หัวใจถังซีที่กำลังเต้นระทึกสงบลงทันที เธอผลักเฉียวเหลียงออกไปและกระโดดลงจากโต๊ะ วิ่งไปนั่งลงที่โซฟา ยกมือกุมแก้มทั้งสองข้างที่แดงก่ำ กะพริบตาปริบๆ มองเฉียวเหลียงและกระซิบว่า “มีคนเคาะประตู จะไม่ให้เขาเข้ามาเหรอ”
เฉียวเหลียงมองหน้าถังซีอยากจะจูบเธอให้ได้ เขาไม่ตอบคำถามถังซี แต่เดินตรงเข้าไปหาเธอ ถังซีตกใจรีบสวมหน้ากากและหมวกแล้วตะโกนว่า “เข้ามาได้ค่ะ!”
เฉียวเหลียงเดินไปที่โต๊ะน้ำชา ก้มลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ถังซีกำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง เฉียวเหลียงก็หยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นมา และในเวลานั้นประตูห้องทำงานก็เปิดออกพอดี ถังซีรู้สึกโล่งอกที่เห็นบุคคลนั้น และร้องเรียกออกมา “พี่จิ่ง”
เซียวจิ่งมองเฉียวเหลียง เม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เรามีสัดส่วนการถือหุ้นเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปร้อยละหกสิบห้า สำหรับส่วนที่เหลืออีกสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้น สิบห้าเปอร์เซ็นต์ถือโดยสมาชิกครอบครัวเฉียวคนอื่นๆ และยี่สิบเปอร์เซ็นต์อยู่ในมือลู่กวงสยง ถ้าเราต้องการได้หุ้นของพวกเขา ฉันเกรงว่าเราอาจต้องใช้วิธีพิเศษ”
เฉียวเหลียงกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้ว และนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเงยหน้ามองเซียวจิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไรอีกไหม”
เซียวจิ่งขมวดคิ้วมองหน้าเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงยกขาขวาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวตามปกติ ไม่มีความขัดเขินแต่อย่างใด เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เคาะนิ้วเบาๆ บนโต๊ะ “ฉันไม่สนใจว่านายจะใช้วิธีอะไร ฉันแค่ต้องการหุ้น”
เซียวจิ่งเลิกคิ้วแล้วยิ้มออกมา “ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง ฉันต้องไปแล้ว”
เซียวจิ่งหันไปมองถังซี “แล้วการสัมภาษณ์ของเธอล่ะ เป็นยังไง”
ถังซีถอดหมวกและหน้ากากออกแล้ว เธอยิ้มให้เซียวจิ่ง “ฉันพอใจพวกเขามาก พี่จิ่ง พี่ช่วยฉันเรื่องการดำเนินงานบริษัท กับช่องทางการขาย…”
“ไม่… คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาหรอก” ก่อนที่ถังซีจะพูดจบ เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานก็ขัดจังหวะเธอ ถังซีและเซียวจิ่งหันไปมองเขาพร้อมกัน เขากล่าวต่อไปว่า “ผมจะจ้างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคุณเอง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา เซียวจิ่งไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้ในเรื่องพวกนี้”
ถังซีถามด้วยความสงสัย “ทำไมคะ”
เฉียวเหลียงลุกขึ้นยืน เหลือบมองหน้าถังซีและกล่าวว่า “แผนกออกแบบของเฉียว”
“อ้อ ค่ะ” ถังซีพยักหน้า “ใครๆ จะเอาเรื่องนี้ไปนินทา ถ้าพี่จิ่ง ประธานคนหนึ่งของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมาช่วยโปรโมตเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอีกแบรนด์หนึ่ง ขอโทษที ฉันคิดน้อยไปจริงๆ” เธอมองเฉียวเหลียง “คุณจะจ้างผู้เชี่ยวชาญคนไหนมาให้ฉันคะ”
เฉียวเหลียงยิ้ม “ผมจะแนะนำคุณให้รู้จักเขาในอีกไม่กี่วันนี้ ผมคิดว่าเขาสามารถช่วยคุณนำบริษัทเข้าสู่วงการได้ แม้ว่าอาชีพหลักของเขาจะไม่ใช่การบริหารงานบริษัทก็ตาม”
“เขาเป็นเพื่อนคุณเหรอ” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียงด้วยดวงตาเป็นประกาย เท่าที่เธอรู้จักเขามา เขาแทบไม่เคยเอ่ยปากชื่นชมใคร แต่บุคคลนี้ได้รับการยกย่องจากเฉียวเหลียง เขาจึงต้องเก่งมาก!
