เมื่อได้ยินเฉียวเหลียงเอ่ยชื่อตน ฉินเปิ่นหยวนก็แทบอยากตาย เขาจะเปลี่ยนชื่อทันไหม ตอนนี้เขาขอไม่ชื่อฉินเปิ่นหยวนได้หรือเปล่า เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงด้วยความหวังสุดท้าย น้ำเสียงราวกำลังจะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา “บางทีคนที่คุณต้องการตัวอาจชื่อเหมือนผมก็ได้นะ”
เฉียวเหลียงส่งเสียงคำรามออกทางจมูก มองไปยังชายฉกรรจ์ในชุดดำ ชายชุดดำเตะเข้าที่ชายโครงฉินเปิ่นหยวนอย่างแรงอีกครั้ง เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด รีบร้องออกมาว่า “ได้โปรดหยุดเถอะ ผมคือฉินเปิ่นหยวน ผมคือฉินเปิ่นหยวน! แต่ผมไม่เคยรู้จักคุณ ทำไมถึงทำอย่างนี้กับผม”
“ยังนึกไม่ออกเหรอว่าเคยทำชั่วอะไรไว้” น้ำเสียงเฉียวเหลียงนุ่มนวล แต่ฟังดูน่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับฉินเปิ่นหยวน เขาไม่อาจระงับอาการสั่นสะท้าน และพยายามคิดว่าเขาเคยไปทำอะไรล่วงเกินผู้มีอิทธิพลคนใดไว้บ้างหรือไม่ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเคยทำอะไรให้ผิดใจชายผู้นี้ ซึ่งท่าทางดูเหมือนเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล…
ใช่แล้ว มีแต่พวกเจ้าพ่อเท่านั้น ที่จะพกปืนแบบนี้…
แต่เขาเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าอาชญากร และพยายามหลีกเลี่ยงการมีปัญหากับบรรดาคนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย นี่เขาไปล่วงเกินชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หรือจะเป็นเพื่อนเขาสักคนที่ไปสร้างความขุ่นเคืองให้ชายผู้นี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็นับว่าเพื่อนนำหายนะมาให้แท้ๆ!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินเปิ่นหยวนก็เงยขึ้นมองเฉียวเหลียง “ได้โปรดบอกผมมาเถอะ!”
เฉียวเหลียงหันไปมองชายฉกรรจ์ชุดดำ ชายฉกรรจ์เตะอีกเปรี้ยงเข้าที่หลังฉินเปิ่นหยวน เขาล้มคว่ำลงกับพื้นในท่าคลาน ถังซีซึ่งสวมแว่นปรับการมองเห็นในความมืด ยืนอยู่ด้านหลังเฉียวเหลียง ไม่อาจเก็บอาการไว้ได้เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า โดยสัตย์จริงเธออยากจะให้ชายฉกรรจ์เหล่านี้จับฉินเปิ่นหยวนโยนลงบันไดไปเสียเลยตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้เห็นฉินเปิ่นหยวนโดนซ้อมหนักถึงขนาดนี้ เธอกลับทนเห็นไม่ได้ ขณะมองดูฉินเปิ่นหยวนซึ่งนอนกองอยู่ที่พื้น เธอกระตุกแขนเฉียวเหลียงเบาๆ
เฉียวเหลียงหันมามองถังซีซึ่งกำลังส่ายศีรษะไปมาให้เขา เฉียวเหลียงหรี่ตามองฉินเปิ่นหยวน และกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ฉันรักคุณถัง”
เมื่อได้ยินชื่อถังซี ฉินเปิ่นหยวนก็ตัวสั่น เขารีบเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “คุณครับ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณถัง มิตรภาพระหว่างครอบครัวของผมกับตระกูลถังยืนยาวมาหลายรุ่นแล้ว ลูกสาวผมกับคุณถังก็เป็นเพื่อนรักกัน ผมถือว่าคุณถังเป็นเหมือนลูกสาวของผมเอง และผมไม่เคยคิดร้ายกับเธอเลย สาบานได้ว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริง!”
เฉียวเหลียงคำรามเบาๆ แล้วกล่าวเสียงเยือกเย็นว่า “แกรู้ดีที่สุดว่าในใจแกคิดยังไง ขอบอกให้ชัดๆ นะ ว่าแกควรจะอธิษฐานขออย่าให้คุณถังต้องเผชิญกับปัญหาใดๆ ถ้าเธอต้องเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม ฉันจะมาเอาเรื่องแก ฉันรักคุณถังมานานหลายปีมาก ถนอมรักษาเธอเหมือนสมบัติล้ำค่า! แกทำแบบนั้นกับเธอได้ยังไง อยากตายนักเหรอ” เฉียวเหลียงขบกรามแน่นเมื่อกล่าวประโยคสุดท้าย น้ำเสียงจึงฟังเหมือนเขาเป็นชายหนุ่มหัวหน้าแก๊งนอกกฎหมายที่ไม่กลัวเกรงสิ่งใด
ถังซีรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเหลียง แม้เธอจะใช้ชีวิตอยู่ในสถานะของเซียวโหรว และได้รับความรักความเอาใจใส่อย่างท่วมท้น แต่เธอก็รู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งที่ได้ยินเขาพูดถึงความรักที่มีต่อถังซี เธอรู้ดีว่าเฉียวเหลียงกำลังสารภาพความรักที่มีต่อเธอ เมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็กระชับมือที่จับแขนเขาแน่นยิ่งขึ้น เฉียวเหลียงรู้สึกได้จึงหันมามองเธอและยิ้มให้ เขากุมมือเธอไว้ กล่าวเสียงเยือกเย็นกับฉินเปิ่นหยวนเป็นเชิงเตือน “คุณถังยังไม่รู้ว่าแกทำอะไรไว้กับเธอ แต่ฉันรู้! ดังนั้นฉันจะคอยจับตาดูแก ถ้าแกกล้าทำอันตรายคุณถังหรือครอบครัวเธออีกละก็ ฉันจะจับแกโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา!”
