ลู่กวงสยงเหวี่ยงแขน สะบัดลั่วเสี่ยวลี่ลงไปกองกับพื้น เขามองลงไปที่เธอแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้ายังไม่เลิกเป็นแบบนี้ ก็ไปให้พ้นหน้าฉัน!”
“ลู่กวงสยง คุณหมายความว่ายังไง ตอนนี้คุณไม่มีเงินแล้ว ก็เลยจะกลับไปหาเฉียวอวี่ซินอย่างนั้นหรือ” ลั่วเสี่ยวลี่นั่งอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องมองลู่กวงสยงและหัวเราะเยาะ “ตอนนี้คุณจะกลับไปหานังง่อยนั่นเหรอ คุณจะทิ้งฉันแล้วกลับไปหานังง่อย เพราะมันรวยใช่ไหม”
“หุบปาก!” ลู่กวงสยงหรี่ตามองลั่วเสี่ยวลี่ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิงปากตลาด และกล่าวอย่างเยือกเย็น “หัดอ่านหนังสือซะบ้างนะ อย่ามัวแต่ไร้สาระไปวันๆ ดูเธอสิ เหมือนผู้หญิงชาวบ้านปากตลาดไม่มีผิด! ไม่ใช่สิ ผู้หญิงชาวบ้านปากตลาดยังดีกว่าเธอ!”
“แต่คุณก็ทิ้งเฉียวอวี่ซินมาหาผู้หญิงปากตลาดคนนี้ไม่ใช่หรือ!” ลั่วเสี่ยวลี่หัวเราะเสียงดัง “คุณใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงปากตลาดแบบนี้มานานหลายปีแล้ว และผู้หญิงปากตลาดคนนี้ก็เป็นแม่ของลูกทั้งสองของคุณ! ทำไม จะมาเสียใจตอนนี้หรือไง อยากกลับไปหานังง่อยนั่นหรือ นังง่อยที่แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้เลยตอนนี้!”
ลู่กวงสยงจ้องหน้าลั่วเสี่ยวลี่ที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วเดินออกไปด้วยความเดือดดาล “เธอนี่มันเพ้อเจ้อ จริงๆ!”
“ใช่! ฉันเพ้อเจ้อ! แล้วไงล่ะ!” ลั่วเสี่ยวลี่ร้องไห้อย่างขมขื่น “คุณมันคนเนรคุณ!”
…
ในเวลาเดียวกัน ถังซีกำลังมองดูเฉียวเหลียง ซึ่งนั่งจิบชาสนทนากับผู้กำกับการตำรวจสันติบาลอย่างมีความสุข ในห้องรับรองของสถานีตำรวจ หางตาเธอหรี่ลง เธอหันไปถามเซียวจิ่งซึ่งกำลังตกตะลึง “แบบนี้เหรอคะ ที่พี่เรียกว่า ‘ถูกขังอยู่ในห้องขัง’ ”
เซียวจิ่งหัวเราะอย่างมึนงง “พี่ก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงมานั่งดื่มน้ำชากับท่านผู้กำกับการตำรวจสันติบาลได้! เขาบอกพี่ว่าเขาจะมามอบตัวกับตำรวจ!”