เมื่อเห็นถังซีตื่นเต้นยินดี เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ถ้าคุณยังแสดงท่าทางยินดีมากมายขนาดนี้เมื่อผมพูดถึงเขา ผมจะเลิกจ้างเขา”
เมื่อเห็นเฉียวเหลียงหึงออกนอกหน้าอย่างหน้าไม่อาย เซียวจิ่งก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ “ไอ้บ้า!” จากนั้นก็เปิดประตูแล้วหันหลังเดินจากไป
ถังซีเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่มองหน้าเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงเดินมาสวมหมวกและหน้ากากให้ถังซีและกระซิบว่า “เราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่เขาเป็นหนี้บุญคุณผม ผมก็เลยขอให้เขามาช่วยคุณ”
“เป็นหนี้บุญคุณคุณเหรอ” เฉียวเหลียงเคยปล่อยให้ใครเป็นหนี้อะไรเขาด้วยเหรอ
เฉียวเหลียงดึงหมวกฮูดที่เสื้อเธอคลุมศีรษะที่สวมหมวกอยู่แล้วอีกชั้นหนึ่ง และกล่าวเบาๆ ว่า “ครั้งสุดท้ายที่เขามาเมือง A ศัตรูของเขาหาตัวเขาพบโดยบังเอิญ และเขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ตำรวจสากลก็ต้องการตัวเขา ผมจึงพาเขาไปต่างประเทศกับผมด้วย ตอนที่ผมต้องเดินทาง ผมแค่ช่วยเหลือเขานิดหน่อย…”
“ตำรวจสากล?” ถังซีตกใจ “เขาเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า”
เฉียวเหลียงยิ้มมองหน้าถังซี “คุณคิดว่าผมเป็นคนเลวหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ แน่นอนค่ะ!” ถังซียิ้มหวานให้เขาและจับมือเขา “ถ้าคุณเป็นคนเลว ฉันคิดว่าประธานบริษัททั่วโลกจะต้องปวดหัวแน่”
“ทำไมล่ะ” เฉียวเหลียงมองถังซีทางด้านข้างขณะพาเธอเดินออกไปข้างนอก “ทำไมคุณถึงแน่ใจว่าผมไม่ใช่คนเลว”
“ก็… เพราะเฉียวเหลียงของฉันจะไม่มีวันเป็นคนเลว” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง “แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตัดสินว่าใครเลวใครดี แต่… ฉันเลือกได้ที่จะอยู่ใกล้ใคร หรืออยู่ห่างจากใคร และฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ห่างจากคนที่คนอื่นเห็นว่าเป็น ‘คนเลว’ ถ้า… ใจฉันคิดว่าเขาไม่ได้ ‘เลว’ เลย”
“ทฤษฎีของคุณแปลกๆ” เฉียวเหลียงพาถังซีเข้าไปในลิฟต์ “ผู้ชายคนนั้นค่อนข้างประหลาด ถึงเขาจะตกลงช่วยคุณ แต่บางทีเขาอาจพูดอะไรที่สร้างความระคายเคือง หรือคุณอาจรับไม่ได้ ถ้าเขาทำแบบนั้นคุณก็บอกผม แล้วผมจะจัดการให้”
ถังซีพยักหน้า “ตกลงค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว เขาชื่ออะไรเหรอ”
“ฉูหลิง”
“โอพระเจ้า! เขาคือคนที่เปลี่ยนบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ให้กลายเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกใช่หรือเปล่า” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความตกใจ “ฉันได้ยินมาว่าเขายังเด็กมากใช่ไหม”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วมองถังซีที่ร้องอุทานอย่างชื่นชม “เป็นเรื่องใหญ่มากเลยหรือ กับการกอบกู้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์”
ถังซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอนสิ! บริษัทนั้นคือหลิงเฟิงอิเล็กทรอนิกส์! บริษัทอิเล็กทรอนิกส์อันดับหนึ่งของโลก! แน่นอนว่าต้องเป็นภารกิจที่ใหญ่มาก! และเขายังเด็กมาก…”
“แล้วคุณคิดยังไงกับหลงเซี่ยวกรุป” ขณะเดินออกจากลิฟต์เฉียวเหลียงจูงมือถังซีและมองหน้าเธออย่างจริงจังมาก “คุณคิดยังไงกับหลงเซี่ยว”
“หลงเซี่ยวเหรอคะ” ถังซีหัวเราะเบาๆ เงยหน้ามองเฉียวเหลียง “เป็นกลุ่มองค์กรธุรกิจที่แทบจะกำเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลกไว้เลย”
เฉียวเหลียงพยักหน้า “ใช่ คุณคิดว่าหลงเซี่ยวกรุปกับหลิงเฟิงอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน”
ถังซีหัวเราะคิกคัก “แน่นอนสิ หลงเซี่ยวต้องยิ่งใหญ่กว่า ไม่มีบริษัทไหนแข่งกับหลงเซี่ยวได้หรอก แม้แต่… เอ็มไพร์กรุปก็ไม่อาจเป็นคู่แข่งได้”
เฉียวเหลียงพอใจที่ได้ยินอย่างนี้ แต่ถังซีหัวเราะหนักขึ้น “ทำไมคุณเงียบล่ะ ตอนฉันยกย่องหลงเซี่ยว หรือว่าคุณ…”
เฉียวเหลียงหยุดก้าวเดิน หันกลับมามองถังซี ดวงตาเขาลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งได้ เขาพยักหน้า “ใช่ เป็นอย่างที่คุณคิด”
“…” ถังซีอึ้ง กระโดดเข้ามาหาเขาและจับมือเขาไว้ “อาเหลียง เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใครเลย คุณเก่งที่สุดในสายตาฉัน!”
เฉียวเหลียงพูดไม่ออกขึ้นมาทันที