“คุณครับ ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ผมไม่เคยมีเจตนาร้ายต่อคุณถังเลย!”
“ถ้างั้น ทำไมถึงส่งคนไปแอบติดตามดูคุณปู่ถัง” ทันทีที่เฉียวเหลียงพูดจบ ประตูห้องทำงานก็เปิดออก ก่อนฉินเปิ่นหยวนจะทันได้โต้ตอบ ร่างชายสองคนก็โดนจับโยนมากองข้างๆ ตัวเขา ทั้งสองคนต่างร้องคร่ำครวญว่า “ประธานฉิน ได้โปรดช่วยเราด้วย! บอกพวกเขาไปว่าคุณเป็นคนสั่งให้พวกเราคอยแอบติดตามคุณปู่ถัง! คุณต้องช่วยพวกเราด้วย!”
ฉินเปิ่นหยวนโกรธจัดจนแทบกระอักเป็นเลือด เขาไปเอาไอ้นักสืบโง่ๆ สองคนนี้มาจากไหนนะ ไหนมันบอกว่าเป็นนักสืบที่เก่งที่สุดในเมืองหลวง แล้วทำไมถึงถูกจับได้ง่ายๆ แถมยังถูกจับมาโยนใส่หน้าเขาอีก
ฉินเปิ่นหยวนไม่มีทางเลือกอื่น แต่เขายังฝืนหัวเราะ “เป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ เข้าใจผิดกันจริงๆ …”
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ” เฉียวเหลียงหรี่ตาลง ชายชุดดำซึ่งยืนอยู่ด้านหลังฉินเปิ่นหยวนก้าวขึ้นมาด้านหน้าทันที คว้ามือฉินเปิ่นหยวน กระชากให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “คิดให้ดี ก่อนพูด!”
ฉินเปิ่นหยวนรู้สึกได้ถึงกระดูกมือที่เริ่มร้าว จึงรีบวิงวอนขอชีวิต “ผมไม่กล้าทำอีกแล้ว! สาบานว่าจะไม่มีวันทำแบบนั้นอีกแล้ว! ปล่อยผมไปเถอะ! ผมจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คุณถังอีกเลย!”
เฉียวเหลียงมองชายชุดดำ ชายฉกรรจ์ปล่อยมือฉินเปิ่นหยวน ฉินเปิ่นหยวนทรุดลงคุกเข่า อ้อนวอนอย่างน่าเวทนา “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณปู่ถังไปอยู่ที่ไหนบ้าง จะได้จัดฉากให้ลูกสาวผมไปพบท่านได้ถูกที่ถูกเวลา เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ชักจูงใจให้ท่านลงทุนเพิ่มในบริษัทเรา… แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ นี่เป็นเรื่องจริง คุณไปตรวจสอบดูได้!”
เฉียวเหลียงคำรามพลางขมวดคิ้ว เขาหันไปมองถังซี เมื่อเห็นถังซีพยักหน้าเขาก็หันไปจ้องหน้าฉินเปิ่นหยวน ขู่ว่า “ได้ ฉันจะปล่อยแกไป เห็นแก่การที่แกลงทุนอ้อนวอนขนาดนี้ บอกลูกสาวแกด้วยว่าอย่ามาให้ถังซีเห็นหน้าอีก! ไม่งั้น ฉันไม่ปล่อยหล่อนไว้แน่! แกคงไม่อยากเห็นลูกสาวแกโดนจับโยนทะเลเป็นอาหารปลาหรอก ใช่ไหม”
ฉินเปิ่นหยวนกำลังจะตอบว่าเขาเข้าใจแล้ว เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องทำงานกระแทกปิด และรังสีอำมหิตที่ครอบคลุมอยู่ภายในห้องก็สลายไปในทันที ฉินเปิ่นหยวนล้มพับลงกับพื้น เหงื่อแตกท่วมตัว อีกครู่ใหญ่ต่อมานักสืบเอกชนสองคนที่นอนกองอยู่ข้างกายเขาก็คลานไปเปิดไฟ พวกเขาตกใจมากเมื่อเห็นสภาพฉินเปิ่นหยวน จึงรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้น ฉินเปิ่นหยวนจิกตาจ้องคนทั้งสองเขม็ง ชายทั้งสองหลบตาด้วยความอับอาย ฉินเปิ่นหยวนนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกไปที่โต๊ะทำงาน โทรเรียกตำรวจ
ในเวลานั้นถังซีกับเฉียวเหลียงลงมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ถังซีมองเฉียวเหลียงและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณมากนะ สำหรับทุกอย่างที่คุณช่วยเป็นธุระจัดการให้ฉัน”
เฉียวเหลียงยิ้ม เอื้อมมือมาลูบผมเธอ “ธุระของคุณก็คือธุระของผม ไม่ต้องขอบคุณหรอก”