เมื่อเห็นหยางจิ้งเสียนและคนอื่นๆ ยังคงเงียบ ถังซีก็กะพริบตาปริบๆ อย่างเคอะเขิน ข้อเสนอนี้ดูโง่หรือเปล่า แต่เธอก็ไม่รู้จะหาวิธีไหน ตอนนี้ทั้งสองครอบครัวดีต่อเธอมาก เธอไม่อยากทำร้ายจิตใจพวกเขา! เธอรู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะเรียกเซียวหงอี้กับหลินหรูว่าคุณลุงคุณป้า
“เรียกแบบนี้ดูโง่ๆ หรือเปล่าคะ” ถังซีกะพริบตามองหยางจิ้งเสียน
หยางจิ้งเสียนคิดว่าถังซีน่ารักมาก เธอลูบไล้เรือนผมถังซีด้วยรอยยิ้ม ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ไม่เลยจ้ะ ก็ดีนะ แต่คงยากนิดหน่อยสำหรับหนูที่จะเรียกคุณพ่อทั้งสองแบบนั้น เอาอย่างนี้ดีไหม หนูเรียกคุณพ่อกับแม่ว่า คุณพ่อกับคุณแม่ และเรียกพ่อกับแม่ของหนูว่า ป่าป๊ากับหม่าม้า ดีไหมจ๊ะ เวลาที่หนูเรียกว่าคุณแม่ ก็คือหนูเรียกแม่ ถ้าเรียกว่ามาม๊าก็คือหนูเรียกอาหรู”
คุณปู่เซียวมักพอใจกับข้อเสนอของหยางจิ้งเสียนเสมอ ปัญหานี้จึงได้ข้อสรุปแบบนี้ ถึงตอนนี้คนรับใช้ก็ได้เตรียมอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงไปรับประทานอาหารกลางวันกัน ขณะรับประทานถังซีก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เธอต้องทำงานล่วงเวลา! เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ถังซีรู้สึกว่าเธอเริ่มปวดศีรษะ เธอควรบอกทุกคนเลยไหมว่าเธอก่อตั้งบริษัทของตนเองแล้ว พวกเขาคงตกใจ เธอเพิ่งกลับมาจากชนบทเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เธอจะตั้งบริษัทได้อย่างไร…
เมื่อเห็นถังซีทานอาหารไม่มาก หยางจิ้งเสียนก็ขมวดคิ้ว ถามเบาๆ ว่า “ลูกมีปัญหาอะไรที่โรงเรียนหรือเปล่า” ทำไมวันนี้เด็กที่กินเก่งมาตลอดถึงไม่อยากทานอาหาร
ถังซีมองหยางจิ้งเสียนแล้วเม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “อันที่จริงวันนี้หนูมีบางอย่างต้องทำค่ะ แต่ถ้าหนูไปจัดการเรื่องของหนู หนูจะมาทานอาหารค่ำกับทุกคนไม่ได้ หนูเลยรู้สึกผิดนิดหน่อย”
คุณปู่เซียวขมวดคิ้ว มองหน้าถังซีแล้วถามว่า “คืออะไรหรือ”
“คุณปู่คะ…”
หยางจิ้งเสียนมองหน้าถังซี ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องที่เซียวจิ่งบอกกับเธอเมื่อเช้านี้ เธอถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องบริษัทของหนูหรือเปล่า”
“บริษัทของหนูเหรอ” หลินหรูมองหน้าถังซี ดวงตาเธอมีแววประหลาดใจ เธอถามว่า “บริษัทอะไรจ๊ะ โหรวโหรวเริ่มไปทำงานที่บริษัทแล้วเหรอ”
