ถังซีไปอาบน้ำหลังจากออกแบบบัตรเชิญเสร็จ เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำเฉียวเหลียงก็กำลังอ่านข้อความบนหน้าจอแล็ปท็อป พอเห็นเธอเข้ามาเขาก็ปิดแล็ปท็อป ทำท่าบอกให้เธอนอนลงข้างๆ “คุณออกแบบบัตรเชิญเสร็จแล้วหรือ”
ถังซีเอนพิงอกเฉียวเหลียง พยักหน้า และหาว “ขอโทษนะที่ทำให้คุณรอนาน นอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้คุณจะออกเดินทางกี่โมง”
“หกโมง” เฉียวเหลียงกล่าวแล้วปิดไฟ “นอนเถอะ คุณอาจยุ่งมากในช่วงสองวันต่อจากนี้”
ถังซีไม่ตอบ เฉียวเหลียงก้มลงมองเธอและพบว่าเธอหลับไปแล้ว เฉียวเหลียงจูบหน้าผากเธอ เธอไม่ได้นอนเลยระหว่างอยู่บนเครื่องบิน และนั่งออกแบบบัตรเชิญตั้งแต่มาถึงโรงแรม เธอคงจะหมดแรง
สิบโมงเช้าแล้วเมื่อถังซีตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา และเฉียวเหลียงไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอแล้ว เธอลุกขึ้นและโทรหากเขา เฉียวเหลียงรับสายอย่างรวดเร็ว “ผมมาถึงมาร์แซย์เรียบร้อยแล้ว ทำไมคุณไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะ”
ถังซีเดินไปที่หน้าต่าง มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยไปไอหมอกและขมวดคิ้ว “ฉันไม่อยากนอนต่อแล้ว บอกฉันหน่อยสิว่าคุณจะเสร็จงานเมื่อไร”
ถังซีไม่ยอมวางสายจนกระทั่งเฉียวเหลียงให้สัญญากับเธอซ้ำๆ หลายครั้งว่าเขาจะดูแลตัวเองให้ดี อย่างไรก็ตามเธอยังคงเป็นห่วงเขา หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไปถามอาหกเรื่องตารางงานของเฉียวเหลียงในวันนี้ คำตอบของอาหกตรงกับที่เฉียวเหลียงบอกเธอทุกประการ เธอขมวดคิ้ว แต่ไม่อยากรบกวนเฉียวเหลียงอีกจึงพยายามเลิกคิด
หลังอาหารเช้าถังซีออกกำลังกายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วโทรหาฉู่หลิง ฉู่หลิงอยู่ที่โรงงาน ถังซีขอให้เขาส่งที่ตั้งโรงงานมาให้เธอ เพื่อเธอจะได้ให้อาหกไปส่ง เมื่อเธอไปถึงโรงงานฉู่หลิงก็ถามว่า “ทำไมคุณไม่นอนต่ออีกสักหน่อย วันนี้ไม่ได้มีงานให้เราทำมากมาย คุณพักผ่อนก่อนก็ได้ เราจะไปดูสถานที่จัดแสดงวันพรุ่งนี้”
ถังซียืนดูช่างตัดเย็บเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วถามฉู่หลิง “เราลงมือตัดเย็บทุกชุดแล้วเหรอ ทำไมเราไม่ให้ดีไซเนอร์ของเรามาทำเสื้อผ้าที่พวกเขาออกแบบเอง แล้วให้พนักงานตัดเย็บของที่นี่เป็นพี่เลี้ยงล่ะ เรามีเวลาพอเหรอ”
“ไม่พอน่ะสิ” ฉู่หลิงมองหน้าถังซี พูดอย่างจริงจัง “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณไม่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเองได้ มีเวลาน้อยเกินไปสำหรับนักออกแบบของคุณ ที่จะให้พวกเขาลงมือตัดเย็บด้วยตัวเอง ช่างฝีมือของโรงงานมีประสบการณ์มากกว่า และพวกเขาสามารถจัดการได้ คุณวางใจเถอะ”
ถังซีพยักหน้า ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเสื้อผ้าผู้ชายชุดหนึ่งที่เธอออกแบบมีลายปักด้วย เธอจึงถามว่า “พนักงานจะปักผ้ายังไง
“ฉันทำเองได้นะ ไม่เป็นไร” ถังซีกล่าว “ชาวตะวันตกไม่ค่อยรู้เรื่องการปักผ้าแบบดั้งเดิมของตะวันออก ฉันคิดว่าฉันรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าพวกเขา ให้ฉันทำเถอะ”
เมื่อเห็นถังซียืนยันในเรื่องนี้ ฉู่หลิงก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็ขอให้ใครคนหนึ่งนำเครื่องมือเย็บปักมาให้ ถังซีนั่งลงเริ่มปักผ้า อย่างไรก็ตามหลังจากปักไปได้เพียงไม่เท่าไร เข็มก็แทงนิ้วเธอ และทิ้งรอยเลือดไว้บนผ้าสีขาว เธอขมวดคิ้วแล้วดูดนิ้วเบาๆ ฉู่หลิงหน้านิ่วมองดูถังซีและถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม”
ถังซีส่ายศีรษะกล่าวว่า “วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อาจเป็นเพราะเฉียวเหลียง ปกติเขาแทบจะไม่ทิ้งฉันไปไหน ตอนนี้ฉันยิ่งรู้สึกใจไม่ค่อยดีเพราะถูกเข็มแทงนิ้ว”
ฉู่หลิงหน้านิ่ว “เฉียวเหลียงไปโพรว็องซ์ใช่ไหม ไปมาร์แซย์เหรอ”
ถังซีขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้”
“คุณไม่รู้เหรอ ช่วงนี้ที่นั่นมีการต่อสู้ระหว่างอันธพาลท้องถิ่นเกิดขึ้นมากมาย” ฉู่หลิงเม้มริมฝีปาก หยิบโทรศัพท์ออกมาโยนให้ถังซี “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้เรื่องงานอีกอย่างหนึ่งของเฉียวเหลียงนะ ในเมื่อเขามาที่นี่แล้ว เขาก็ต้องไปดูที่โน่นอย่างแน่นอน คุณกับเฉียวเหลียงเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คุณสองคนมีโทรจิตส่งถึงกันแล้วเหรอ คุณรู้สึกได้หรือว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย”
ถังซีก้มลงดูข่าว ขมวดคิ้ว แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ฉู่หลิง ถามอย่างร้อนรนว่า “พวกอันธพาลท้องถิ่นมีอะไรเกี่ยวข้องกับเฉียวเหลียงหรือเปล่า ทำไมเขากับลู่หลีถึงต้องไปที่นั่น”
“นี่คุณไม่รู้เหรอ” ฉู่หลิงหันมองไปรอบๆ และลดเสียงลง “เฉียวเหลียงลงนามในข้อตกลงกับผู้ว่าการโพรวองซ์ ภายใต้เงื่อนไขการเข้าสู่โพรวองซ์ของหลงเซี่ยว พวกเขาต้องช่วยปราบปรามแก๊งอันธพาลท้องถิ่น ปกป้องพลเมืองจากการถูกคุกคาม และปราบปรามการจลาจลที่เกิดจากแก๊งเหล่านั้น”
ถังซีขมวดคิ้วด้วยความวิตกกังวล ฉู่หลิงยิ้ม กล่าวว่า “แต่พวกเขาก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมสำหรับภารกิจนี้ ตอนนี้การค้าเพชรทั้งหมดในโพรวองซ์อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา และหลงเซี่ยวได้รับสัมปทานเหมืองเพชรที่นั่น สิ่งเหล่านี้มีมูลค่ามหาศาลเมื่อขุดเพชรขึ้นมาได้ แต่พวกเขาไม่ได้สูญเสียอะไรเลยในการปราบปรามแก๊งท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องง่ายพอๆ กับปอกกล้วยเข้าปากสำหรับหลงเซี่ยว ในการจัดการกับแก๊งท้องถิ่น”
ถังซีมองหน้าฉู่หลิง “จริงๆ แล้วคุณรู้จักเฉียวเหลียงดีกว่าฉันเสียอีก”
ฉู่หลิงเลิกคิ้ว “รู้จักศัตรูให้เท่ากับรู้จักตัวเอง แล้วคุณจะไม่มีวันพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ศัตรูของผม เขาเป็นคนดี แม้บางครั้งเขาจะน่ารำคาญจริงๆ ก็ตาม แล้วอีกอย่าง ผมไม่ฆ่าแฟนคุณหรอก เพราะคุณช่วยชีวิตผมไว้”
สีหน้าถังซีเข้มขึ้น เธอมองฉู่หลิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ฉันไม่คิดว่าเป็นเพราะฉันหรอก คุณแค่ไม่กล้าฆ่าเขา” เมื่อจบคำพูดเธอก็โยนของในมือลงบนโต๊ะ กล่าวว่า “ฉันจะทิ้งไว้ให้คุณทำต่อ ฉันจำได้ว่าผลงานก่อนหน้านี้ของคุณหลายชิ้นมีงานปักที่สวยงาม ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้แล้ว”
“เฮ้ คุณจะไปไหน” ฉู่หลิงมองตามหลังถังซี ถามด้วยรอยยิ้มจางๆ “คุณจะไปโพรวองซ์เหรอ มาร์แซย์กว้างใหญ่เกินไป คุณจะทำอะไรได้ถ้าไปถึงที่นั่นแล้ว ตอนนี้กำลังเกิดการจลาจล ถึงคุณจะไปที่นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
ถังซีหันกลับมาจ้องหน้าฉู่หลิง พลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร บ่ายนี้เราไปดูสถานที่จัดแฟชั่นโชว์กัน” เธอหยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป “ถึงยังไงคุณก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
ฉู่หลิงมองถังซีอย่างไม่ถือสา และยิ้ม “ได้เลย”
ถังซีหันหลังเดินออกไป หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฉียวเหลียงด้วยขณะเดินไป ฉู่หลิงมองตามร่างที่กำลังห่างออกไปและส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ใครมาเห็นก็บอกได้เลยว่าคุณเป็นห่วงเขา ทำไมยังแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาอีกล่ะ ผู้หญิงอะไรน่ารักจัง”
เฉียวเหลียงไม่รับสาย หัวใจถังซีเต้นเร็วขึ้น เธอวางสายและโทรอีกครั้ง แต่เฉียวเหลียงก็ยังไม่รับสาย ถังซีเริ่มกระวนกระวายใจ มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า เขากำลังเจอปัญหายุ่งยากใช่ไหม หรือว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับพวกนอกกฎหมาย