“สิ่งที่เรียกว่าฟอรัมนี่มีประโยชน์จริง ๆ เหรอ”
หลังจากเทอร์รี่ถ่ายภาพเสร็จ นายแบบของเราก็มองไปที่จอมอย่างสงสัย
จอมหัวเราะดังมากเมื่ออ่านความคิดเห็นของผู้เล่นที่กำลังอวดความงี่เง่าอยู่ในฟอรั่ม
“มันน่าจะดี อย่างน้อยเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ก็จะมา” จอมขำจนน้ำตาเล็ด เขาเช็ดน้ำตาและสูดหายใจลึกเพื่อกลับสู่ความสงบ “เราแค่ต้องรอและมีความหวังเอาไว้”
“โอ้ผู้เล่นอันดับต้น ๆ ที่จะเข้าร่วมทุกครั้งที่มีเควส เอ็ดเวิร์ดปีศาจบ้าเควสคนนั้นน่ะเหรอ?” ถึงเทอร์รี่จะตกใจ แต่เขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเราก็รอดแล้ว!”
“อย่าพึ่งดีใจไป พวกเขาจะเอาชนะยักษ์แห้งแล้งได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แม้แต่การค้นหาที่นี่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาแล้วล่ะ”
จอมไม่คิดว่าสถานการณ์จะเป็นไปในแง่ดี เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา “ถ้าหิมะไม่ตกก็ดีสิ”
เทอร์รี่เหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า เขาหยุดพูดและนั่งเคี้ยวขนมปังของเขาต่อไป
จอมอยากจะคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงสักหน่อย แต่หลังจากที่เห็นเทอร์รี่กินของว่างอย่างน่าอร่อย จอมก็รู้สึกหิวเล็กน้อย หลังจากผ่านการต่อสู้มาแล้วรอบหนึ่ง อาหารที่เขากินไประหว่างงานเลี้ยงก็ย่อยหมดแล้ว
เขาควรจะอิ่มท้องก่อนออกรบ
ความประหม่าก่อนการต่อสู้ไม่มีอยู่จริงในหมู่ผู้เล่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญหากับการกินอาหารก่อนออกไปต่อสู้
จอมเริ่มกินบิสกิตเพื่อรองท้อง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จากด้านหลัง
เขาหันกลับไปมองก็เห็นพรานวัยกลางคน เดินเข้ามาใกล้เขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
“เจ้า 2 คนจะไม่จากไปจริง ๆ เหรอ” นายพรานไม่ได้สังเกตว่าเขาทำให้จอมสะดุ้ง เขาเริ่มพูดเมื่อจอมหันมามอง
เทอร์รี่ที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของอีกฝ่ายสำลักขนมปังที่เขาพึ่งกินเข้าไป เขารีบตบหน้าอกตัวเองอย่างแรง
หลังจากยืนยันว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ศัตรู และมีชื่อว่า ‘ชาวบ้าน’ สีเหลืองลอยอยู่เหนือหัว เป็นกลางและไม่มีแถบ HP ในที่สุดจอมก็สงบลงได้
“เราก็ทำตามสัญญาไงลุง” จอมตอบอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าต้องการให้เราปกป้องคนในหมู่บ้านตอนที่พวกเขาออกเดินทางไปหมู่บ้านอื่น ข้าขอปฏิเสธ”
หากพวกเขาต่อสู้กับโจรภูเขา อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ EXP จากความพยายามของพวกเขา ถ้าพวกเขาโชคดีและสามารถเอาชนะยักษ์แห้งแล้งได้ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เล่นคนอื่น ๆ พวกเขาก็อาจจะได้รับของดีอะไรบางอย่าง! เมื่อเปรียบเทียบกับการไปส่งพวกชาวบ้านแล้ว จอมกับเทอร์รี่ไม่ใช่พวกชอบใช้แรงงานฟรี เนื่องจากไม่มีเควสใหม่หรืออะไรออกมาเลย ชาวบ้านเหล่านั้นอาจไม่ได้มีแผนที่จะให้รางวัลใด ๆ หรือรู้สึกขอบคุณพวกเขา
“ข้าชื่อโจอี้•อาร์บิตเตอร์ แต่เจ้าเรียกข้าว่าโจอี้ก็ได้”
“หวัดดีลุงโจอี้ แต่ลุงกับพวกชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบไปได้แล้ว เราจะพยายามสะกัดโจรไว้และซื้อเวลาให้พวกลุงหนี” เมื่อเห็นว่าโจอี้มีอะไรจะพูด จอมก็รีบเสริมว่า “ไม่ต้องห่วง เราทำแบบนี้ลุงจะปลอดภัยกว่าการที่เราไปปกป้องลุงระหว่างทางหลบหนี”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
นายพรานโจอี้ไม่พอใจ “ที่ข้าพยายามจะพูดคือ พวกเจ้าสองคน ช่วยคิดเกี่ยวกับชีวิตตัวเองหน่อยเถอะ”
“อะไร?” จอมที่เห็นนายพรานก้าวเข้ามาใกล้ก็ตื่นตัว
“ข้ายอมรับว่าเจ้าสองคนแข็งแกร่ง แต่มีโจรมากมายมาที่นี่ ไหนจะยักษ์แห้งแล้งอีกเล่า ไม่มีทางเลยที่เจ้า 2 คนจะชนะได้!” นายพรายพูดออกมาอย่างยากลำบาก “การที่ต้องรั้งอยู่ข้างหลัง ความหมายของมันก็คือความตาย…เจ้าไม่กลัวตายเลยเหรอ!”
