บทที่ 126 Devil May Cry [2]
ทางเดินและห้องโถงของปราสาทหลักเต็มไปด้วยแขนขาที่ถูกตัดขาด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของทหารและคนรับใช้ ตอนนี้ที่นั่นมีแต่มินเนี่ยนจํานวนมากเดินไปมา
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายที่ขาดรุ่งริ่ง และสภาพร่างที่ไม่สมบูรณ์ของมินเนียนเหล่านั้น ก็น่าจะมาจากการที่ทหารหลายคนหวาดกลัวเกินไปก่อนที่พวกเขาจะตาย ซึ่งนั่นทําให้วิญญาณของพวกเขาถูกปนเปื้อน ดังนั้นศพของพวกเขาจึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดระดับต่ําสุดในนรก ที่อยู่ระหว่างศพคนตายและปีศาจ
ในขณะเดียวกันปราสาทก็มืดมาก ไม่มีคนรับใช้คนใดมีเวลาคิดจะจุดไฟในปราสาท เพราะส่วนใหญ่ตายไปแล้ว หรือกําลังยุ่งอยู่กับการหลบหนีเอาชีวิตรอด นั่นทําให้ปราสาททั้งหลังตกอยู่ในความมืดมิด พร้อมกับคราบเลือด ซากศพ และมินเนี่ยนที่เดินไปมา
ตอนนี้ซีเว่ยรู้สึกราวกับว่า ผู้ศรัทธาของเขากําลังเล่น Resident Evil ภาคแฟนตาซี
เลเวลของมินเนี่ยนถูกกําหนดโดยความสามารถของพวกมันเมื่อพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอยู่ที่เลเวลประมาณ 5 ถึง 10 และชนชั้นของพวกมันก็เป็นเพียงสัตว์ประหลาดธรรมดา พวกมันมีพลังมากกว่าโครงกระดูกเพียงเล็กน้อย และตราบใดที่ผู้เล่นได้ต่อสู้ในพื้นที่ที่กว้างขึ้น มันก็ง่ายที่จะจัดการ
อย่างที่พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ปราสาทอินทรีเงินถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในทุนย่า ซึ่งครอบครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ การมองหาเป้าหมายอย่างช้าๆ ในที่นี้ก็ไม่ต่างจากการเดินทางรอบดิสนีย์แลนด์
มันเสียเวลามากเกินไป
แต่แองโกร่าก็เข้าใจดีว่าการวิ่งไปรอบๆอย่างไร้สมองของพวกเขานั้น จะไม่เกิดผลดีใดๆ หลังจากที่คนทั้งกลุ่มได้โคนศัตรูไปมากมาย จนมาจบลงที่ห้องรับประทานอาหาร เขาก็เริ่มคุ้นกับเส้นทางในปราสาท แล้วแต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่ไหน
ดังนั้นเขาจึงรีบถามคนลีย์ที่เพิ่งหลบหนีออกมาจากปราสาททันที
“คินลีย์ พ่อของข้าเผชิญหน้ากับเซซิลที่ไหน”
แต่ในตอนนั้นคินลีย์กําลังอึ้งอยู่
เธอมีลางสังหรณ์มานานแล้วว่า ผู้ติดตามของแองโกร่าเหล่านี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะกล้าเข้ามาในปราสาทหลักได้อย่างไรในเวลานี้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังต้องตกตะลึงกับความสามารถอันเหลือเชื่อของผู้เล่นอยู่ดี
“คนพวกนี้สามารถยิงลําแสง และสร้างคลื่นกระแทกออกจากดาบได้อย่างไร? นั่นคือทักษะดาบเหรอ? แม้แต่ผู้ที่ฝึกฝนจิตวิญญาณการต่อสู้ในวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ ก็ยังไม่กล้าทําเช่นนี้
“ทําไมเมื่อใดก็ตามที่เจ้ากล้ามใหญ่ทุบอกของเขาและตะโกนว่า ไอ้หนู มาหาพ่อนี่!” พวกมินเนี่ยนจะเพิกเฉยต่อเป้าหมายที่อยู่ใกล้กว่าและหันมาโจมตีเขาแทน? การมีหน้าอกใหญ่จะมีเสน่ห์ต่อมินเนี่ยนงั้นรึ?
“แล้วทําไมมินเนี่ยนทั้งหมดถึงโดนลูกศรของนักธนที่ลอยอยู่กลางอากาศแบบที่ไม่รู้ว่ามันไปลอยอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ข้าทนเมินกับกับดักของเจ้าก่อนหน้านี้ไปแล้วนะ แต่นั่นไม่เกินสามัญสํานึกไปหน่อยเหรอ?”
ถึงกระนั้นนักเวทย์ก็ดูธรรมดาไม่! เขาจะร่ายเวทย์โดยไม่มีวัสดุ คาถา หรือแม้แต่ท่าทางการร่ายเวทย์ได้อย่างไร? มันจะสมเหตุสมผลถ้าเจ้าอ้างตัวว่าเจ้าเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่จําเป็นต้อตะโกนชื่อคาถาของเจ้าทุกครั้งหากเจ้าเป็นเช่นนั้น!”
“แล้วทําไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยังกินขนมอยู่เมื่อกี้ถึงเหวี่ยงหนังสือไปรอบๆเหมือนค้อน? นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ามันทําให้มินเนี่ยนหัวแตกได้ทุกนัด พลังนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“ห้ะ?”
ในที่สุดคินลีย์ก็หายอึ้งจากการแสดงของผู้เล่น เธอรีบตอบคําถามของแองโกร่าทันที “โอ้ ลุงฮอร์รันและคนอื่นๆถอยกลับไปที่ชั้นบนสุดที่หอคอยกลางของปราสาท!”
