กู้อวิ๋นอึ้ง “…”
สิบนาทีต่อมากู้อวิ๋นก็เดินถือกล่องใบใหญ่ออกมาจากร้าน เฉียวเหลียงมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อเห็นกู้อวิ๋นค่อยๆ เดินมาที่รถอย่างยากลำบาก ในมืออุ้มกล่องขนาดใหญ่มาด้วย มีคนขายของในร้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสองคนมองตามออกมาด้วยท่าทางร่าเริงเบิกบาน เขาก็ขมวดคิ้วและคิดว่า “ไอ้บ้านี้ซื้อมาสก์ไว้ใช้ทั้งปีเลยหรือไง”
กู้อวิ๋นวางกล่องไว้ที่ท้ายรถ แล้วขึ้นมานั่งที่นั่งคนขับพร้อมกับยกมือกุมขมับ จากนั้นก็หันไปหาเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “นายน้อยครับ ผมซื้อมาสก์เรียบร้อยแล้วครับ”
เฉียวเหลียงบ่นในใจว่า ‘นี่นายซื้อมาสก์มาหมดทั้งร้านเลยใช่ไหม สภาพผิวฉันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันต้องใช้มาสก์มากมายอย่างนี้เลยหรือ!’ แต่เขายังคงนิ่งเฉยอยู่ หลังจากกู้อวิ๋นเริ่มสตาร์ทรถ เขาจึง ถามขึ้น “นายซื้อมาสก์อะไรมา”
กู้อวิ๋นมองเฉียวเหลียงจากทางกระจกมองหลัง และรู้สึกเย็นกระดูกสันหลังวาบ เขากล่าวเสียงต่ำ “ผมซื้อมาสก์ชนิดยอดนิยมที่สุดในช่วงนี้ ตามที่นายน้อยสั่ง…”
เฉียวเหลียงคำรามเบาๆ และหลบสายตา กู้อวิ๋นสตาร์ทรถขณะที่เฉียวเหลียงถามว่า “นายคิดว่าสภาพผิวฉันเลวร้ายมากใช่ไหม”
กู้อวิ๋นสะดุ้งกับคำถาม เขาถอนเท้าจากคลัตช์กะทันหันจนรถกระตุก โชคดีที่ประสิทธิภาพของรถดีมาก จึงไม่มีอาการสั่นไหว หัวใจกู้อวิ๋นหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาจับพวงมาลัยแน่นแล้วกลืนน้ำลาย “ไม่เลยครับนายน้อย! ผิวนายน้อยดูอ่อนเยาว์นวลเนียนยิ่งกว่าเต้าหู้เสียอีก ผมจะคิดแบบนั้นได้ยังไง! ไม่ใช่ผิวนายน้อยหรอกครับที่แย่ แต่ผิวผมสิแย่มากๆ!”
“นายหมายถึงฉันดูเหมือนผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”
กู้อวิ๋น “…” นายน้อยครับ ได้โปรดอย่าบิดเบือนความหมายของผมอย่างนั้นสิ!
ขณะที่กู้อวิ๋นไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรดี โทรศัพท์เฉียวเหลียงก็ดังขึ้น เฉียวเหลียงขมวดคิ้วหยิบโทรศัพท์ออกมา อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทางเขาอ่อนโยนลงทันทีเมื่อเห็นชื่อผู้โทร เมื่อเห็นอย่างนั้นจากทางกระจกมองหลัง กู้อวิ๋นก็สตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง และรีบออกรถทันที
เฉียวเหลียงรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ใช่ ผมทานอาหารเช้าแล้ว มีอาหารเยอะแยะเลย” เขากล่าวขณะเปิดถุงที่วางอยู่บนที่นั่งข้างๆ และบอกเธอว่าเขาทานอะไรบ้าง “มีข้าวโอ๊ต เกี๊ยวเนื้อ ไข่ลวก แล้วก็แซนด์วิชด้วย”
ถังซีแทบน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเขาบอกว่าเขาทานอะไรบ้างเป็นอาหารเช้า เธอไม่ได้ทานแซนวิชมานานมาก! แล้วยังเกี๊ยวเนื้ออีก… โอ เธออยากทานเหลือเกิน!
