ทันทีที่ฉินซินหยิ่งเดินออกจากอุทยานเอ็มไพร์ ใบหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มคล้ำ เธอหันขวับกลับไปมองประตูทางเข้าอุทยานเอ็มไพร์และกำมือแน่น เธอกัดฟันอย่างเกลียดชังขณะกล่าวว่า “ไอ้บ้า! ถังซีตายไปแล้ว! จะกลับมาจัดข้าวของในห้องเก็บของได้ยังไง! ห้องเก็บของ! ไอ้ห้องเก็บของบัดซบ!”
ในเวลานั้นนั่นเองโทรศัพท์ของฉินซินหยิ่งก็ดังขึ้น เธอรับสายอย่างขุ่นเคือง “ฮัลโหล!”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดว่าฉินซินหยิ่งจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เธอจึงรีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “คุณฉิน ฉันมาตามหาคุณที่ห้องทำงานคุณ แต่คุณไม่อยู่ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ”
ฉินซินหยิ่งจำได้ว่าเป็นเสียงวิเวียน เธอรีบเอามือบังโทรศัพท์ไว้ สูดลมหายใจ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “คุณวิเวียน ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ เมื่อกี้ฉันคิดว่าพ่อแม่ฉันโทรมา ที่บ้านฉันมีเรื่องนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมืองหลวง ฉันเกรงว่ากว่าจะกลับไปถึงเมือง A ก็น่าจะเป็นช่วงบ่ายค่ะ คุณมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ”
หลังจากวิเวียนได้ยินคำอธิบายของฉินซินหยิ่งน้ำเสียงเธอก็อ่อนลง เธอกล่าวว่า “ไม่มีอะไรมากค่ะ ฉันแค่อยากบอกคุณว่าตอนนี้ท่านประธานเซียวรู้เรื่องคำเชิญจากปารีสแฟชั่นวีคแล้วนะคะ เขาขอให้เราเตรียมพร้อมสำหรับงานแฟชั่นวีคที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือน แล้วให้ฉันบอกคุณให้เตรียมออกแบบเสื้อผ้าไว้หลายๆ เซ็ท ถ้าคุณมีเวลาช่วยส่งภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่คุณเตรียมไว้ให้ฉันได้ไหมคะ ฉันจะได้ส่งให้ฝ่ายผลิตตัดเย็บออกมาเป็นชุดที่เสร็จเรียบร้อย”
เมื่อฉินซินหยิ่งได้ยินวิเวียนเอ่ยถึงภาพสเก็ตช์งานออกแบบใบหน้าเธอก็ซีดสลด แต่เธอยังกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ค่ะ ฉันสเก็ตช์แบบเตรียมไว้แล้ว จะส่งให้คุณเมื่อฉันกลับไปถึงนะคะ”
เมื่อได้ยินว่าภาพสเก็ตช์งานออกแบบเตรียมไว้พร้อมแล้ว วิเวียนก็ยิ้มออกมาทันทีและกล่าวว่า “ดีไซเนอร์ฉิน คุณนี่ไว้วางใจได้เสมอ ในเมื่อคุณทำงานของคุณเสร็จแล้ว วันนี้ไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ค่ะ จัดการธุระส่วนตัวก่อน เสร็จธุระแล้วค่อยกลับมา ฉันเฝ้ารองานออกแบบของคุณอย่างใจจดใจจ่อจริงๆ นะคะ หวังว่าคุณคงทำให้ฉันประหลาดใจเหมือนทุกครั้ง”
ฉินซินหยิ่งยิ้มและวางสายโทรศัพท์ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอหายไปทันทีที่วางสาย เธอจ้องมองประตูทางเข้าอุทยานเอ็มไพร์ โยนผ้าพันคอไหมลงถังขยะข้างถนน ขึ้นรถและขับออกไป
