จิ้นหันไม่เข้าใจว่าเหตุใดลู่หลีจึงบอกว่าเขารู้จักลู่หลีเป็นอย่างดี แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็นิ่วหน้า หรี่ตาลงมองลู่หลี “คุณหมายความว่ายังไง คุณลู่ ทำไมคุณถึงมาพูดเรื่องพวกนี้กับผม”
ลู่หลีสั่นศีรษะ สีหน้ายังคงไม่แสดงความรู้สึก “ไม่มีอะไร ผมแค่อยากคุยกับใครสักคน และเผอิญว่าผมมีความสนใจเรื่องสมาชิกตระกูลจิ้น”
จิ้นหันขมวดคิ้ว มองหน้าเขาด้วยสายตาหวาดระแวง “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีเรื่องบาดหมางอะไรกับตระกูลจิ้น แต่ผมชื่อจิ้นหัน ผมไม่ใช่จิ้นชัว และ…” จิ้นหันมองไปทางหลี่มั่นเหยียนซึ่งกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นห่วง และกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า “คุณลู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเหยียนเหยียน ผมปกป้องดูแลเธอได้ คุณคอยเป็นห่วงคนรักของคุณเองจะดีกว่า”
ลู่หลีเลิกคิ้ว “ยังปากคมเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ”
จิ้นหันหรี่ตาลง เหลือบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองลู่หลี “ดูเหมือนคุณจะรู้จักผมดี ผมเคยรู้จักคุณเหรอ”
“ฮ่าๆ คุณคิดมากไปแล้ว ผมไม่อยากรู้จักคนตระกูลจิ้นเลยแม้แต่คนเดียว” ลู่หลีกล่าวจบก็หันหลังเตรียมเดินจากไป เขาไม่อยากคุยต่อแล้ว จิ้นหันมองเขานิ่ง และทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปขวางไม่ให้เขาเดินจากไป “คุณ ‘ไม่อยากรู้จัก’ ไม่ได้หมายความว่า ‘คุณไม่รู้จัก’ คุณเป็นใครกันแน่”
น้ำเสียงเขาเยียบเย็น
ลู่หลีเหลียวกลับไปมองเขา ยิ้มมุมปาก “ผมไม่อยากพูดซ้ำ”
จิ้นหันลดมือลง เลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อคุณสนใจเรื่องตระกูลจิ้นมาก และรู้เรื่องตระกูลจิ้นเป็นอย่างดี บางทีคนตระกูลจิ้นก็อาจจะรู้ว่าคุณเป็นใคร”
ลู่หลียิ้ม “คุณไปถามพวกเขาได้เลย”
เขาผลักประตูเปิด แล้วเดินเข้าไปในห้อง มีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนริมฝีปาก ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมเขาจึงรู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ เขาคือจิ้นชัวนั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ…
เหวินนิ่งเดินเข้ามาหาเขา ลู่หลีจึงกลับออกมาจากห้วงความคิดของตนเอง อย่างไรก็ตามเขาไม่น่าต้องเป็นห่วงกังวลกับจิ้นหันจนเกินไป จิ้นหันคงดูแลตัวเองได้…
แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย สำหรับคนที่มีมันสมองแสนฉลาดอย่างนั้น
เหวินนิ่งจับมือลู่หลีมากุมไว้ หันไปมองจิ้นหันซึ่งเดินไปนั่งลงข้างหลี่มั่นเหยียน เธอถามขึ้นว่า “พวกคุณสองคนคุยอะไรกัน”
ลู่หลีดูมีท่าทีคุกคามเด็กหนุ่มคนนั้น และฝ่ายหลังดูจะโกรธอยู่
ลู่หลียิ้มให้เธอ จูงเธอไปนั่งที่โซฟา “ไม่มีอะไร เราแค่คุยสัพเพเหระ ผมจำเขาผิดคิดว่าเป็นคนอื่น”
เหวินนิ่งไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่ก็ไม่ซักถามอีก เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะถามอีกสักกี่ครั้ง ก็จะได้รับคำตอบแบบเดิม หากเขาไม่ต้องการให้เธอรู้ความจริง
เฉียวเหลียงก็รู้สึกว่าลู่หลีมีท่าทีไม่ปกติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาซักถามกัน
ถังซีกับเฉียวเหลียงกำลังร้องเพลงคู่ ‘สิ่งที่สุดแสนโรแมนติก’ เฮ่อหว่านโจวและหนิงเหยี่ยนอุทานพร้อมกันว่า “โอ ให้ตายเถอะ! สองคนนั้นเล่นบทคู่รักหวานแหววอีกแล้ว! ให้พวกเราได้พักกันบ้างเถอะ!” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง เธอรู้สึกแปลกใจที่เฉียวเหลียงยอมตามใจเธอขนาดนี้ เขาถึงกับยอมร้องเพลงคู่กับเธอต่อหน้าผู้คนมากมาย
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ถังซี เฉียวเหลียง เซียวจิ่ง เฮ่อหว่านโจว และคนอื่นๆ ขึ้นเครื่องบินเที่ยวเช้าที่สุดออกจากปารีส ลู่หลีกับเหวินนิ่งบินไปสหรัฐอเมริกา ส่วนทางด้านเฮ่อหว่านอีกับฉู่หลิง…
ที่ประตูทางเข้าโรงแรม เฮ่อหว่านอีในชุดกระโปรงยาวสีเขียว สวมรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับกระโปรง สวมหมวกสีขาว และแว่นตากันแดด ยืนเด่นเป็นสง่า ขณะที่คนเดินผ่านไปมาต่างมองเธอจนเหลียวหลัง
แม้เธอจะแพ้พนัน แต่ก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีไว้ให้ดีที่สุด
เธอจึงต้องเป็นสาวที่สวยที่สุดท่ามกลางฝูงชน!