ดวงตาเฉียวเหลียงเป็นประกายขึ้นทันทีที่เห็นถังซี เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหา และพาถังซีเข้าไปในห้อง เขาเหลือบมองเซียวจิ่ง ส่งสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว เซียวจิ่งไม่สนใจเขา เดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มและทักทายท่านผู้กำกับ “ผู้กำกับมู่ ไม่ได้เจอกันนาน เป็นอย่างไรบ้างครับ”
เซียวจิ่งคุ้นเคยกับผู้กำกับมู่ดีเพราะพ่อของเขา ผู้กำกับมู่ยิ้มให้เซียวจิ่ง กล่าวว่า “คุณเซียวจิ่ง เชิญนั่งครับ คุณพ่อคุณเป็นยังไงบ้างช่วงนี้”
“ท่านสบายดีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” เซียวจิ่งเดินมานั่งลงที่โซฟา แล้วรับถ้วยน้ำชาที่ผู้กำกับมู่ส่งให้ “ผู้กำกับมู่ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ผมจะนำความปรารถนาดีไปบอกคุณพ่อให้”
ผู้กำกับมู่ยิ้ม “ขอบคุณครับ คุณเซียวจิ่ง” จากนั้นเขาก็หันไปหาถังซี “สุภาพสตรีสาวน้อยคนนี้ดูคุ้นๆ”
ถังซียิ้ม แต่อุทานในใจว่า ‘ตายแล้ว ฉันลืมใส่หน้ากากกับหมวก…’
เซียวจิ่งกล่าวว่า “ผู้กำกับมู่ ผมคิดว่าคุณเคยเจอน้องสาวผมมาแล้วนะครับก่อนหน้านี้ ตอนที่น้องสาวผมกลับมาพร้อมกับคุณปู่ผม เมื่อคราวนั้น…”
ดวงตาผู้กำกับมู่เป็นประกายขึ้นทันที เขาพยักหน้า แล้วทันใดนั้นก็หยุดชะงักเพราะเห็นเฉียวเหลียงจับมือถังซี “แล้ว… นั่น…”
เซียวจิ่งถอนหายใจ “ได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ผมนะครับ ผู้กำกับมู่ คุณรู้ไหมว่ากรณีของน้องสาวผมเป็นเรื่องไม่ปกติ เธอยังเรียนอยู่โรงเรียนมัธยม เพราะฉะนั้นพ่อแม่ผมไม่ยอมให้เธอมีความรักกับใครแน่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ…” เขามองหน้าผู้กำกับมู่อย่างมีความหมาย
เฉียวเหลียงหรี่ตามองเซียวจิ่ง และกล่าวอย่างเยือกเย็น “เราไม่ได้มีอะไรต้องหลบซ่อน เข้าใจไหม”
เซียวจิ่งจ้องเฉียวเหลียงเขม็ง “นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ถังซีรีบห้ามเฉียวเหลียง เธอยิ้มให้เขาและถามว่า “คุณหิวน้ำไหม…”
เฉียวเหลียงที่กำลังจะทะเลาะกับเซียวจิ่งพยักหน้าทันที “หิวสิ ผมหิว…”
ถังซีรีบส่งถ้วยชาให้เขาทันที แล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เงียบซะ แล้วดื่มน้ำชา”
เฉียวเหลียงรับถ้วยชามาจิบ แล้วเงียบเสียงลง
ผู้กำกับมู่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นเฉียวเหลียงผู้ทรงอำนาจอยู่เมื่อกี้ กลายเป็นชายหนุ่มที่ว่านอนสอนง่ายกับผู้หญิงคนหนึ่งไปได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดออกว่า ทำไมเฉียวเหลียงถึงคิดจะเก็บความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้เป็นความลับ… เพราะผู้หญิงที่เฉียวเหลียงชอบนั้นสวยมาก…
อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนี้เติบโตขึ้นมาในชนบท… ครอบครัวเฉียวเหลียงจะยอมรับเธอได้หรือ
ขณะนั้นนั่นเองผู้กำกับมู่ก็กล่าวว่า “ท่านประธานเฉียว ผู้บังคับบัญชาของผมบอกว่า คุณสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่คุณต้องการ คุณวางใจได้ว่าเราจะจัดแถลงข่าวในวันที่คุณออกจากที่นี่ เพื่อชี้แจงว่าคุณไม่ได้ก่ออาชญากรรม…”
เฉียวเหลียงยกมือขึ้นห้าม “ไม่ต้องกังวลครับ ผมไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อผมเลือกที่จะมาที่นี่ ก็แสดงว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียง”
“แต่ว่าเฉียวกรุป…”
“เฉียวกรุปกติดีครับ ราคาหุ้นของเรากลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง…” เซียวจิ่งซึ่งกำลังดูโทรศัพท์มือถืออยู่เงยหน้าขึ้นมองและตอบทันที
ถังซียิ้มให้เซียวจิ่ง และเซียวจิ่งเลิกคิ้วใส่เธอ ถังซีขมวดคิ้วใส่เขา…
ในเวลานั้นโทรศัพท์ของผู้กำกับมู่ก็ดังขึ้น หลังจากรับสายเขาก็หยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ ซึ่งกำลังเสนอข่าวว่า ลู่หงคุนได้ข่มขืนเด็กผู้ชายคนหนึ่งจนเสียชีวิต และถูกจับกุม…
ผู้กำกับมู่หรี่ตาลง “พวกลูกเศรษฐีพวกนี้…” ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามี ‘พวกลูกเศรษฐี’ นั่งอยู่ข้างๆ เขาสองคน และรีบแก้ไขคำพูด “ลู่หงคุนนี่เดนมนุษน์จริงๆ!”
