โดยไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป ถังซีผลักประตูห้องผ่าตัดเปิดออกแล้วเดินเข้าไปข้างใน
เธอรู้สึกว่าเวลาของเธอใกล้หมดแล้ว จึงต้องรีบทำงานให้เสร็จสิ้นในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดวงไฟหน้าห้องผ่าตัดสว่างขึ้น พี่ชายสองคนนั่งอยู่ที่ทางเดิน และจ้องมองดวงไฟนั้นไม่วางตา เป็นความทุกข์ทรมานจากการรอคอยอันยาวนาน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งสองรู้สึกราวกับรอมานานแสนนาน แต่กลับพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงห้านาทีเท่านั้น เมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือ
ขณะที่แสงของยามกลางวันมืดลง ดวงไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลงในที่สุด ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก นายแพทย์หลายคนเดินยิ้มออกมา ถังซีอยู่ท่ามกลางการรายล้อมของพวกเขา เซียวจิ่งและเซียวส่ามองสบตากัน รู้ทันทีว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ
พี่น้องสองคนเดินเข้าไปหาคณะแพทย์ ถังซีมองหน้าพี่ชายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปหาคณะแพทย์และพยาบาลพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณนะคะ ที่ให้ความร่วมมือ ฉันอยากคุยกับคุณเซียวจิ่งและคุณเซียวส่าตามลำพังค่ะ เดี๋ยวพวกเราเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้นะคะ”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ เซียวส่าก็รู้ทันทีว่าถังซีไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นรู้จักตัวตนของเธอ เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “อย่าบอกใครนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ พวกคุณไปได้แล้ว”
“เข้าใจครับ” ศัลยแพทย์อาวุโสคนหนึ่งตอบ “หลังจากนี้แล้ว คุณหมอถัง ขอให้เราได้คุยกันเรื่องความรู้ทางการแพทย์อีกสักครั้งนะครับ แม้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะกินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงหรือประมาณนั้น แต่นี่เป็นงานที่ยากมาก คุณต้องใช้พลังงานไปทั้งหมด คงต้องเหนื่อยมาก เราจะออกไปเดี๋ยวนี้ พักผ่อนให้เต็มที่นะครับ”
ถังซีตอบด้วยรอยยิ้มและพยักหน้า หลังจากคณะแพทย์จากไปถังซีก็ถอดหน้ากากบนใบหน้าออก แล้วยิ้มให้เซียวจิ่งกับเซียวส่า เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “พี่ส่า พี่จิ่ง พี่เหยาไม่เป็นอะไรแล้ว” และเมื่อจบคำพูดเธอก็หมดแรงร่วงผล็อยลงกับพื้น ก่อนที่เซียวส่ากับเซียวจิ่งจะเข้ามารับตัวเธอไว้ทัน
เซียวส่าตะโกนว่า “เร็วเข้า ส่งเธอไปห้องฉุกเฉิน!”
เซียวจิ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ถอดชุดผ่าตัดของโหรวโหรวออกก่อน”
เซียวส่ากับเซียวจิ่งรีบถอดชุดผ่าตัดและหมวกออก และพบว่าใบหน้าเธอซีดเซียวอย่างน่ากลัว เซียวส่าเป็นห่วงน้องมากจนดวงตาเขาแดงเรื่อขึ้นทันที “โหรวโหรว น้องจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
หนึ่งในสองคนนั้นหยิบชุดผ่าตัดขึ้นจากพื้น ในขณะที่อีกคนรีบอุ้มถังซีไปที่ห้องฉุกเฉิน ไม่สนใจแม้แต่เซียวเหยาที่พยาบาลคนหนึ่งเพิ่งเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด
เมื่อเห็นเซียวจิ่งกำลังอุ้มหญิงสาวที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ศัลยแพทย์ที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องผ่าตัดไปยังห้องฉุกเฉินก็ร้องครางอยู่ในใจ ‘เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้ คนหนึ่งมีบาดแผลจากกระสุนปืนเต็มไปหมดทั้งตัวและเกือบตาย ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีเลือดท่วมตัว…’
พวกเขาเพิ่งกลับมาจากสนามรบหรือ
อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ขอให้เซียวจิ่งรีบพาหญิงสาวไปที่เตียงพยาบาล เขาตรวจร่างกายถังซีแล้วกลับพบว่าไม่มีบาดแผลใดๆ จึงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ผู้ป่วยรายนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บนะครับ”
เซียวจิ่งตะโกนว่า “ที่เปื้อนบนร่างกายเธอเป็นแค่สีแดง! เร็วเข้าสิครับ ตรวจดูว่าทำไมเธอถึงอยู่ในอาการโคม่า!”
