เมื่อเห็นเฉียวอวี่ซินทักทายเธอ ถังซีก็เดินเข้าไปย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเฉียวอวี่ซินและทักทาย “หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะตอนนี้ ขอบคุณมากนะคะที่คุณป้าเฉียวห่วงใยหนู หนูขอโทษด้วยค่ะ ที่ไปทานอาหารค่ำกับคุณป้าไม่ได้เมื่อคราวที่แล้ว”
เฉียวอวี่ซินยิ้มอย่างใจดี ตบไหล่ถังซีเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ป้าไม่คิดว่าหนูจะยังจำได้ด้วยซ้ำ ได้ยินว่าหนูจะมาที่บ้านตระกูลหยาง ป้าก็เลยตามมาที่นี่”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกันมาก หยวนลี่หวาก็อดถามไม่ได้ “นี่ทั้งสองคนไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”
คนอื่นๆ ก็มองทั้งสองด้วยสายตางุนงงเช่นกัน รวมทั้งหยางจิ้งเสียนด้วย ถึงแม้ว่าเฉียวอวี่ซินจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ในฐานะลูกสาวตระกูลเฉียว เธอไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่ายๆ และบางครั้งก็เป็นคนแปลกๆ หลังจากประสบอุบัติเหตุรถชน เธอก็ปฏิเสธที่จะพบปะผู้คน รวมถึงเพื่อนเก่าๆ ด้วย แล้วทำไมเฉียวอวี่ซินถึงได้รู้จักลูกสาวเธอ
นอกจากนี้ เฉียวอวี่ซินไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเยี่ยมตระกูลหยางเลย แต่ดูเหมือนว่าเธออยากมาที่นี่เพื่อปกป้องเซียวโหรว เผื่อว่าเด็กสาวจะถูกคนตระกูลหยางดูหมิ่น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เซียวโหรวมาเยี่ยมพวกเขา
แม้เฉียวอวี่ซินจะไม่ได้เป็นทายาทตระกูลเฉียวผู้สูงส่งอีกต่อไปแล้ว แต่ลูกชายเธอคือท่านประธานแห่งเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป เธอพาลูกชายมาด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเซียวโหรวในใจเธอ
เฉียวอวี่ซินยิ้ม ขณะลูบผมถังซีและมองดูเธออย่างอ่อนโยน เฉียวเหลียงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “คุณแม่ผมกับเซียวโหรวเคยพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันครับ เซียวโหรวไม่รู้ว่าคุณแม่ผมเป็นใครในตอนนั้น และมักจะมาพูดคุยกับท่าน คุณแม่ผมรักเซียวโหรวมาก ท่านขอให้ผมเชิญเธอไปที่บ้านเราบ่อยๆ หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ครั้งล่าสุดเซียวโหรวสัญญาว่าจะไปทานอาหารค่ำกับคุณแม่ผมในวันเสาร์ แต่เธอพลาดนัดเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากที่คุณแม่ทราบว่าเซียวโหรวออกจากโรงพยาบาลแล้ว ท่านก็ยืนยันว่าผมต้องพาท่านไปเยี่ยมเซียวโหรว” จากนั้นเขาก็เหลือบมองถังซี และยิ้มเมื่อกล่าวต่อจนจบประโยค “ผมได้ยินมาว่าคุณน้าหยางกับครอบครัวจะมาที่นี่ในวันนี้ พวกเราจึงตามมาครับ”
หยวนลี่หวาพยักหน้า มองถังซีด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนยิ่งขึ้น และกล่าวว่า “โอ โหรวโหรว ใครๆ ก็รักหนู หนูรู้ไหมว่ายากแค่ไหนที่จะเข้าหาคุณป้าเฉียวของหนูได้ เราพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะไปเยี่ยมและพูดคุยกับเธอ แต่เธอปฏิเสธเราทุกครั้ง หนูต้องไปเยี่ยมเธอให้บ่อยขึ้นนะจ๊ะ เพราะเธอน่ะเอาแต่เก็บตัว”
หยางจิ้งเสียนหัวเราะ ส่งสายตาคล้ายไม่พอใจให้หยวนลี่หวา แม้น้ำเสียงจะฟังดูเหมือนยินดีก็ตาม “พูดอะไรอย่างนั้น โหรวโหรวยังต้องไปเรียนหนังสือนะจ๊ะ”
เฉียวอวี่ซินไม่สนใจคนอื่นๆ หลังจากคุยกับเซียวโหรวครู่หนึ่ง เธอก็หันไปทักทายนายพลหยางด้วยความเคารพ “คุณลุงคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณลุงเป็นห่วง ฉันน่าจะมาเยี่ยมคุณลุงก่อนหน้านี้”
มารดาของเฉียวอวี่ซินคือ หยางหลาน เป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางเว่ยกั่ว แม้ว่าเฉียวเหลียงจะไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดใกล้ชิดกับตระกูลหยางโดยตรง แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเครือญาติกัน
หยางเว่ยกั่วมองหน้าเฉียวอวี่ซิน แล้วกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เข้าไปในบ้านกันดีกว่า อย่ายืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย”
แม้ตระกูลหยางจะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของทหาร แต่บ้านตระกูลหยางก็สร้างขึ้นใหม่หลังจากได้รับอนุญาต บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ และมีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ จึงไม่แออัดแม้จะมีคนอยู่ในนั้นจำนวนมา หยางเว่ยกั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมหนังสีดำ มองหน้าเฉียวอวี่ซินและถามอย่างจริงจังว่า “เธอคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปในอนาคต จะอยู่กับความทุกข์ระทมไปตลอดชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ ลูกหลานตระกูลหยางของเราไม่ควรอ่อนแออย่างนั้น”
