ถังเจิ้นหวาตกตะลึงมองเฉียวเหลียงซึ่งถือกล่องเล็กๆ ไว้ในมือ แต่ถังเจิ้นหวาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เพราะกล่องถูกห่อไว้ด้วยผ้าไหมสีดำสนิท ท่านกำไม้เท้าในมือแน่น กระแทกลงกับพื้นสองครั้ง กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ฉันมีชีวิตอยู่มานานกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ไม่มีใครข่มขู่ฉันได้หรอก!”
เฉียวเหลียงตอบกลับคำกล่าวนั้นอย่างหนักแน่น “เช่นเดียวกันครับ คุณปู่ถัง ผมมีชีวิตอยู่มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว และไม่มีใครข่มขู่ผมได้ ถ้าคุณปู่อยากได้กล่องในมือผมกล่องนี้ ก่อนอื่นโปรดยอมรับการตรวจร่างกายจากทีมแพทย์ที่ผมนำมาที่นี่ก่อน” เมื่อจบคำพูดนี้ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและท้าทายอีก “คุณปู่ถังกลัวใช่ไหมครับ คุณปู่กลัวใช่ไหมครับว่าจะไม่ได้กล่องในมือผม หลังจากได้รับการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นหวาไม่ตอบ เฉียวเหลียงก็ท้าทายต่อไปอีก “ผมคิดไม่ถึงว่า ถังเจิ้นหวา ผู้เป็นนักธุรกิจแนวหน้ามานานแสนนานจะกลัวหมอ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูใครต่อใคร ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของคุณถังจะมลายหายไปทันที”
ดวงตาฝ้าฟางของถังเจิ้นหวาจ้องเขม็งไปที่เฉียวเหลียง รัศมีท่านนั้นน่าเกรงขาม แต่เฉียวเหลียงไม่กลัวเลย หรือถ้าจะพูดตามตรงก็คือ มีเพียงถังจงเท่านั้นในที่นี้ ที่รู้สึกถึงรัศมีอันทรงพลังของถังเจิ้นหวา ไม่มีใครรู้สึก โดยเฉพาะเฉียวเหลียงที่ดูค่อนข้างผ่อนคลาย เขามองตาถังเจิ้นหวาด้วยรอยยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นและถามอย่างใจเย็น “ทำไมล่ะครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือ”
ทันใดนั้นถังเจิ้นหวาก็คลายมือที่จับไม้เท้าออก และพยักหน้าให้เฉียวเหลียง หรี่ดวงตาท่านลง “เก่ง เก่งมาก พ่อหนุ่ม เธอนี่ไม่ธรรมดา เธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ถังจงก็คิดว่าเฉียวเหลียงสร้างความขุ่นเคืองให้ถังเจิ้นหวา เขาขยับตัวไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปห้ามเจ้านายได้ในทันที ทว่าทันใดนั้นถังเจิ้นหวาก็กล่าวว่า “ให้คนพวกนั้นเข้ามา” จากนั้นท่านก็หันมามองเฉียวเหลียง กล่าวต่อไปว่า “เธอจะให้กล่องในมือเธอแก่ฉัน หลังจากเธอได้รับรายงานการตรวจสุขภาพของฉันใช่ไหม”
เฉียวเหลียงพยักหน้า “แน่นอนครับ”
ถังเจิ้นหวาพยักหน้า เฉียวเหลียงบอกให้อาห้าโทรแจ้งทีมแพทย์ที่รออยู่ในห้องนั่งเล่น ถังเจิ้นหวามองหน้าเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “เฉียวเหลียง เธอไม่ได้ยืนกรานจะตรวจสุขภาพฉัน เพื่อช่วยให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปก้าวล้ำเกินหน้าเอ็มไพร์กรุปหรอก ใช่ไหม”