“ตาย? เราชินกับมันแล้ว”
จอมมีสีหน้าอ่อนลงและตอบออกไปอย่างนุ่มนวล
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถชุบชีวิตตัวเองได้ทัน แม้ว่าทั้งปาร์ตี้จะถูกกำจัด แต่พวกเขาก็จะพร้อมทำงานต่อได้ในอีก 3 วันต่อมา!
การถูกขังอยู่ในห้องดำเล็ก ๆ เป็นเวลา 3 วันนั้นค่อนข้างยาก แต่ตอนนี้ตราบใดที่พวกเขายังอ่านฟอรัมได้ 3 วันก็ไม่ใช่ปัญหา!
โจอี้ช็อค
เขาคิดว่าตัวเองมีความรู้มากพอแล้ว เพราะทุกครั้งที่หมู่บ้านล่าของดีได้ เขาก็จะเป็นคนนำมันไปขายในเมืองใกล้เคียง พอผ่านไปหลายปี เขาก็ได้พัฒนาสายตาในการมองผู้คน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแน่ใจว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาไม่กลัวตายเลย สีหน้าของเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าทะเลสาบ
‘นั่นสินะ ข้าควรจะคิดได้นานแล้ว’
โจอี้รู้สึกหงุดหงิด
เขาเคยได้ยินจากเพื่อนบางคนในเมืองว่า ศาสนจักรบางแห่งจะนำเด็ก ๆ ไปทดลองและทำการทดสอบที่ไร้มนุษยธรรม เพื่อฝึกพวกเขาให้สามารถรับพรจากพระเจ้าได้ตั้งแต่ยังเด็ก
พวกเขาโยนเด็กเล็กเข้าสู่การทดสอบที่โหดร้าย ผ่านการฝึกฝนในสนามรบโดยมีเพียงทักษะพื้นฐานในการเอาชีวิตรอด ผลักดันเด็กที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ให้ผ่านขั้นตอนของความเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดและเหล็ก กำจัดผู้ที่อ่อนแอออกไป เสริมสร้างความคิดที่มั่นคงและกลายเป็นแกนนำของศาสนจักรในอนาคต
และเด็ก 2 คนนี้ก็น่าจะใช้ชีวิตมาแบบนั้น
พวกเขายังเด็กมาก แต่พวกเขาก็แสดงความกล้าหาญได้แบบเดียวกับผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้ พวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องของชีวิตและความตาย และมองว่าความตายเป็นเรื่องปกติ…พวกเขาต้องเป็นพยานกี่ครั้งแล้วกับความเลวทรามและป่าเถื่อนของโลก เลยมีความคิดแบบนี้?
พวกเขาคงจะได้เห็นเพื่อนของพวกเขาเสียชีวิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อ่า กี่ครั้งแล้วที่พวกเขาต้องคลานกลับขึ้นมาจากหลุมศพ?
บางทีที่พวกเขาชอบเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ก็เพราะพวกเขาถือว่าความตายเป็นวิธีเดียวที่จะหลบหนีจากสถานการณ์ที่โหดร้ายนี้
เมื่อนึกถึงอดีต ‘บาดแผล’ ของพวกเด็ก ๆ โจอี้ก็อดที่จะสงสารพวกเขาไม่ได้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เด็ก ๆ ควรทำตัวให้เหมือนเด็ก! เจ้าไม่ควรถือว่าความตายเป็นหนทางหนี”
“มากับข้า! จากนี้ไปจะต้องดีกว่านี้แน่หากเจ้าได้ใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เด็กควรเป็น ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ความรักของพ่อหลั่งไหลออกมาจากตัวของโจอี้ เขาประกาศกับจอมและเทอร์รี่อย่างจริงใจที่สุดว่า “ให้เราได้สร้างครอบครัวด้วยกัน ถ้าเจ้าต้องการเจ้าสามารถเรียกข้าว่า ‘พ่อ’ ได้!”
จอม ‘?????’
จอมไม่เข้าใจว่าจินตนาการของโจอี้มาถึงจุดนี้ได้ยังไง…น่าสนใจ เขาบอกให้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยรึเปล่า?
จากด้านข้าง สมองของเทอร์รี่ก็กลับมาออนไลน์แล้ว เดิมทีเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่คิดอะไรมากและตรงไปตรงมา เขาจึงตอบทันทีว่า
“ข้าปฏิเสธ”
เขามองไปที่ขนมปังที่หล่นลงพื้นอย่างไม่พอใจ แล้วพูดกับโจอี้ว่า “เจ้าเป็นคนที่ทิ้งทุกอย่างได้แม้แต่บ้านของเจ้าเมื่อเจ้าเห็นอันตราย ข้าไม่ต้องการพ่ออย่างเจ้า ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าหากมีปัญหาอีก เราจะเป็นคนที่เจ้าเลือกจะทิ้งรึไม่”
โจอี้เหมือนถูกฟ้าผ่าจนแข็งเป็นซอมบี้ เขาลากเท้ากลับไปที่กลุ่มชาวบ้านที่เหลือด้วยความสงสัยว่าเขาทำอะไรผิด
อารมณ์ที่หายใจไม่ออกชั่วขณะของจอมกลับมาเป็นปกติ เขาอึดอัดมากที่หาที่อ้วกความเลี่ยนนี้ออกไปไม่ได้
———————————-