ถังซีเองก็ตกใจกับการกระทำของลู่หงคุนเช่นกัน เธอขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาประณามเขา ได้แต่ถามว่า “ใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย “จื้อเยี่ยนมีอะไรเหรอ”
น้ำเสียงตื่นเต้นของเฉินจื้อเยี่ยนดังขึ้น “โหรวโหรว โหรวโหรว เธอดูข่าวอยู่หรือเปล่า ดูหรือเปล่า ชอบของขวัญที่ฉันมอบให้เธอไหม ลู่เสี่ยวจิงบังอาจด่าเธอ! ฉันเลยให้พ่อฉันเปิดเผยการกระทำชั่วของพี่ชายลู่เสี่ยวจิง ถึงแม้พ่อฉันจะเอามาเปิดเผยแค่เรื่องเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าไปเน่าตายอยู่ในคุก!”
ถังซีจ้องมองจอทีวี กะพริบตาปริบๆ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเธอจะพูดออกมาได้ “โอเค” แล้ววางสายไป จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียง ซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใด แต่คำรามเบาๆ ว่า “ไม่คิดเลยว่าจะมีใครเคลื่อนไหวเร็วกว่าผม”
ถังซีมองเขาด้วยความสับสน “ตกลงว่าคุณจะยังไม่ไปจากที่นี่เหรอ”
“ไม่ต้องรีบร้อน” เฉียวเหลียงยิ้มให้เธอ จากนั้นก็หันไปหาเซียวจิ่งและกล่าวว่า “ฉันให้อาห้าไปซุ่มอยู่ใกล้ๆ บ้านเพื่อคอยปกป้องดูแลแม่ฉัน แล้วสั่งผู้จัดการบริษัทไว้แล้วว่าไม่ต้องตัดสินใจใดๆ การตัดสินใจเรื่องเงินทั้งหมดจะระงับไว้ก่อนเดือนหนึ่ง และฉันจะกลับไปอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือน”
เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “นายจะทำอะไร”
เฉียวเหลียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ที่ดินที่บริษัทพวกเขาครอบครองอยู่ไม่เลว ฉันอาจจะสร้างสวนสนุกหรือสวนน้ำที่นั่น หรือ…” เฉียวเหลียงหันไปหาถังซีแล้วกล่าว่า “ผมสามารถปรับระดับ สร้างเป็นบ่อเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามให้คุณได้นะ ดีไหม”
เซียวจิ่งรู้สึกรำคาญการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะอย่างพร่ำเพรื่อนี้จริงๆ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ขอเพียงบอกเรา ว่านายตัดสินใจยังไง!”
เฉียวเหลียงมองหน้าเขา ยิ้มและเค้นคำพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ “ทำลายให้สิ้นซาก”