้นตึกตักขึ้นมา
“แน่นอนค่ะ! คุณหนูน่ารักจนอาจจะทำให้เป็นลมขึ้นมาเลยละค่ะ! “
แอนนี่ลุกลี้ลุกลนบอกว่าต้องเรียกจิตรกรมาวาดภาพของบลิสในตอนนี้เก็บไว้เสียแล้ว อย่างกับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะขอร้องอ้อนวอนเจสซี่ไปอย่างเศร้าสร้อย
เจสซี่เองก็ไม่ต่างกัน ภาพที่เหมือนกับดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลินั้น ทำให้สีหน้าเย็นชาเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย และเอาแต่จ้องมองบลิสโดยที่ไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
“ดีละ เอาชุดนี้ด้วย แล้วก็เอาชุดต่อไปมาด้วยนะ! ”
“ครับ! ”
หลังจากนั้นบลิสต้องใส่ชุดต่ออีกห้าชุดด้วยกัน กว่าจะได้รับอิสระมาในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักคน
ตรงกันข้ามแอนนี่กลับแสดงสีหน้าเสียดายที่ไม่สามารถซื้อชุดให้ได้อีก เจสซี่จึงปลอบใจเธอด้วยการบอกว่ายังมีโอกาสหน้าอยู่อีก
“เราเลือกชุดกันไปตั้งสามชั่วโมงเลยนะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องพักบ้างแล้วละ”
“เข้าใจแล้วละ แต่ก็นะ ยังไงเสื้อผ้าแบบใหม่ก็ออกมาขายเรื่อยๆ อยู่แล้ว ซื้อทีเดียวหลายๆ ตัวมันก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่”
ครั้งหน้างั้นเหรอ…อาจจะไม่มีครั้งหน้าแล้วก็ได้
ในระหว่างนั้นบลิสหัวเราะแหะๆ และซ่อนความรู้สึกไว้ข้างใน
“จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้ก็เสียดายแย่ หาอะไรหวานๆ ดื่มกันก่อนดีไหม ร้านฟลาวเวอร์เมาน์เทนล่ะเป็นไง คุณหนูบลิสยังไม่เคยไปเลยใช่ไหมคะ คงไม่รู้สินะคะว่านั่นเป็นคาเฟ่ที่สวยมากขนาดไหน”
ท่าทางแอนนี่คงจะนึกถึงตอนที่อาเรียพาเธอไปครั้งแรกขึ้นมา ถึงได้ทำตาเคลิบเคลิ้มขึ้น
จากนั้นบลิสที่ตั้งใจว่าจะรีบกลับไปพระราชวังเพื่ออวดเสื้อผ้าให้อาเรียดูในทันทีก็ทำตาสั่นระริกขึ้นมา
‘ฟละ ฟลาวเวอร์ เมาน์เทน…! ’
มันอยู่ที่ไหนกันน่ะ มันใช่คาเฟ่ในจินตนาการที่มีแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ไปได้หรือเปล่านะ
แม้มันจะไม่ใช่สถานที่แบบนั้นเลยก็ตาม แต่เพราะยังไม่เคยไปมาก่อน นั่นจึงเป็นเหมือนโลกที่บลิสไม่รู้จัก
“อืม อืม! ยังไม่เคยไปเลย! ไป! ไป! อยากไปดูบ้าง! “
แววตาของบลิสแวววาวเป็นประกาย เธอจับชายกระโปรงของแอนนี่และตะโกนออกมา หน้าตาอยากจะไปเอามากๆ
และเพราะแบบนั้น เจสซี่ที่ตั้งใจจะบอกว่าหากไม่กลับไปตอนนี้ก็จะสายเอา จำต้องหยุดเอาคำนั้นเอาไว้ก่อน เพราะหากเธอค้านออกไปตอนนี้ละก็ บลิสคงจะร้องไห้ขึ้นมา
“…ถ้าอย่างนั้น แวะไปแป๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ถ้าเรากลับช้าละก็ พระชายาได้เป็นห่วงแน่ๆ ค่ะ คุณหนูเข้าใจใช่ไหมคะ”
แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เจสซี่ก็ไม่ได้คิดจะอยู่นานนัก เพราะเธอออกมาโดยที่ไม่ได้รายงานให้อาเรียทราบ จึงควรจะกลับไปให้เร็วที่สุดนั่นเอง
แม้จะเห็นด้วยกับความคิดนั้น แต่ไม่รู้ว่าทั้งคู่เข้าใจในความหมายที่เจสซี่บอกไปจริงๆ หรือไม่ เพราะแอนนี่และบลิสเริ่มส่งเสียงเอะอะสนุกสนานขึ้นมาแล้ว
“คุณหนูบลิสอยากทานอะไรคะ”
“หืม ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง กินอะไรก็ได้ที่อร่อยๆ แล้วกัน! ”
“อย่างนั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นเราสั่งมาให้หมด แล้วลองกินดูว่าอันไหนอร่อยที่สุดดีไหมคะ”