ถังจงยืนอยู่บนระเบียง เห็นทุกการเคลื่อนไหวของฉินซินหยิ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับเข้าไปในบ้านและเล่าทุกอย่างที่เห็นให้ถังเจิ้นหวาฟัง เมื่อได้ฟังแล้วถังเจิ้นหวาก็โบกมือและส่ายศีรษะ “เธอก็เหมือนกับฉินลั่วนั่นแหละ นกพันธุ์เดียวกันก็มีขนแบบเดียวกัน”
เมื่อได้ยินเจ้านายเอ่ยถึงฉินลั่ว ถังจงก็เม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน จะให้ผมไปเก็บผ้าพันคอไหมของคุณหนูกลับมาไหมครับ”
ถังเจิ้นหวาโบกมือไปมา “ช่างเถอะ เธอเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรที่จะเก็บผ้าพันคอของเธอไว้ ฉันอยากรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเอาอัลบั้มภาพวาดของยายหนูไปไว้ที่ไหน แต่ก็โชคดีแล้วที่ภาพวาดพวกนั้นไม่ตกไปอยู่ในมือฉินซินหยิ่ง”
“นายท่าน…” ถังจงเอ่ยขึ้น แต่ถังเจิ้นหวายกมือขึ้นห้ามแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อฉันรู้แล้วว่าตระกูลฉินทำอะไรไว้กับฉันบ้าง ฉันจะไม่ปล่อยพวกเขาแน่ คราวนี้ถึงแม้คนตระกูลฉินจะมาคุกเข่าขอร้อง ฉันก็ไม่มีวันให้อภัยพวกเขา!”
หนูน้อยหยาถูกฉินลั่วสังหาร! แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะมอบตัวฉินลั่วให้ท่าน… นอกจากนี้ท่านจะไม่มีวันลืมความอกตัญญูของฉินซินหยิ่ง
ซีซีของฉันจริงใจกับเธอย่างที่สุด แต่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแยกซีซีของฉันออกจากคนที่ซีซีรัก และยังพยายามขโมยผลงานของซีซี
เมื่อรู้ถึงการตัดสินของถังเจิ้นหวา ถังจงก็เอ่ยขึ้นหลังจากทั้งคู่เงียบไปนาน “ถ้าอย่างนั้น ผมจะบอกให้คนของเรา…”
ถังเจิ้นหวาพยักหน้า “จัดการได้เลย ระงับการเพิ่มทุนแก่ตระกูลฉิน อย่าบอกพวกเขาว่าฉันไม่อนุมัติ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาจะหันไปขอความช่วยเหลือจากบริษัทอื่น ฉันจะทำให้พวกเขาเชื่อว่าเอ็มไพร์กรุปจะยังคงลงทุนในฉินกรุป เพียงแต่ต้องการเวลาสักระยะหนึ่ง และแจ้งให้บริษัทลูกของเราแย่งคำสั่งซื้อของพวกเขามาให้หมด ไม่ว่าคำสั่งซื้อใดๆ ที่ฉินกรุปพยายามหามา แต่อย่าทำอย่างเปิดเผย”
ถังจงเข้าใจทันทีว่าถังเจิ้นหวาจะทำอะไร เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมรู้ครับ ว่าต้องทำอย่างไร”
หลังจากถังจงออกไป ถังเจิ้นหวาก็มองดูภาพถ่ายบนโต๊ะแล้วถอนหายใจ “ซูหวา ฉันกำลังจะแก้แค้นให้เสี่ยวหยาของเราในไม่ช้านี้”
หญิงสาวสวยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสในภาพดูเหมือนจะรอมานานสำหรับคำคำนี้และยิ้มอย่างมีความสุข
ถังเจิ้นหวาดูราวกับจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบุคคลในภาพ ท่านยิ้ม วางรูปภาพไว้ระหว่างหน้าหนังสือ แล้วหันไปมองรูปครอบครัวบนโต๊ะทำงาน ซึ่งผู้หญิงในภาพนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน แต่ไม่ใช่ผู้หญิงในรูปก่อนหน้านี้
ถังเจิ้นหวาลูบไล้ภาพถ่าย ดวงตาเริ่มหม่นมัวมากขึ้น ทำไมถึงมีคนบางคนในภาพถ่ายครอบครัวของท่านหายไปเสมอ