หางตาของศัลยแพทย์หรี่ลง ‘นี่เป็นเลือดมนุษย์ชัดๆ คุณบอกได้ยังไงว่านี่คือสีแดง คุณเซียวนี่คุณกำลังพูดเหลวไหลอะไร!’ แต่เนื่องจากคุณเซียวบอกว่าเป็นสีแดง ดังนั้นนี่จึงเป็นสีแดง เขาเป็นแค่หมอไม่ใช่นักสืบ…
แต่ว่า…วันนี้ไม่มีเหตุฆาตกรรมในเมือง A ใช่ไหม
ขณะบ่นในใจศัลยแพทย์ก็ใช้หูฟังตรวจร่างกายถังซีอย่างละเอียด เขาตะลึงไปชั่วขณะกับความงามเมื่อเห็นใบหน้าเธอ ก่อนจะตรวจร่างกายเธอต่อไป ซักครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “ร่างกายของผู้ป่วยรายนี้ว่างโหวง”
เซียวส่าซึ่งตามมาทีหลังเมื่อได้ยินอย่างนี้ก็ขมวดคิ้ว จ้องหน้าศัลยแพทย์ถามอย่างเย็นชาว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร”
ศัลยแพทย์ขมวดคิ้ว อันที่จริงเขาก็อธิบายไม่ถูก แต่สิ่งที่เขาบอกได้คือ… “ไม่เหลืออะไรในร่างกายของคนไข้… แน่นอน ผมไม่ได้หมายความว่าอวัยวะภายในของเธอหายไป แต่ศักยภาพการทำงานภายในร่างกายเธอกำลังถูกดูดออกไปโดยอะไรบางอย่าง หรือพูดให้ชัดคือ ระบบในร่างกายเธอล้มเหลวในระดับร้ายแรง คุณเข้าใจไหม”
เซียวส่าและเซียวจิ่งตกใจมาก โหรวโหรวบอกพวกเขาว่าเธอเป็นนางฟ้า แต่พวกเขาไม่เคยเชื่อเลย หากโหรวโหรวเป็นนางฟ้าจริง เธอจะถูกเซียวจิ้นหนิงกลั่นแกล้งรังแกอย่างหนักแบบนั้นได้อย่างไร แต่วันนี้พวกเขาได้เห็นความสามารถของเธอด้วยสายตาตัวเอง จนในที่สุดพวกเขาก็เชื่อว่าเธอเป็นนางฟ้า… โหรวโหรวเป็นแบบนี้เพราะพลังเธอกำลังจะหมดใช่ไหม
“ผมต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยชีวิตเธอไว้ได้” เซียวจิ่งถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เซียวส่ากล่าวว่า “ลองทุกวิถีทางเท่าที่จะเป็นไปได้! หมอต้องช่วยเธอ!”
เขาสองคนจะรู้สึกผิดมาก ถ้าโหรวโหรวต้องเสียชีวิตไปเช่นนี้ และเซียวเหยาจะฆ่าตัวตายแน่นอน แม้โหรวโหรวจะพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยชีวิตเขาก็ตาม พวกเขาไม่ต้องการสูญเสียสมาชิกครอบครัวสองคนในคราวเดียว!
เซียวจิ่งกับเซียวส่าคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาพร้อมกัน หากคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าโหรวโหรวกำลังอยู่ในอาการโคม่า อันเป็นผลมาจากการช่วยชีวิตเซียวเหยา ท่านทั้งสองจะรู้สึกผิดอย่างมาก
“ผมทำได้เพียงให้น้ำเกลือเธอ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว” สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือให้น้ำตาลกลูโคสแก่หญิงสาว เพราะเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย…
“ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นการป้องกันไม่ให้อวัยวะของเธอทำงานล้มเหลว!” เซียวส่าและเซียวจิ่งตะโกนออกมาพร้อมกัน
ศัลยแพทย์ส่ายศีรษะ “ไม่มีอวัยวะส่วนไหนของเธอทำงานล้มเหลว ผมไม่รู้จะอธิบายให้คุณเข้าใจยังไง สิ่งเดียวที่คุณทำได้ตอนนี้คือรอ เข้าใจไหมครับ”
“เรียกศัลยแพทย์อาวุโสมาซิ!” เซียวจิ่งตะโกน หมออะไรกันขาดความรับผิดชอบขนาดนี้ ก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าระบบในร่างกายน้องสาวพวกเขาล้มเหลวในระดับร้ายแรง แต่กลับไม่ยอมทำอะไรเพื่อไม่ให้อาการหนักไปกว่านี้…
ศัลยแพทย์ขมวดคิ้วและบอกพยาบาลให้โทรหาศัลยแพทย์อาวุโส หลังจากถูกเรียกตัวมา หัวหน้าศัลยแพทย์ก็ทำการตรวจถังซีอย่างละเอียด แล้วส่ายศีรษะกล่าวว่า “ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้สมองตาย แต่ผมรับประกันไม่ได้ว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ สภาพร่างกายเธออ่อนแอเหลือเกิน จนดูเหมือนจะเป็นปาฏิหาริย์ที่เธอยังมีชีวิตอยู่”
“แน่นอน ผมรู้ว่าเป็นปาฏิหาริย์!” ด้วยไม่รู้จะระบายอารมณ์อย่างไร เซียวส่าจึงได้แต่ขอให้พวกเขาเตรียมห้องพักคนไข้
ห้องพักนั้นอยู่ติดกับห้องพักของเซียวเหยา พี่น้องทั้งสองคนหนึ่งเฝ้าถังซี อีกคนเฝ้าเซียวเหยา ทั้งสองรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่สามารถช่วยเหลือเซียวเหยาเมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย และยังทำอะไรไม่ได้อีก เมื่อโหรวโหรวอยู่ในอาการโคม่า ทำไมพวกเขาถึงไร้ประโยชน์อย่างนี้
…
ถังซีตกลงสู่ความมืดมิด รู้สึกราวกับเธอกำลังจมดิ่งลง ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น และพบเพียงว่าตัวเองอยู่กลางทะเล เธอเห็นเครื่องบินตกลงมาจากท้องฟ้า และระเบิดขึ้นทันทีในนาทีที่สัมผัสผืนน้ำ เธอเห็นตัวเองระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ยกเว้นมือข้างหนึ่ง มือข้างที่ถูกปลาปิรันย่ากัดกิน เหลือเพียงแค่ปลายนิ้วก้อย เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง…
เป็นไปได้อย่างไร! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ เธอไม่ได้กลายเป็นเซียวโหรวหรอกหรือ ทำไมเธอถึงเห็นช่วงเวลาที่เธอเสียชีวิต! เธอตายแล้วจริงๆ หรือ