เฉียวเหลียงเลิกคิ้วขึ้น และโค้งคำนับให้ถังเจิ้นหวา “คุณปู่ถัง กรุณายกโทษให้ผมที่ถือวิสาสะขอให้ท่านเข้ารับการตรวจร่างกาย แต่ได้โปรดเชื่อผม สิ่งที่ท่านกังวลจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผมทำอย่างนี้ก็เพียงเพื่อสุขภาพของท่าน ผมให้สัญญาว่าตราบใดที่ท่านต้องการ เอ็มไพร์กรุปจะเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของประเทศจีนตลอดไป จะไม่มีบริษัทอื่นใดสามารถก้าวเกินหน้าไปได้”
ถังเจิ้นหวายกมือขึ้นห้ามเฉียวเหลียงไม่ให้พูดต่อไป “เวลาจะทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทุกสาขาอาชีพ คนหนุ่มจะเข้ามาแทนที่คนชรา” ท่านกล่าวอย่างจริงจัง “หากเธอมีความสามารถที่จะทำให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเหนือกว่าเอ็มไพร์กรุป ฉันก็จะยินดีกับเธอด้วยเท่านั้น เธอไม่ต้องทำสิ่งนี้เพื่อซีซี นอกจากนี้ซีซีก็ยัง…”
เมื่อถังเจิ้นหวาตกลงยอมรับการตรวจร่างกาย ท่าทีขึงขังของเฉียวเหลียงก็อ่อนลง ขณะได้ยินคำพูดของถังเจิ้นหวา เฉียวเหลียงก็เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “คุณปู่ถัง ได้โปรดอย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ซีซีคงไม่อยากให้ท่านคิดอย่างนั้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือการได้มาอยู่กับท่าน และดูแลท่านในทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ได้โปรดดูแลตัวเองให้ดี เพื่อเห็นแก่ซีซีนะครับ”
ถังเจิ้นหวาชะงักและบ่นพึมพำ “เธอทั้งสองเป็นเด็กดีทั้งคู่ น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถร่วมชีวิตกันได้… ถ้าซีซีเป็นเหมือนคุณย่าของเธอ… เอ้อ… เอาล่ะ ช่างเถอะ ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจนะ” ท่านเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงพร้อมกับถอนหายใจ และกล่าวต่อไปด้วยความเศร้า “เฉียวเหลียง ได้โปรดมอบกล่องในมือเธอให้ฉัน หลังจากที่ฉันตรวจร่างกายเสร็จแล้ว ฉันจะได้…”
เฉียวเหลียงเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาถังเจิ้นหวา ถังจงยืนอยู่ข้างๆ ก็เช็ดน้ำตาตนเองด้วยเช่นกัน เฉียวเหลียงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวเพียงว่า “ไม่ต้องห่วงครับ เมื่อไรที่ท่านตรวจร่างกายเสร็จ ผมจะส่งกล่องนี้ให้ท่านด้วยมือผมเอง”
ทีมแพทย์ได้เข้าไปรอในห้องทำงานแล้ว ห้องทำงานของถังเจิ้นหวานั้นกว้างขวางมาก ครอบคลุมพื้นที่กว่าสองร้อยตารางเมตร จึงสามารถทำการตรวจร่างกายได้ทุกขั้นตอนในห้องนั้น ในขณะการตรวจร่างกายดำเนินไป เฉียวเหลียง ถังจง และคนอื่นๆ ก็ออกไปจากห้องทำงาน เฉียวเหลียงมองดูคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่อ่าแล้วถามถังจงว่า “ผมขอไปดูห้องซีซีได้ไหมครับ”
ถังจงหันมามองเฉียวเหลียงด้วยสายตาลังเล แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้า และชี้ขึ้นไปที่ห้องแรกของชั้นบน “นั่นครับ ห้องของคุณหนู” เขากล่าว “ผมให้แม่บ้านทำความสะอาดทุกวัน เพราะผมคิดว่า ถ้าวันหนึ่งคุณหนูกลับมา… เธอก็จะกลับมาอยู่ห้องนั้น” จมูกเขาสูดฟุดฟิดเมื่อกล่าวเช่นนี้ จากนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะขำตัวเอง เขากล่าวไปต่อว่า “ผมขอโทษด้วย ผมเก็บความรู้สึกไม่ค่อยได้เมื่ออายุมากขึ้น คุณเฉียว คุณขึ้นไปชั้นบนและเข้าไปดูได้เลย ผมจะไปห้องครัว ดูว่าซุปของนายท่านพร้อมหรือยัง”
เฉียวเหลียงเดินขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมกับถือกล่องแก้วเจียรนัยไปด้วย เขาเปิดประตูห้องถังซี และเดินเข้าไป ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก เกือบทุกอย่างภายในห้องเป็นสีโทนเย็น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากห้องเจ้าหญิงที่ครอบครัวเซียวเตรียมไว้ให้เธอ แต่ห้องสีโทนเย็นนี้ดูไม่ไร้ชีวิตชีวา ในท่ามกลางอากาศร้อนห้องนี้ดูเย็นสบาย ห้องของเธอใหญ่มาก ถังเจิ้นหวาแทบจะรื้อผนังห้องทั้งหมดบนชั้นสอง ทำเป็นห้องนี้ให้เธอ มีทั้งห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องเก็บเสื้อผ้า ห้องรองเท้า และห้องน้ำ รวมอยู่ในพื้นที่ของห้องนี้ สิ่งที่เธอมีคือสิ่งที่แม้แต่เจ้าหญิงที่แท้จริงก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้
มีภาพถ่ายของเธออยู่ในห้องด้วย เป็นภาพที่เขาเป็นคนถ่ายเมื่อครั้งที่ทั้งสองยังอยู่ชั้นมัธยม เธอน่าจะวางภาพไว้ตรงนี้เพราะเธอชอบภาพนี้ เฉียวเหลียงมองไปรอบๆ ห้องและยิ้ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาถังซี ไม่นานนักทางปลายสายก็รับโทรศัพท์ เฉียวเหลียงกล่าวว่า “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจแคบเหลือเกิน ไม่มีรูปผมเหลืออยู่เลยหลังจากที่เราเลิกกัน ผมไม่เห็นของขวัญที่ผมให้คุณสักชิ้น ไม่มีแม้แต่ภาพหมู่ที่มีคุณกับผมอยู่ในภาพ คุณนี่ใจหินจริงๆ”
เฉียวเหลียงเอนกายพิงหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องถังซี ขณะถือโทรศัพท์อยู่ในมือ เมื่อมองผ่านระเบียงออกไป เขาสามารถเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของอุทยานเอ็มไพร์
ทางปลายสายอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนถังซีจะเงียบไปพักใหญ่ แล้วจึงตอบกลับมาด้วยอารมณ์น้อยใจ “ก็คุณไม่ต้องการฉันอีกต่อไป ทำไมฉันจะต้องเก็บข้าวของต่างๆ ของคุณไว้ด้วยล่ะ เพื่อจะได้คิดถึงคุณอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง…”
คุณไม่ต้องการฉันอีกต่อไป ฉันจะเก็บรูปคุณไว้และคิดถึงคุณทุกวันได้อย่างไร เฉียวเหลียงอยากให้เธอลืมเขาจริงๆ ตอนที่เขาขอเลิกกับเธอ แต่หลังจากนั้นเขาก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อได้รู้ว่าเขาหายเป็นปกติแล้ว
เมื่อย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เฉียวเหลียงก็ส่ายศีรษะ ในเวลานั้นเขาอยู่ในอารมณ์ของความหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาอาเจียนเป็นเลือดตอนเที่ยงคืน และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยบุคคลที่เขาไว้ใจมากที่สุด เขาจะทำอะไรได้อีก นอกจากปล่อยเธอไป
หลังจากถังซีเอ่ยคำเหล่านั้นกับเฉียวเหลียง ทันใดนั้นดวงตาเธอก็เบิกโพลงขึ้น ถามเขาว่า “คุณอยู่ที่บ้านฉันเหรอ”