ถังเจิ้นหวามองดูภาพหมู่ของถังซี ดวงตาท่านแดงเรื่อขึ้นมา “ซีซี หนูทิ้งปู่ไปแบบนี้ได้ยังไง ปู่จะทนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่คนเดียวในอุทยานเอ็มไพร์อันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ยังไง”
ถังจงมองดูถังเจิ้นหวาผู้โศกเศร้าจากรอยแตกของประตู น้ำตาวาววับอยู่ในดวงตาเขา เขาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ปิดประตูลงเบาๆ แล้วหันหลังกลับ
พระเจ้าช่างโหดร้ายต่อนายท่านเหลือเกิน
…
ฉินซินหยิ่งกำลังขับรถเมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอมองดูชื่อผู้โทร ขมวดคิ้ว แล้วกดรับสาย “พ่อคะ มีอะไร”
“คุณปู่ให้พ่อถามลูกเรื่องหนึ่ง ลูกได้พูดเรื่องเงินทุนที่เขาจะมาลงเพิ่มกับเราหรือเปล่า ตอนเข้าไปที่อุทยานเอ็มไพร์วันนี้ ประธานถังบอกไหมว่าจะอนุมัติเงินลงทุนเมื่อไหร่” ฉินเปิ้นหยวนมีน้ำเสียงหงุดหงิด เขาอาจถูกบังคับจากพ่อเขาอีกทีให้โทรหาเธอ
ฉินซินหยิ่งลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง จึงไม่รู้จะตอบบิดาว่าอย่างไร เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตาแก่นั่นถูกฉันหลอกจนเชื่อสนิท ตอนนี้เขาปฏิบัติกับฉันราวกับฉันเป็นหลานสาวของเขาเอง เขาบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ฉันต้องทุกข์ยากลำบากใดๆ และจะสนับสนุนฉันไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันถามเขาเรื่องการเพิ่มทุน เขาก็เห็นด้วย และบอกฉันว่าเงินทุนจะได้รับการอนุมัติโดยเร็วที่สุด”
ทางปลายสายอีกด้านหนึ่ง ฉินเปิ้นหยวนมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำพูดของฉินซินหยิ่ง “จริงหรือ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ เรากำลังแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ เพื่อให้ได้โครงการใหญ่หลายโครงการ ทันทีที่มีเงินเข้ามา ตระกูลฉินของเราจะก้าวกระโดดล้ำหน้าในเมืองหลวง และติดอันดับหนึ่งในสิบเจ้าแห่งธุรกิจ หยิ่งเอ้อ เมื่อถึงเวลานั้นลูกจะเป็นฮีโร่ของตระกูลฉิน!”
ดวงตาฉินซินหยิ่งส่องประกายแวววาวเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ เธอถามอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอคะ ถ้าเงินทุนเข้ามาเมื่อไร ฉินกรุปจะพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ และยังจะก้าวกระโดดล้ำหน้าอีกด้วย”
“เป็นความจริงอย่างแน่นอน หยิ่งเอ้อลูกจะอยู่เมืองหลวงอีกหลายวันใช่ไหม ลูกต้องเอาใจใส่ประธานถังอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าวเลยนะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลฉินทั้งตระกูล!”
ฉินซินหยิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้ถามเรื่องนี้ในวันนี้ แต่เธอบอกว่า “พ่อคะ พ่อมั่นใจได้ คุณปู่ถังบอกว่าใช้เวลาไม่กี่วันหรอกค่ะ ที่เอ็มไพร์กรุปจะอนุมัติ”