ก่อนที่ซีเว่ยจะข้ามโลกมา เขาได้อ่านนิยายเว็บแนวต่างโลกมามากมาย ในตอนนั้นซีเว่ยพบว่า ผู้ที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติล้วนแต่ถูกจัดลำดับไว้อย่างชัดเจนเช่น พวกระดับบรอนซ์ ซิลเวอร์ และโกลด์ หรือ นักดาบฝึกหัด จักรพรรดิดาบ และปราชญ์ดาบ
แต่เมื่อเขามาถึงต่างโลก เขาก็ตระหนักว่าตรรกะนั้นมันใช้ไม่ได้กับโลกใบนี้
แน่นอนความแข็งแกร่งของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยเหล่าเทพเจ้านี้ ความสามารถในการต่อสู้ที่พวกเขามี ก็มักจะไม่สอดคล้องกับชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของพวกเขา
ในศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ซึ่งบูชาหนึ่งในเจ็ดเทพบิดร เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ‘ลินท์’ ดูเหมือนจะมีระบบการจัดอันดับที่สมบูรณ์แบบสำหรับพาลาดิน เริ่มจาก อัศวินผู้ศรัทธา→อัศวินผู้มีเกียรติ→อัศวินผู้รุ่งโรจน์→อัศวินศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอัศวินผู้มีเกียรติ มักเป็นขุนนางที่ซื้อตำแหน่งโดยการบริจาคเงินเพื่อให้ได้รับพรของเทพเจ้า เช่นเดียวกันกับตำแหน่งอัศวินผู้รุ่งโรจน์ หลายคนได้รับตำแหน่งนั้นโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบที่หนักหน่วง พูดในแง่ของความสามารถเพียงอย่างเดียว คนเหล่านี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะสู้กับอัศวินผู้ศรัทธาที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากผู้มีศรัทธาทางทหารของศาสนจักรได้
มีเพียงตำแหน่งเดียวที่ยังคงมีอำนาจ และเป็นที่ยกย่องในหมู่พาลาดิน นั่นก็คือตำแหน่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากตำแหน่งนี้เป็นเพียงตำแหน่งเดียว ที่มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งได้
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การแบ่งชนชั้นระหว่างคนรวยและคนจนได้ฝังรากลึกลงไปในสังคมของโลกใบนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นสามัญชนที่มีศรัทธาต่อเทพเจ้ามากเพียงใด เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาก็มักจะหมดไปกับการต่อสู้กับความยากจนในชีวิตอยู่ทุก ๆ วัน จนถึงจุดที่พลังการอธิษฐานในหนึ่งปีของพวกเขา อาจไม่เท่ากับการถวายคริสตัลส่องสว่างเพียงหนึ่งวันของเหล่าขุนนาง
โลกใบนี้แม้จะเต็มไปด้วยเหล่าเทพเจ้า แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีสามารถดึงดูดความสนใจของเหล่าเทพได้ตั้งแต่แรกเกิด และได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกหรือนักบุญ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใคร ๆ ต่างก็แสวงหาอยากครอบครอง เพราะนอกจากพวกเขาจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่เหนือใคร ๆ แล้ว ยังได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากเหล่าผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ อีกด้วย
นั่นหมายความว่า ไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะทำงานหนักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะปีนขึ้นบันไดชนชั้นทางสังคมได้เลย ถ้าไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าเทพเจ้า
นี่คือความเป็นจริง จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเทพเจ้าไม่ได้มีพลังหรือรู้เห็นไปหมดซะทุกอย่าง และสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้นในสังคมที่ถูกปกครองโดยมนุษย์
แต่สิ่งนี้กลับทำให้ซีเว่ยมีโอกาสใช้ประโยชน์จากมัน สามัญชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และได้แต่แหงนหน้ามองดูศาสนจักรเหล่านี้ จะกลายเป็นรากฐานให้ศาสนจักรของเขาเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณ!