“ทำอย่างนั้นได้เหรอ”
“ได้สิคะ! ”
“อืม อืม! ดีจังเลย! ชอบแอนนี่จังเลย! ”
บลิสดีใจกระโดดโหยงเหยง
ที่นั่นมีเมนูเยอะจะตายไป นี่เธอพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เจสซี่เอามือแตะหน้าผาก
ไม่ว่าจะยกเหตุผลที่เหมาะสมให้ฟังอย่างไร แต่ดูเหมือนเจสซี่จะไม่สามารถโน้มน้าวทั้งคู่ได้เลย คงต้องรอจังหวะที่เหมาะสมแล้วค่อยอ้างเหตุผลดีๆ ให้กลับไปเสียแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่เจสซี่คิดว่าน่าจะทำได้ ก่อนที่จะได้เจอเข้ากับบุคคลที่ไม่คาดคิดที่คาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทน
***
“…อา เรีย”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยเรียกบลิสที่กำลังเลือกเมนูอย่างตื่นเต้นอยู่ที่ระเบียงของคาเฟ่
แววตาของบลิสที่พบหันมาพบเธอเริ่มเปล่งประกายขึ้นมา
“มาร์เชอเนสวินเซนต์! ”
เจสซี่เริ่มรู้สึกสังหรณ์บางอย่างเมื่อแอนนี่แสดงสีหน้ายินดีตามไปด้วย
ทำไมซาร่าต้องผ่านมาที่นี่ เวลานี้ด้วยนะ ไม่สิ ซาร่ามักจะแวะไปที่วิทยาลัยและผ่านทางนี้เสมออยู่แล้ว นี้อาจจะเป็นเพราะพวกเธอมาที่คาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทนผิดเวลาละนะ
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่บทสรุปมีอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไม่ว่าจะยังไงก็คงจะไม่ได้กลับไปเร็วๆ นี้แน่
***
“รู้สึกอึดอัดที่มีบลิสอยู่ด้วยหรือคะ เป็นเพราะดิฉันตัดสินใจทุกอย่างตามใจตัวเองมากไปใช่ไหมคะ”
หลังจากตรวจดูสภาพของบลิสและออกมามาจากห้องนอน อาเรียก็ถามอาซขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินไปยังห้องทำงาน จากนั้นอาซก็รีบส่ายปฏิเสธในทันที
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ผมสาบานได้เลยครับ”
ทว่าเขากลับร่ายคำปฏิเสธออกมามากเกินควร ทั้งๆ ที่ตอบว่าไม่ใช่ก็เพียงพอแล้วแท้ๆ
และเพราะอาซทำตัวไม่เหมือนปกติ เขาปฏิเสธออกมาหลายครั้งเกินไป นั่นยิ่งทำให้แววตาของอาเรียฉายความสงสัยออกมามากยิ่งขึ้น
เธอจ้องอาซเขม็ง และค่อยๆ พูดออกมาว่า
“อึดอัดสินะคะ”
และนั่นทำให้อาซตระหนักได้ว่าตัวเองตอบมากเกินจำเป็น
“…ผมไม่ได้อึดอัดจริงๆ นะครับ”
อาซหยุดพูดก่อนจะตอบออกไป เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกไปอย่างไรดี
“ถ้าอย่างนั้นมันอะไรกันล่ะคะ สีหน้าที่เหมือนกับมีอะไรปิดบังอยู่แบบนั้น”
เมื่อเขาไม่ยอมพูดความจริงออกมาง่ายๆ อาเรียจึงแสดงความเสียใจออกไปตรงๆ และถามว่าเขามีความลับต่อเธอได้อย่างไรกัน
“นั่นสินะคะ จะมีความลับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่คะ ฉันคงทำเป็นเรื่องใหญ่มากเกินไป ถ้าไม่อยากพูดละก็ ไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ค่ะ ฉันต้องเข้าใจว่าไม่ควรใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”
สีหน้าของเธอดูเจ็บปวดไม่เหมือนกับคนที่บอกว่าเข้าใจเลย แถมยังพูดแต่ละคำออกมาเสียยาวเหยียดอีกต่างหาก
อาซหวั่นเกรงและรีบขอโทษขอโพยออกมา
“ไม่ใช่นะครับ เป็นความผิดของผมเอง ทั้งที่ผมควรจะบอกเรื่องทั้งหมดให้รู้แต่แรกแท้ๆ ”
ทั้งที่พูดเผื่อเอาไว้เท่านั้น แต่กลับเป็นจริงขึ้นมา อาซติดกับคำพูดลองใจของอาเรียอย่างง่ายดาย
“ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับบลิสน่ะครับ เธอขอร้องให้เก็บเป็นความลับและผมก็สัญญาเอาไว้แล้ว…แต่ยังไงเล่าให้คุณฟังก็คงจะดีกว่า ทีแรกผมคิดว่าจะบอกให้รู้หลังจากที่จัดการสถานการณ์ต่างๆ เรียบร้อยดีแล้วครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี”
อาซค่อยๆ พูดออกมา พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าอาซหยุดพูดขึ้นมาระหว่างนั้น อาเรียก็คิดว่านั่นคงเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะพูดออกมาได้
มันคือเรื่องอะไรกันแน่นะ
แม้จะรู้สึกสงสัย แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็คิดว่าความลับที่เขาซ่อนไว้นั้นมันสำคัญมากขนาดไหน ถึงพูดออกมาได้ยากเย็นเช่นนี้
“เพราะอย่างนั้นแล้ว บลิสน่ะ-“
“ช่างเถอะค่ะ”
เพราะอย่างนั้น อาเรียจึงปล่อยอาซที่กำลังฝืนพูดออกมาให้รอดตัวไป
ทั้งที่พูดแค่ประโยคเดียวก็สิ้นเรื่องแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆ อาเรียก็บอกว่าจะไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาซได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“หมายความว่า…อย่างไรครับ”
“ถึงขนาดสัญญาเอาไว้แล้ว จะให้ทำผิดสัญญาก็ไม่ถูกต้องสิคะ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ถ้าฉันได้ฟังมันเข้าละก็ คุณก็คงจะสูญเสียความเชื่อใจจากบลิสไปแน่ๆ ”
อาเรียลูบแก้มอาซซึ่งกำลังทำตาโตตกใจกับความใส่ใจที่ไม่ทันคาดคิด เธอพูดต่อไปว่า
“นอกจากนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้ความลับของบลิสที่ท่านอาซเป็นคนค้นพบไปตลอดหรอกค่ะ”
ที่จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับใจจริงของอาเรียมากที่สุด
ก็แค่ความลับของเด็กตัวเล็กๆ อายุเจ็ดขวบเท่านั้น ในเมื่ออาซล่วงรู้ถึงความลับนั่นได้ภายในวันเดียว ยังไงเธอก็ต้องรู้ถึงมันเข้าสักวันแน่ๆ
“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แต่หลังจากที่ฉันสืบได้แล้ว หน้าผากเล็กๆ แสนเจ้าเล่ห์นั่นคงต้องโดนเขกเข้าสักทีแล้วค่ะ”
อาเรียยิ้มขึ้นมาอย่างน่ากลัว ต่างกับสัมผัสมืออันอ่อนโยนที่กำลังลูบแก้มของอาซ
คล้ายกับว่าเธอยอมรับคำท้าทายแสนน่ารักของบลิสเข้าแล้ว
อาซพ่นลมหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง โชคดีที่เขาไม่ต้องเสียความน่าเชื่อถือจากใครไป และสิ่งที่กังวลมาตลอดนั้น กลับไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง
อาซคิดว่าคงจะดีหากเอาเรื่องนั้นมาปรึกษากับอาเรีย โดยที่ไม่ต้องปิดบังและจัดการมันด้วยตัวคนเดียว
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม แต่ดิฉันก็ไม่คิดจะมองข้ามเรื่องที่ท่านอาซมีความลับต่อดิฉันหรอกนะคะ เพราะดิฉันไม่ใช่คนจิตใจดีแบบนั้นเสียหน่อย”
เพิ่งจะโล่งอกได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น จู่ๆ อาเรียก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง
แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่อาซคาดเอาไว้ เขาจับมือของอาเรียที่ผละออกจากแก้มของตนขึ้นมา และส่งสายตาคาดหวังให้เธอ
“ไม่ว่าจะลงโทษอะไร ผมก็ยินดีทั้งนั้นครับ เชิญดุด่าสามีแย่ๆ ที่กล้ามีความลับกับภรรยาคนนี้แรงๆ ด้วยเถอะครับ”