ถังซีมองหยางจิ้งเสียนอย่างลังเล หยางจิ้งเสียนใช้ตะเกียบคีบอาหารทะเลที่ถังซีโปรดจากจานมาใส่ลงในชามของถังซี พร้อมกับยิ้ม “ไม่ใช่จ้ะ เธอก็รู้นี่ โหรวโหรวรับงานถ่ายโฆษณาทีวี เป็นโฆษณาน้ำหอม เมจิกบัตเตอร์ฟลายของโอแอลเอส โหรวโหรวได้รับค่าจ้างสามล้านหยวนจากงานนี้ เธอไม่อยากให้เงินจำนวนนี้ไร้ประโยชน์ ก็เลยขอให้พี่ชายเริ่มก่อตั้งบริษัทให้ เซียวจิ่งกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยเธอก่อตั้งบริษัท มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับบริษัทหรือเปล่าจ๊ะ”
ทุกคนมองถังซีด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะคุณปู่เซียว ท่านวางตะเกียบลง มองหน้าเธอและถามว่า “หนูอยากเปิดบริษัทประเภทไหน”
ถังซีกล่าวเขินๆ ว่า “คุณปู่คะ บริษัทของหนูเพิ่งก่อตั้งค่ะ ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย หนูกะว่าจะเล่าเรื่องบริษัทของหนูให้คุณปู่ฟัง หลังจากประสบความสำเร็จบ้างแล้ว และหวังว่าคุณปู่จะสนับสนุนหนูเต็มที่”
คุณปู่เซียวหัวเราะ กล่าวว่า “ดีๆ เป็นเรื่องดี ที่หนูมีความทะเยอทะยาน หนูเป็นหลานสาวที่คู่ควรของปู่จริงๆ ปู่ขอบใจในความกล้าหาญของหนู ใช่แล้ว ในเมื่อหนูมีเงินสามล้านหยวน หนูก็ควรทำรายได้ให้เพิ่มพูนขึ้นเป็นสามสิบล้าน หรือสามร้อยล้านจากเงินทุนก้อนนั้น ถ้ามีปัญหาอะไรอย่าลังเลที่จะบอกปู่ ปู่จะให้การสนับสนุนเต็มที่”
ถังซีขอบคุณท่านด้วยรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “หนูไม่ต้องการขอเงินจากคุณปู่ค่ะ ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นความสำเร็จของหนูเองไม่ได้”
เซียวหงอี้กล่าวว่า “การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย หนูต้องเลือกแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับบริษัท ถ้ามีปัญหาอะไร ขอให้บอกเรา เราจะเป็นที่ปรึกษาให้หนูทุกเรื่องจ้ะ”
ถังซียิ้มและพยักหน้า จากนั้นเธอก็ทานอาหารไปอีกหลายคำ ก่อนจะกล่าวว่า “แล้วมื้อค่ำคืนนี้…” คืนนี้หนูไม่มาร่วมทานอาหารค่ำได้ไหมคะ
คุณปู่เซียวหัวเราะและกล่าวว่า “ปู่จะให้พ่อครัวทำอาหารให้เร็วขึ้น หนูต้องทานอาหารค่ำก่อนไปทำงาน หนูจะได้ไม่หิว”
ถังซีพูดไม่ออก “…”
ช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้เผิงอวี้จะยังคงเป็นศัตรูกับเธอ แต่เธอไม่ได้สนใจเผิงอวี้จริงจัง หลังเลิกเรียน เฉินจื่อเยียนรอเธออยู่ที่ประตูโรงเรียน ถังซีพาเฉินจื่อเยียนเดินไปที่รถพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันต้องกลับไปที่บ้านคุณปู่ เธอไปทานอาหานค่ำกับครอบครัวฉันก่อนได้ไหม แล้วเราถึงจะไปที่บริษัทของฉันหลังอาหารค่ำ”
เฉินจื่อเยียนรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อเธอได้ยินประโยคนี้ เธอรีบพยักหน้าตอบว่า “ได้สิ แน่นอน ด้วยความยินดี” เฉินจื่อเยียนโยนกระเป๋านักเรียนลงข้างๆ ตัว มองถังซีและถามว่า “เธอทำงานกับบริษัทของครอบครัวเธอเหรอ”