“อาหารเช้าของคุณมีมากมายหลายอย่างกว่าของฉันอีก…” เจ้าแห่งการกินกล่าวด้วยความอิจฉา
เฉียวเหลียงถึงกับอึ้ง “…”
กู้อวิ๋นคิดว่าเขาต้องกำลังเห็นภาพหลอนอยู่แน่ๆ ขณะฟังเจ้านายหนุ่มคุยเรื่องอาหารเช้ากับใครบางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นายน้อยครับ คุณเป็นคนเงียบอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนเจรจาธุรกิจไม่ใช่เหรอครับ คุณเป็นคนพูดน้อยไม่ใช่หรือ ทำไมคุณถึงได้ถือถุงอาหารเช้าคุยเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ล่ะ
ราวกับรู้ว่ากู้อวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ เฉียวเหลียงหันไปมองกู้อวิ๋น กู้อวิ๋นนั่งตัวตรงทันที แล้วจ้องตรงไปข้างหน้า ขับรถอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าถังซีจะถามอะไรเฉียวเหลียง เขาวางถุงอาหารเช้าลง แล้วยันข้อศอกขวาลงบนขอบหน้าต่าง รองรับศีรษะที่เอนพิงด้วยท่าทางสบายใจ และหลับตาลง “ใช่ ผมกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน”
“ตกลง ไปเข้าห้องเรียนเถอะ”
เฉียวเหลียงวางสายโทรศัพท์ และกู้อวิ๋นก็กลับมาตัวเกร็งอีกครั้ง โชคดีที่เฉียวเหลียงไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย ได้แต่หลับตาลง งีบหลับด้วยท่าทางพึงพอใจ
กู้อวิ๋นรู้สึกว่าท่าทางนายน้อยเหมือนถูกผีเข้า หรือคนที่สามารถปราบนายน้อยได้คือคุณหนูเซียว
…
ทางอีกด้านหนึ่ง ถังซีวางสายโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ฝ่ายวิชาการ คุณครูเหอสังเกตเธออยู่ข้างหลังนานแล้ว เมื่อเห็นเธอเดินไปที่ห้องฝ่ายวิชาการเขาก็รีบตามไปจนทัน แล้วถามว่า “เซียวโหรว เธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ หรือ เธอเพิ่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนได้ไม่ถึงเดือนเลย เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น”
ถังซีหันหันกลับไปมองคุณครูเหอ จากนั้นก็มองดูบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่มองออกมาจากทางหน้าต่างและยิ้มให้ “ทั้งคุณครูเหอและเพื่อนๆ ทุกคนก็รู้สถานการณ์ของหนูดีแล้ว หนูต้องรีบสอบโดยเร็วที่สุดค่ะ ไม่อย่างนั้นหนูจะแก่เกินไปที่จะเข้ามหาวิทยาลัย หนูจะไปปรึกษาท่านผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการเรื่องการสอบค่ะ ถ้าเป็นไปได้หนูหวังว่าจะสามารถข้ามชั้นขึ้นไประดับสามได้หลังจากวันชาตินี้”
“เซียวโหรว โรงเรียนของเรากำลังจะจัดแสดงผลงานทางศิลปะ ครูหวังว่าเธอจะเข้าร่วมแสดงในนามชั้นเรียนเรา เธอก็รู้ว่าชั้นเรียนของเรา…”
ถังซียิ้มและถามว่า “การแสดงผลงานทางศิลปะจะจัดขึ้นเมื่อไหร่คะ”
เธอไม่เคยดูการแสดงผลงานทางศิลปะใดๆ มาก่อนเลยตอนที่เรียนอยู่ในเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมแสดง เธอเกือบลืมไปเลยว่าการแสดงผลงานทางศิลปะคืออะไร แต่ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสเธอจึงไม่อยากพลาด ถึงแม้เธอจะไม่ได้ร่วมแสดงงานศิลปะบนเวที แต่เธอก็จะได้ดูคนอื่นแสดง
“เธอคิดว่าเธอจะเข้าร่วมได้ไหม” คุณครูเหอมองเธอด้วยความปลาบปลื้มและรีบกล่าวว่า “งานจะจัดขึ้นวันที่สิบตุลา เธอเข้าร่วมด้วยได้ไหม”
“นักเรียนชั้นเราเตรียมการแสดงละครเวทีเรื่อง ‘ซินเดอเรลลา’ เป็นการแสดงบัลเล่ต์และขับร้องเพลง เธอจะเข้าร่วมกับกลุ่มไหน” คุณครูเหอดวงตาเป็นประกาย
ถังซีหันไปมองเพื่อนร่วมชั้น ทุกคนมองมาที่เธอด้วยความคาดหวังเช่นเดียวกัน เธอยิ้ม “เมื่อมองตาทุกคนแล้ว ฉันต้องรู้สึกผิดแน่ ถ้าไม่เข้าร่วม”
คุณครูเหอยิ้มแล้วมองกลับไปที่นักเรียนชั้น A นักเรียนเกือบทุกคนตะโกนว่า “เซียวโหรว เธอเข้าร่วมการแสดงศิลปะก่อนนะ แล้วค่อยสอบข้ามเกรด!” ในสายตาพวกเขา เซียวโหรวมีพลังในการทำอะไรก็ตามแทบจะทุกอย่าง แม้เธอจะเติบโตมาในชนบท แต่ผลการเรียนของเธอนั้นยอดเยี่ยมและดีกว่านักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียน รวมถึงหนิงเคอด้วย เพราะหนิงเคอไม่รู้วิธีแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์บางข้อ และยังต้องใช้ความพยายามในการทำแบบฝึกหัดภาษาฝรั่งเศส แต่ถังซีแตกต่าง เธอเรียนเก่งราวกับเธอเคยเรียนทุกวิชามาก่อนแล้ว
ถังซีมองไปตามใบหน้าที่คาดหวังแล้วยิ้ม “ในเมื่อทุกคนมั่นใจในตัวฉัน ฉันก็จะเข้าร่วมการแสดงงานศิลปะ” เธอหันไปมองคุณครูเหอ “หนูจะเล่นเปียโนค่ะ”
ทุกคนมองถังซีด้วยสายตาทึ่ง หนิงเคอซึ่งยืนอยู่บนทางเดินมองหน้าเธอ “เธอเล่นเปียโนได้ด้วยเหรอ”
หนิงเคอเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาตั้งแต่เด็ก ทว่าอย่างไรก็ตามเขาไร้ความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีโดยสิ้นเชิง นี่เป็นความเจ็บปวดอันใหญ่หลวง พี่ๆ มักล้อเขาเสมอในข้อบกพร่องนี้ เขาจึงนับถือผู้ที่มีความสามารถในการเล่นเปียโนเป็นอย่างยิ่ง…
เมื่อเห็นท่าทางหนิงเคอ ถังซีก็คิดในใจว่า ‘เด็กคนนี้กำลังจะกลายเป็นแฟนคลับรุ่นเด็กของฉันใช่ไหม’