ว่าแล้วก็ประสานนิ้วมือของตนเองเข้ากับนิ้วมือของอาเรียที่กำลังจับอยู่อย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าอยากจะโดนอาเรียด่า หรือว่าอยากจะยั่วยวนกันแน่
อาเรียยิ้มและตอบออกไปว่าเธอจะทำอย่างนั้นแน่ จากนั้นก็ชักมือตัวเองกลับมาอย่างไร้เยื่อใย
“ดิฉันจะทำอย่างนั้นแน่นอนค่ะ ถึงจะไม่ได้ทำเดี๋ยวนี้ แต่รู้ไว้ด้วยนะคะว่าท่านอาซต้องจ่ายค่าทดแทนในภายหลัง”
“ครับผม”
หัวใจของอาซเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง แม้จะไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบไหน แต่เขาก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะต้องทำให้อาเรียพอใจไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม
“แต่ก่อนอื่น ทานมื้อสายด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปดีไหมคะ ถือซะว่าทานบรันช์แล้วกันค่ะ”
อาซพยักหน้าต่อคำถามของอาเรียทันที
แม้จะห่วงว่าบลิสจะเลิกแกล้งหลับแล้วรึยังแต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการรับประทานอาหารเช้ากับอาเรียได้
‘ไม่เป็นไรหรอก ค่อยไปหาหลังจากทานเสร็จแล้วกัน’
ถึงจะซุ่มซ่ามและสะเพร่ามากเพียงใด แต่ในระหว่างนั้นคงไม่ถูกใครจับได้ว่าตื่นอยู่หรอกน่า
อาซคิดเช่นนั้นและมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารกับอาเรีย
ในระหว่างที่อาหารถูกเตรียมอยู่นั้น อาเรียได้เรียกรูบี้เข้ามาและอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอย่างคร่าวๆ พร้อมทั้งกำชับคำสั่งไว้ในหลายๆ เรื่องด้วย
“สุดท้ายแล้ว ช่วยบอกเลดี้โคลซี่ด้วยนะว่าฉันจะไปหาในภายหลัง มันไม่ใช่การก่อกวนด้วยเจตนามุ่งร้ายแต่อย่างใด บอกเธอไปว่าไม่จำเป็นต้องตัดชุดใหม่มาหรอก”
“…เข้าใจแล้วค่ะ พระชายา ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้พระชายาเป็นกังวลค่ะ”
คำอธิบายส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดพลาดของบลิสที่เพิ่งเข้ามาในพระราชวังเป็นครั้งแรก แล้วรูบี้ก็รีบออกไปพร้อมกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด
***
หลังจากรับประทานอาหารกับอาเรียอย่างสบายๆ แล้ว อาซก็มาส่งเธอที่ห้องทำงาน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องนอนที่บลิสอยู่
เพราะเวลาผ่านไปค่อนข้างนาน อาซจึงคิดว่าบลิสคงจะเลิกนอนหลับปลอมๆ ไปนานแล้ว เธอคงกำลังเดินวนไปมาทั่วห้องนอนอยู่ในตอนนี้
‘ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็คงดี’
เพราะอาเรียสั่งให้เจสซี่คอยดูแลบลิสไปแล้ว จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ทำไมฉันถึงเอาแต่นึกภาพบลิสกระโดดโลดเต้นอยู่ในห้องนอนกันนะ
เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าเจสซี่จะรายงานสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังทุกอย่างให้อาเรียฟัง หากว่าเธอเห็นบลิสตื่นอยู่ละก็ ได้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนั้นแล้ว อาซก็ใจร้อนขึ้นมา เขารีบสังเกตดูรอบข้างก่อนจะใช่พลังเคลื่อนที่ในทันที
อาซหวังว่าตัวเองจะเดาผิดไป เขารีบผลักประตูเปิดออกโดยไม่เคาะประตูหรือให้สัญญาณก่อนเลย
“…! ”
แต่โชคร้ายที่บลิสไม่ได้อยู่ที่นั่น อาซถอนหายใจออกมาเล็กน้อย และยกฝ่ามือขึ้นมาปิดตา
ลางสังหรณ์ใหม่กำลังบอกเขาว่าในเวลาไม่เกินหนึ่งวัน อาเรียจะต้องจับได้แน่ๆ
……………………………