ทำไมจู่ๆ…เณรน้อยผู้นี้กลับลงมือเสียจริงๆ?
สองฝั่งข้างทางระยะไกลใกล้ล้วนส่งเสียงตื่นตะลึงเป็นแถบ
โดยเฉพาะคนท้องที่บางคน นึกไม่ถึงเลยว่าเณรน้อยที่ดูแล้วทึ่มทื่อเหมือนท่อนไม้คิดจะลงมือก็ลงมือ ฝ่ามือเดียวตบหม่าซานกระเด็นลอยไป
ฝ่ามือนี้ทำให้ประชาชนในตำบลที่เคยได้รับภัยจากพวกหม่าซานสาแก่ใจ และคลายความแค้นจากใจจริง
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มกังวลแทนเณรน้อยอยู่ลึกๆ
พวกหม่าซานอันธพาลกลุ่มนี้หน้าหนาหน้าทน ไล่ไปได้ง่ายๆ เสียที่ไหน
“มารดามันเถอะ เจ้า…เจ้าโล้นเวร เจ้ากล้าลงมือตบข้า เจ้า…” หม่าซานหมอบอยู่บนพื้น อึ้งไปครู่หนึ่ง เหมือนยังไม่กล้าเชื่อว่าเณรน้อยจะตบตนเองจริงๆ จนกระทั่งฟันแผ่ความรู้สึกปวดมา เขาถึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าตายแน่ เจ้าโล้นเวร เจ้าตายแน่…” หม่าซานแค้นเคือง ลุกขึ้นมาแยกเขี้ยวยิงฟัน บนใบหน้ามีรอยฝ่ามือชัดเจน มุมปากมีรอยเลือดไหล โมโหเหมือนสุนัขตัวผู้อย่างไรอย่างนั้น
“อามิตตาพุทธ ประสก อย่าได้วู่วามไป วู่วามคือปีศาจ โปรดฟังอาตมาอธิบายก่อน อาตมาคือนักบวชใจเมตตากรุณา ช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ในเมื่อเจ้าร้องขอถึงเพียงนี้ อาตมาย่อมตอบสนองความต้องการของเจ้า ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ว่า พวกเรานักบวชเดินทางอยู่ข้างนอกจะต้องมีใจถือเอาการช่วยเหลือเป็นความสุข ทำบุญทำทาน…ดังนั้น ในเมื่อเจ้าให้อาตมาตีเจ้า ทั้งยังพูดเสียหลายรอบขนาดนั้น เช่นนั้นอาตมาก็ทำได้แค่ตอบสนองเจ้า” หลี่มู่หน้าตาจริงจัง
เขาท่าทางของเขานบนอบ อธิบายอย่างน้อยอกน้อยใจ “อีกอย่าง สุดท้ายอาตมายังยืนยันอีกรอบว่าเจ้าจริงจังหรือไม่ เจ้าก็บอกว่าใช่นี่”
“เจ้า…ข้า…” หม่าซานราวคนใบ้กินหวงเหลียน ขมขื่นแต่พูดไม่ออก โมโหจนบาดเจ็บภายใน
หลี่มู่กลับทำท่าทางเหมือนสับสนเป็นอย่างยิ่ง มองไปยังคนทั้งหลายรอบๆ ก่อนพูดขึ้นอย่างทึ่มๆ ว่า “พูดตามตรง อาตมาพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ เคยเห็นเรื่องต่างๆ คนประเภทต่างๆ มา แต่คำร้องขอแปลกประหลาดเช่นประสก อาตมาเจอเป็นครั้งแรก”
“พรืด…” สตรีชุดขาวอดไม่ได้ ส่งเสียงหัวเราะออกมา
ภายใต้ผ้าโปร่งบางสีขาว ดอกไม้แย้มบาน
บนถนนรอบๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครืนเช่นกัน
คนที่มุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นพวกนั้น ตอนนี้ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แม้แต่อันธพาลพวกนั้น สีหน้าก็ประหลาดพิกล พยายามอดกลั้นจนเกือบจะหัวเราะออกมา
เณรน้อยผู้นี้ช่างแปลกคนเสียจริง
“บัดซบ…” หม่าซานกุมใบหน้า สีหน้าโหดเหี้ยม ถ่มเลือดออกมาแล้วเอ่ย “ไอ้หัวล้านเวรตะไล ดี เจ้าแน่นัก หึๆ คนที่ลงมือกับข้าอย่าหวังว่าจะมีชีวิตออกไปจากตำบลสุขสงบ ตบหน้าด้านซ้ายของข้าใช่ไหม? ดี คราวนี้ข้ายื่นแก้มขวามาเหมือนกัน เจ้าแน่จริงลองตบข้างนี้อีกสักทีสิ…ฮ่าๆๆ มาสิ ตบสิ ตบสิ!”