ฉู่หลิงเกือบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเฮ่อหว่านอีแต่งตัวจัดเต็ม ยืนอยู่ที่ประตูหน้าโรงแรม
ฉู่หลิงมีอะพาร์ตเมนต์อยู่ในปารีส อยู่ไม่ห่างจากสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ คราวนี้เขาจึงไปพักที่อะพาร์ตเมนต์ แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะนอนค้างที่โรงแรม แต่ก็ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อะพาร์ตเมนต์ตั้งแต่เช้าตรู่…
ฉู่หลิงก้มลงมองเครื่องแต่งกายลำลองของตนเอง แล้วส่ายศีรษะยิ้มๆ เขาลงมายืนพิงอยู่ข้างรถ พลางมองไปที่เฮ่อหว่านอี เมื่อเฮ่อหว่านอีเห็นว่าฉู่หลิงไม่ได้แต่งตัวมาเต็มที่เท่าเธอ เธอก็เลิกคิ้วใส่อย่างมีชัยเหนือกว่า ดูเหมือนยกแรกเธอจะเป็นฝ่ายชนะ!
อย่างน้อยเธอก็แต่งตัวสวยกว่าฉู่หลิง
เธอต้องทำเป็นไม่ใส่ใจกับความจริงที่ว่า แม้จะแต่งกายแบบลำลอง แต่ฉู่หลิงก็ยังหล่อมาก
ฉู่หลิงมองเฮ่อหว่านอีแล้วยิ้มมุมปาก เขาเปิดประตูรถให้เธอ และกล่าวขึ้นว่า “คุณเฮ่อ ไปกันเลยไหมครับ”
เฮ่อหว่านอีเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง แล้วจึงค่อยนั่งลงบนเบาะที่นั่งข้างคนขับด้วยท่วงท่าสง่างาม
ฉู่หลิงยิ้ม ก้าวขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ เฮ่อหว่านอีถอดหมวกและแว่นกันแดดออก โยนไปไว้ที่เบาะหลัง ถามเขาว่า “เราจะไปไหนกัน”
“เนื่องจากคุณเป็นฝ่ายแพ้พนัน คุณต้องทำทุกอย่างตามที่ผมจัดไว้ ตกลงไหม” ฉู่หลิงยิ้ม ขณะขับรถออกไปจากบริเวณโรงแรม
เฮ่อหว่านอีไม่โต้เถียง ก็เธอแพ้พนันจริง และในเมื่อเธอได้รับปากแล้วว่าจะไปออกเดตกับผู้ชายคนนี้หนึ่งวัน ก็ต้องตามๆ เขาไป
แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อฉู่หลิงพาเธอไปที่ห้างสรรพสินค้า เฮ่อหว่านอีชำเลืองมองฉู่หลิง ถามเขาว่า “คุณอยากดูหนังงั้นเหรอ”
ฉู่หลิงยิ้ม จับมือเธอจูงเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า กล่าวว่า “คุณแต่งตัวเยอะไปหน่อย เราไปเปลี่ยนชุดกันก่อน ชุดผมก็ไม่เหมาะกับกิจกรรมที่เราจะไปทำในวันนี้เหมือนกัน”
เฮ่อหว่านอีขมวดคิ้ว อยากถามว่าทำไม แต่ก็ระงับความอยากรู้ไว้ ไม่ยอมถาม… จากนั้นฉู่หลิงก็พาเธอไปที่ร้านขายชุดกีฬา
เฮ่อหว่านอีมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ ฉู่หลิงยิ้มให้ แล้วหันไปบอกพนักงานขายว่า “ช่วยหาชุดกีฬาที่เหมาะกับคุณสุภาพสตรีท่านนี้ให้ด้วยครับ” แล้วก็ปล่อยมือเธอ เดินตรงไปที่แผนกชุดกีฬาชาย
อีกครู่ต่อมา เฮ่อหว่านอีก็เลือกได้เสื้อผ้าชุดกีฬาที่พอใจ และฉู่หลิงเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดกีฬาและรองเท้าผ้าใบ เฮ่อหว่านอีถึงกับนิ่งตะลึงเมื่อมองไปเห็นชายหนุ่มผู้เฉิดฉายราวกับแสงตะวัน ที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ เมื่ออาการเธอกลับมาเป็นปกติ ฉู่หลิงก็เดินเข้ามาถึงตัวแล้ว พร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่ง