แองโกร่ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัวมาขึ้น พื้นที่นั้นป้องกันได้ง่ายแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอย พ่อของเขากําลังถูกต้อนจนมุม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปที่ชั้นบนสุดของหอคอย
“อ้า ไม่นะ พุดดิ้งนมของข้า…”
ข้างๆพวกเขามีความเศร้าปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆของเอลีน่า เมื่อเธอเห็นว่ามินเนียนล้มตู้เย็น(ตู้ที่ใส่น้ําแข็งไว้ข้างใน) และแอ่งน้ําที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพุดดิ้ง
“ใจเย็น ๆ เมื่อศึกนี้จบลง ข้าจะพาเจ้าไปกินเค้กเนย!” แองโกร่ารีบปลอบใจเธอ
“ ตกลง!”
เด็กหญิงตัวเล็กๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเหวี่ยงคอนดาวตก (คัมภีร์) เพื่อทุบหัวมินเนี่ยนอีกตัว รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของเธอและค้อนดาวตกที่เปื้อนเลือด ช่างเป็นความแตกต่างอย่างลงตัว ทําเอาคนลีย์ที่อยู่ใกล้ๆถึงกับตัวสั่น
แองโกร่าอาศัยอยู่ในปราสาทมานานกว่า 10 ปีแล้ว การพาผู้เล่นไปที่หอคอยกลางก็เหมือนการเดินเล่นในสวนสาธารณะ
แต่ที่ห้องด้านใต้หอคอย พวกเขาก็ได้พบกับปัญหาใหญ่
“ 1 2 3.โอ้ ทําไมมีมินเนี่ยนมากมายที่นี่” เจสสิก้ามองไปที่กลุ่มศัตรูอย่างกังวล
อันที่จริงมีมินเนี่ยนเกือบ 20 ตัวเฝ้าอยู่ที่ทางขึ้นสู่บันไดวนที่จะนําไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอย
“ระวังนะทุกคน! มินเนี่ยนพวกนั้นเป็นอัศวินของเซชิล” แองโกร่ารู้ว่ามินเนี่ยนเป็นใครเมื่อเขา เห็นเครื่องแต่งกานของพวกมัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นไม่เพียงแต่จะถูกหยุดไว้ชั่วคราวด้วยฝูงมินเนี่ยนที่ซึ่งร่างกายยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ที่อยู่ตรงกลางของฝูงนั้นคือมินเนี่ยนตัวหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าหัวและไหล่ของมันสูงใหญ่กว่ามินเนี่ยนตัวอื่นๆ มันมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง และหางปีศาจยาวๆ (หางปีศาจรูปลูกศร) ชื่อบนหัวของมันอ่านว่า บอสมินเนี่ยน” และมีโอกาสสูงที่มันจะเคยเป็นหัวหน้าอัศวินส่วนตัวของเซซิล
เลเวล 25 และชนชั้นระดับอีลิท ปกติแล้วผู้เล่นสามารถจัดการกับมันได้หากมันอยู่ตัวคนเดียว แต่มันมีมินเนี่ยนธรรมดาอีกกว่า 20 ตัวรายรอบอยู่ในขณะนี้ ทําให้ผู้เล่นไม่สามารถช่วยกันรุมมันได้
“เอาล่ะ…วีลาเจ้าพาท่านลอร์ดขึ้นไปที่หอคอย ในขณะที่พวกเราที่เหลือจะรั้งอยู่จัดการกับเจ้าพวกนี้”
หลังจากสอดส่องสถานการณ์มาสักพัก เอ็ดเวิร์ดก็วางกลยุทธ์อย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาคิดไม่นาน
เขารู้ว่าแองโกร่ามีไม้กายสิทธิ์ ที่สามารถเรียกผู้ช่วยที่ทรงพลังออกมาได้ หมายความว่าแองโกร่ามีพลังมากที่สุดในหมู่พวกเขา และไม่ต้องกังวลกับศัตรูที่กําลังกลายร่างเป็นปีศาจในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น
เซซิลยังถือว่าเป็นปัญหาส่วนตัวของครอบครัวเฟาสต์ เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจให้แองโกร่าเผชิญหน้ากับบอสโดยตรง
เรื่องภายในของครอบครัวของชนชั้นสูง หากเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงความสงสัยได้ก็ควรหลีกเลี่ยง สําหรับวีลา อ่า…ช่างเถอะ
แองโกร่าพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากเขาเข้าใจเหตุผลของเอ็ดเวิร์ด ท้ายที่สุดเขาก็เป็นลอร์ดที่ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ มันจะดีกว่าที่เขาจะฟังคําพูดจากผู้เล่นมืออาชีพ
“เลดี้นักเล่นแร่แปรธาตุ โปรดหลบอยู่นอกประตู หากเราไม่สามารถรั้งพวกมันเอาไว้ได้ให้รีบหนีทันที โจยั่วยุพวกมินเนี่ยน โกวต้านก่อกวนพวกมันและหาโอกาศโจมตี เจสสิก้าให้ความสนใจ กับ HP ของโจ ข้าจะเป็นตัวทําดาเมจหลัก เอลีน่า เอ่อ…คราวนี้เจ้าไม่ต้องขโมยลาสได้ไหม”
“รัวววว!” เด็กสาวโบกคัมภีร์ของเธอ และส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่
หลังจากนั้นผู้เล่นและแองโกร่าก็มองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างมุ่งมั่น
ทุกคนตะโกนพร้อมเพรียงกันว่า
“เพื่อเควส!”
“เพื่อไอเทมดรอป!”
“เพื่อ EXP!”
“เพื่อเค้กเนย!”
“เพื่อความยุติธรรม..เอ๊ะ?”
ในวินาทีต่อมา การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น