ถังซียิ้มและกล่าวว่า “เปล่า เธอจะรู้เองเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว จื่อเยียน ฉันสังเกตเห็นว่าเธอชอบวาดภาพเครื่องประดับ เธอชอบเครื่องประดับเหรอ”
เฉินจื่อเยียนพยักหน้าตอบว่า “แม่ฉันชอบซื้อเครื่องประดับ ‘บลิงบลิง’ ให้ฉัน ตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ ฉันเลยเป็นคนเห็นเครื่องประดับไม่ได้ หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกอยากวาดภาพเครื่องประดับ แล้ว…ฉันก็คิดว่าจริงๆ แล้วภาพวาดของฉันก็ไม่เลว”
ถังซีพยักหน้า “ใช่ ฉันเคยเห็นภาพวาดของเธอแล้ว ไม่เลวเลย เธอเคยวาดเก็บไว้เป็นอัลบั้มบ้างหรือเปล่า ถ้ามี ฉันขอดูหน่อยได้ไหม”
ดวงตาเฉินจื่อเยียนเป็นประกายขึ้นทันที เธอรีบหยิบอัลบั้มออกจากกระเป๋าส่งให้ถังซีโดยบอกว่า “ฉันจำได้ว่าเธอก็เคยวาดภาพเสื้อผ้าในชั้นเรียน ฉันชอบภาพวาดพวกนั้น เธออยากเป็นนักออกแบบเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเรามาทำงานร่วมกันดีไหม ฉันจะออกแบบเครื่องประดับ เธอออกแบบเครื่องแต่งกาย… เราจะเป็นพี่น้องอัจฉริยะในวงการแฟชั่น!” เฉินจื่อเยียนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอจินตนาการถึงอนาคตอันสดใส
อาหกซึ่งขับรถอยู่กะพริบตาปริบๆ พลางส่ายศีรษะ คุณจะเป็นบ้าไปเลยไหม ถ้าคุณรู้ว่าเซียวโหรวเป็นเพื่อนสนิทกับผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นระดับโลกหลายคน
ถังซีมองดูอัลบั้มภาพของเฉินจื่อเยียน แล้วเลิกคิ้วขณะกล่าวว่า “จื่อเยียน เธอเคยคิดจะเข้าเรียนในสถาบันการออกแบบบ้างไหม ถ้าเธอตั้งใจจะเรียนในสถาบันการออกแบบจริงๆ ฉันขอให้เพื่อนคนหนึ่งของฉันช่วยเธอได้นะ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องเซ็นสัญญากับฉันสิบปี หลังจากเรียนจบจากสถาบันออกแบบ”
“สิบปีเหรอ” เฉินจื่อเยียนขมวดคิ้วถามว่า “นี่เธอขอให้ฉันขายตัวให้เธออย่างนั้นเหรอ”
ถังซียิ้ม มองหน้าเฉินจื่อเยียนด้วยความจริงใจ ถามว่า “เธอจะยอมไหมล่ะ”
เฉินจื่อเยียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฉันคิดว่าฉันควรขอความเห็นจากพ่อแม่ฉันก่อน เพราะไม่เคยมีใครในครอบครัวฉันทำงานในวงการออกแบบ เราจึงไม่รู้อะไรเลยในเรื่องนี้ ฉันอาจต้องโน้มน้าวพ่อแม่ฉันก่อน”
ถังซีพยักหน้าและบอกว่า “ตกลง ตัดสินใจยังไงบอกฉันก็แล้วกัน ที่สำคัญคือเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ถ้าได้นำงานอดิเรกของเธอมาเป็นงานอาชีพจริงไหม”
เฉินจื่อเยียนพยักหน้า “ได้เลย แต่เธอต้องติวภาษาอังกฤษให้ฉันก่อนนะ… ฮิๆ…”