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนจากต่างโลก ซีเว่ยจึงตระหนักว่า นอกจากความสามารถของเทพเจ้าแห่งเกมที่เขามีแล้ว เขายังสามารถเดินทางข้ามผ่านอุปสรรคระหว่างดินแดนแห่งเทพและดินแดนมรรตัยได้อย่างอิสระ แม้ว่ามันจะค่อนข้างมีข้อจำกัด แต่เขาก็ยังได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ
โดยปกติแล้ว เหล่าเทพจะถูกผูกมัดเข้ากับกฎของโลก และพวกเขาสามารถลงมาสู่แดนมรรตัยได้เพียง 3 วิธีเท่านั้น
วิธีแรกคือผ่านออร่าเคิล ซึ่งเหล่าเทพเจ้าจะส่งข้อความที่ตนต้องการสื่อ ผ่านเข้าสู่จิตสำนึกของผู้ศรัทธาที่พวกเขาได้เลือกสรรไว้ หรือใส่มันในรูปปั้นสักการะที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของพวกเขา หรือโดยการเข้าสู่ฝันของผู้ศรัทธาที่ศรัทธาพวกเขาอย่างแรงกล้า มันถูกเรียกว่าวิวรณ์และการเทศนาของเทพเจ้า นี่คือวิธีการที่เทพเจ้าส่วนใหญ่มักใช้สื่อสารกับเหล่าผู้ศรัทธาผ่านดินแดนมรรตัย
วิธีที่สองคือการครอบครอง ซึ่งเทพเจ้าจะครอบครองร่างของหนึ่งในผู้ถูกเลือก หรือนักบุญของพวกเขาเป็นการชั่วคราว ปริมาณพลังที่เทพเจ้าจะสามารถใช้ได้ในสถานะนี้ จะขึ้นอยู่กับความจุของร่างกายที่พวกเขาครอบครองอยู่ ซึ่งมันจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณพลังที่ร่างของพวกเขาสามารถทนรับได้ อย่างที่ได้อธิบายไปในตอนแรก เพราะแบบนี้ความสามารถของผู้ถูกเลือกที่เหล่าเทพเจ้าโปรดปราน จึงมักจะไม่ต่ำทราม
วิธีสุดท้าย คือการจุติลงมายังดินแดนมรรตัย วิธีนี้เทพเจ้าจะสร้างร่างเนื้อของพวกเขาขึ้นมาบนดินแดนมรรตัยเป็นการชั่วคราว แต่มันก็มีความเสี่ยงที่การจุติแต่ละครั้ง จะทำลายความเป็นพระเจ้าของพวกเขาไปบางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่ถือเป็นรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถรองรับพลังเทพของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถใช้พลังเทพของพวกเขาได้อย่างอิสระบนดินแดนมรรตัย โดยที่ไม่ละเมิดกฎของโลก ในรูปแบบการจุตินี้ พวกเขาสามารถคงพลังเทพไว้ได้ที่ประมาณ 80% ของพลังดั้งเดิมที่พวกเขามีบนแดนเทพ ทำให้แม้แต่ร่างจุติของเทพระดับ 3 ง่อย ๆ ก็สามารถต่อสู้กับนักรบในตำนานได้ นับประสาอะไรกับเทพเจ้าที่มีพลังสูงล้ำกว่านั้น
ทิ้งหนทางแรกซึ่งไม่มีความสามารถในการต่อสู้ไป การครอบครองร่างในวิธีที่ 2 อาจใช้การได้ดี แต่การครอบครองหนึ่งครั้งจะทำให้พวกเขาสูญเสียผู้ถูกเลือกไปหนึ่งคน ซึ่งนับเป็นความเสียหายร้ายแรงที่ศาสนจักรต้องประสบ หากไม่เข้าตาจนจริง ๆ เหล่าเทพเจ้าจะไม่ใช้มันอย่างแน่นอน
ทำไมงั้นเหรอ นั่นก็เพราะ แม้แต่ในศาสนจักรของเทพบิดรทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นศาสนจักรที่แข็งแกร่งที่สุด จำนวนของผู้ถูกเลือกที่พวกเขามีก็มีไม่เกินสามสิบคน!
ส่วนการจุติ ไม่เพียงแต่จะมีระยะเวลาการคงอยู่ที่แสนสั้นเท่านั้น แต่มันยังสร้างความเสียหายต่อความเป็นพระเจ้าของเทพที่ทำเช่นนั้นด้วย สำหรับเทพเจ้าแล้ว ความเป็นพระเจ้าของพวกเขาเทียบเท่ากับความสำคัญของวิญญาณที่มีต่อมนุษย์ มันมีความสำคัญสูงสุดต่อเหล่าเทพ ดังนั้นเทพเจ้าจะไม่เลือกลงมาจุติยังดินแดนมรรตัยโดยใช้วิธีนี้ ยกเว้นว่ามันจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขามี
สำหรับการลงไปสู่แดนมรรตัยโดยตรงนั้น คงเป็นไปไม่ได้ กฎของโลกใบนี้ถูกกำหนดโดยตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้าง มันยากที่จะลบล้างได้ แม้แต่เทพบิดรทั้งเจ็ดก็ยังต้องจ่ายราคาแพง เพื่อที่จะผ่านกำแพงระหว่างดินแดนทั้งสอง อย่างดีที่สุด ความเป็นพระเจ้าของพวกเขาจะได้รับความเสียหายร้ายแรง และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเขาจะดับสลายไปทันที!
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ซีเว่ยกลับสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ในฐานะวิญญาณจากต่างโลก
เขาทำได้โดยการใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์สร้างร่างจุติจากชีวิตที่แล้วของเขาลงสู่ดินแดนมรรตัย แถมที่นั่นเขายังสามารถเรียกใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ…ซึ่งมันถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎอย่างร้ายแรง!
มันฟังดูดีใช่ไหมล่ะ
แต่…ความจริงก็คือปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาตอนนี้มันเหลือน้อยมาก
“อืม…ฉันมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหลือใช้ได้เพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น…เอาล่ะ! ลงมือกันเถอะ!”
☆
เคนนิงตันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาที่ห่างไกลจากตัวเมือง
ทั้งห่างไกลและยากจน ชาวบ้านยังคงอาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นสู่รุ่น แทบจะไม่มีใครหลงหายหรือย้ายออกจากหมู่บ้านไปไหนเลย และไม่มีใครเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านห่างไกลนี้เช่นกัน ยกเว้นว่าจะเกิดการแต่งงานระหว่างหมู่บ้านของพวกเขากับหมู่บ้านรอบ ๆ
ที่นี่เคยมีเด็กวัยรุ่นบางคนที่ออกเดินทางไปยังเมืองใหญ่ ด้วยการพกพาความฝันอันยิ่งใหญ่ใส่ไว้บนบ่า แต่ในสังคมสมัยนี้ เด็กที่ไม่มีทักษะพิเศษอื่นใดนอกจากการล่าสัตว์ พวกเขาจำต้องหวนกลับไปยังหมู่บ้านของพวกเขาอย่างน่าอนาถ และยังคงใช้ชีวิตอยู่กับอันตรายและความยากจนต่อไป
มันเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งมีแขกพิเศษเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อ 3 วันก่อน
เอลีน่าวัย 12 ปีเดินผ่านทุ่งมันฝรั่งอันแห้งแล้งผืนใหญ่ จังหวะการก้าวเดินของเธอนุ่มนวลและสง่างาม ขณะที่เธอเดิน ทวินเทลสีเงินของเธอก็กวัดแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวของเธอ
เมื่อเธอมาถึงหน้ากระท่อมหินหลังเล็กนอกหมู่บ้าน เธอก็เคาะประตูเบา ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูไม้ที่ชำรุดก็ถูกเปิดออก
ผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ คือชายหนุ่มร่างผอมแห้ง เขาดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรง แก้มของเขาซีดเผือกทำให้เขาดูอ่อนแอและขี้โรค
“สวัสดีค่ะท่านซีเว่ย” เด็กสาวกล่าวทักทายขณะก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ
“อ่า เอลีน่านี่เอง ลุงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายหนุ่มคนนี้คือซีเว่ยที่เพิ่งจุติลงมาสู่แดนมนุษย์
เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีนั้นเบาบางมาก เขาจึงได้ตัดสินใจใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแต้ม เพื่อสร้างอวตารราคาประหยัดของตัวเอง โดยใช้ต้นแบบมาจากตัวเขาในชีวิตที่แล้ว
เขามาที่หมู่บ้านนี้ในฐานะนักบวช และได้อาศัยอยู่ในกระท่อมหินนี้เป็นชั่วคราว
เมื่อวานลุงของเอลีน่าได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนที่เขาออกไปล่าสัตว์ ซีเว่ยจึงได้โอกาสโชว์ฝีมือดึงเขากลับมาจากเส้นตาย
“ใกล้ฟื้นแล้วค่ะ! ปู่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าศาสตร์การรักษาของท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่านักบวชจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว!” เธอพูดอย่างมีความสุข
‘มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันเป็นเทพจริง ๆ นี่…‘ เขาคิด
“นี่คือเนื้อเสือกวางที่ลุงของหนูล่ามาได้เมื่อวันก่อน! ป้าได้ทำมันเป็นเนื้อไข่ปลา* เขาให้หนูนำมันมาให้ท่าน มันสุกแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นตะกร้าในมือให้กับซีเว่ย พลางลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ
(เนื้อไข่ปลาเป็นยาจีนทำมาจากกวาง ไม่ได้หมายถึงไข่ปลาจริง ๆ นะคะ)
“ฝีมือทำอาหารของป้าหนูสุดยอดมาก ท่านลองกินดูสิคะ!”
ซีเว่ยยอมรับตะกร้า มันหนักอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนว่าข้างในจะมีเนื้อย่างอยู่มากทีเดียว
เขามองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยจอมตะกละ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของเขากลับดูเหมือนคนเป็นไตวายระยะสุดท้ายซะงั้น “ข้ากินคนเดียวชาตินี้คงไม่หมดแน่ เจ้ามากินด้วยกันเถอะ”
“จริงเหรอคะ?!” เธอถามด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเธอเป็นประกายเหมือนแมวน้อยจอมตะกละ แต่แล้วเธอก็ก้มหัวลงและอยู่ไม่สุขเล็กน้อย เพราะเธอจำได้ว่าครอบครัวของเธอเตือนไม่ให้เธอทำเช่นนั้น “หนูจะไม่รบกวนท่านเหรอ” เธอถามอย่างไม่มั่นใจ
“โอ้~นี่ข้าต้องกินมันทั้งหมดเองเลยเหรอเนี่ย…” ซีเหวยถอนหายใจขณะส่ายหัว
“งื้อ…” เอลีน่าทำคอตกและทำหน้ามุ่ยอย่างน่ารัก
“ไม่ต้องกังวล มากินด้วยกันเถอะ”
“เย้!…อ๊ะ หนูหมายถึงขอบคุณค่ะท่านซีเว่ย!”
——————————————————–