บิดามารดาเฉียวอวี่ซินเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงไม่มีญาติที่ไหน นอกจากเฉียวเหลียงและหยางเว่ยกั่ว…
เมื่อเฉียวอวี่ซินได้ยินคำพูดของหยางเว่ยกั่ว ร่องรอยความเศร้าก็แวบผ่านดวงตาเธอ หยางจิ้งเสียนจึงกล่าวว่า “คุณพ่อคะ เราไม่เคยสัมผัสสิ่งที่อวี่ซินต้องประสบพบเจอ คุณพ่อจะตัดสินเธออย่างนี้ไม่ได้นะคะ” เฉียวอวี่ซินส่ายศีรษะให้หยางจิ้งเสียน ถังซีตบหลังมือเฉียวอวี่ซินเบาๆ เพื่อปลอบเธอ เฉียวอวี่ซินยิ้มให้ถังซี ก่อนจะหันไปหาหยางเว่ยกั่วและกล่าวว่า “คุณลุงคะ คุณลุงพูดถูก ศัตรูของฉันคงมีความสุขที่ได้เห็นฉันยังคงอยู่ในความทุกข์ระทม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมฉันจะต้องยอมถูกลงโทษอยู่อย่างนี้”
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ต้องตัดสินใจลุกขึ้นสู้ จริงไหม” หยางเว่ยกั่วส่งสายตาเป็นคำถามให้เฉียวอวี่ซิน และเธอพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ เหมือนอย่างที่โหรวโหรวเคยบอก ฉันไม่ควรอ่อนแออีกต่อไป ฉันจะเข้าโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จะทำให้ตัวฉันเองลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และให้คนที่ทำร้ายฉันได้รับการลงโทษ”
ถังซีกะพริบตาปริบๆ เธอพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน
เมื่อเห็นสีหน้าถังซี เฉียวเหลียงก็อดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดเขา เขามองหน้าถังซีอย่างลึกซึ้ง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงคนทรยศคนนั้น เขาจะเศร้าหมองต่อไปอีกหลายวัน แต่ตอนนี้ เมื่อมีเธออยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป…
หยางเว่ยกั่วหันไปหาถังซี จ้องมองเธออยู่ประมาณห้านาที ถังซียิ้มให้ท่าน ไม่มีร่องรอยความอึดอัดแต่อย่างใดภายใต้สายตาจ้องมองของท่าน ประกายความประหลาดใจวาววับอยู่ในดวงตาหยางเว่ยกั่ว แม้แต่ลูกชายท่านก็ไม่สามารถสบตาท่านได้นานขนาดนี้ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่หลบตาเลย เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่พิเศษจริงๆ!
หยางเว่ยกั่วถามถังซีว่า “โหรวโหรว หนูทำให้คุณป้าเฉียวของหนูมั่นใจขึ้นมาแบบนี้ได้อย่างไร”
ถังซียิ้ม ดวงตาเธอเปล่งประกายสดใสขณะตอบว่า “เราทั้งคู่ถูกคนทรยศหักหลังค่ะ เราจึงเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดี แต่ดูเหมือนว่าหนูจะโชคดีกว่าคุณป้าเฉียวค่ะ” หยางเว่ยกั่วเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าขณะนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเซียวโหรว เซียวโหรวมาอยู่ที่บ้านลูกสาวท่าน ก็เพราะเธอถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
หยางจิ้งเสียนนั่งถัดจากถังซี จับมือถังซีไว้แล้วบอกเฉียวอวี่ซินว่า “โหรวโหรวเป็นดวงดาวนำโชคของครอบครัวเรา และดูเหมือนว่าจะเป็นดวงดาวนำโชคของเธอเหมือนกัน”
ดวงตาของเฉียวอวี่ซินเปล่งประกายอย่างมีเลศนัย เธอกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่นั้น เธอคือดวงดาวนำโชคของครอบครัวฉันด้วย”
เฉียวอวี่ซินนึกถึงตอนที่ลูกชายกลับบ้านมาในวันนี้ เขาพูดตะกุกตะกักบอกว่าอยากพาเธอไปเยี่ยมตระกูลหยาง เธอปฏิเสธ ลูกชายไม่สามารถโน้มน้าวใจเธอได้ เขาจึงบอกว่าเซียวโหรวก็จะไปที่นั่นด้วย เธอหลอกล่อให้เขาบอกความจริงกับเธอ ดูเหมือนว่าลูกชายเธอจะตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว…
เธอไม่สามารถจับสังเกตในรายละเอียดได้เลยระหว่างทางที่นั่งรถมา เธอจึงตัดสินใจว่าจะซักถามลูกชายหน้าซื่อของเธอเมื่อกลับถึงบ้านในคืนนี้ ว่าเขาตกหลุมรักสาวน้อยคนนี้ได้อย่างไร
แต่เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ เป็นเด็กที่มีเหตุผล ที่สำคัญที่สุดเธอพบว่าเธอถูกชะตากับเด็กคนนี้มาก ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนน้อยนักที่จะให้ความรู้สึกแบบนี้กับเธอ
คนอื่นๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก เฉียวอวี่ซินไม่ได้อธิบาย แต่พี่น้องตระกูลเซียวทุกคนต่างสีหน้าบึ้งตึง บ้าที่สุด! เฉียวเหลียงใช้แม่ตัวเองเป็นสะพานแบบนี้ได้อย่างไร! เขาเล่นสกปรกจริงๆ!
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มผู้เล่นสกปรกคนนี้ เอาแต่จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ลืมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
“พี่ไม่คิดเลยว่า โหรวโหรวจะเป็นที่รักของใครต่อใครมากขนาดนี้” หยางมู่ซิงกล่าว
ถังซียิ้มให้หยางมู่ซิงและกล่าวว่า “พี่มู่ซิง ชมฉันเกินไปแล้วค่ะ”