นี่เป็นความคิดของอันธพาลโดยแท้
หนิวเอ้อร์ในเรื่องซ้องกั๋งก็ใช้วิธียั่วโมโหเช่นนี้ บีบให้อสูรหน้านิลหยางจื้อผู้อดทนอดกลั้นคลุ้มคลั่งใช้ความรุนแรง
“อ้อ” หลี่มู่พยักหน้า
จากนั้นยกมือขึ้น ฟาดไปอีกฝ่ามือหนึ่ง
เพียะ!
หม่าซานลอยออกไปอีกครั้ง
หน้าอีกซีกหนึ่งของเขาปรากฏรอยฝ่ามือเช่นกัน เห็นรอยนิ้วทั้งห้าชัดเจน
“เจ้า…กล้าลงมือจริงๆ งั้นรึ? เจ้า…” หม่าซานลุกขึ้นมา มือกุมหน้าเอาไว้ ทั้งโกรธทั้งตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าวิธีตามตื๊อยั่วโมโหไม่ยอมเลิกราที่ปกติได้ผลทุกครั้ง วันนี้กลับมีคนทำลายไปเสียอย่างนี้แล้ว
พระรูปนี้คงไม่ใช่คนสติเลอะเลือนหรอกกระมัง?
“อามิตตาพุทธ ประสก ตัวอาตมาทำบุญทำทาน ยินดีที่จะช่วยผู้คน มอบกุหลาบให้ผู้อื่นเป็นของขวัญ กลิ่นหอมนั้นย่อมติดมือ…” หลี่มู่ประนมมือแล้วพูดขึ้น “ประสกเจ้าบาปหนานัก อาตมาอยากจะเปลี่ยนแปลงเจ้า ดังนั้นจึงได้แต่ตกลงคำขอของเจ้า แต่ว่าคำขอของเจ้าก็ช่างแปลกเสียจริง อาตมาพบเจอน้อยนัก หรือว่าเจ้าชอบโดนทุบตี เจ้ามีแนวโน้มชอบความรุนแรงนี่ ตอนเด็กๆ ขาดความรักจากบิดามารดาใช่หรือไม่ ถึงได้ทำให้จิตใจบิดเบี้ยว…”
“หุบปาก” หม่าซานโมโหจนแทบบ้าแล้ว
เจ้าโล้นเวรนี่ไยจึงพูดมากอย่างกับแมลงวันเช่นนี้
เขาสูดลมหายใจเข้าปาก แก้มกระตุกเจ็บแปลบ จากนั้นสำแดงกระบวนสุดท้ายใน ‘ยอดวิชาอันธพาล’ พร้อมพูดอย่างโมโห “งั้นรึ? ดี หากเจ้ามีปัญญา วันนี้ก็ฆ่าข้าให้ตายสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายแน่…ฮ่าๆ ไอ้โล้นเวร เจ้าไม่ใช่ว่ายินดีช่วยผู้อื่นหรอกรึ? ได้ ข้าให้เจ้าฆ่าข้าให้ตาย เจ้ากล้าไหมเล่า? เจ้าพระหัวโล้นคนหนึ่ง รากทั้งหก[1]สกปรก คิดจะเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามหรืออย่างไร? เหอะๆ คิดจะช่วยแม่นางชุดขาว เช่นนั้นก็เตรียมใจว่าต้องมีคนตายเอาไว้ให้ดี”
หลี่มู่ถอนหายใจ “อามิตตาพุทธ อาตมาไม่ตกนรก ผู้ใดเล่าจะตกนรก ประสก นักบวชไม่พูดโกหกเหลวไหล คำพูดของเจ้าเมื่อครู่จริงจังหรือไม่?”
“ข้าจริง…” หม่าซานเกือบหลุดปากออกไปแล้วว่าข้าจริงจังแน่นอน
แต่เขาพลันเห็นท่าทางจริงจังโง่เง่าของเณรน้อย ในใจเลยไหวตัวทัน นึกถึงตอนก่อนหน้า อีกฝ่ายก็ถามตนเช่นนี้ จากนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ตบลงมาอย่างไม่ลังเล หม่าซานพลันรู้สึกว่าบางทีเณรน้อยรูปนี้อาจจะเป็นคนสติไม่ดีจริงๆ หากพูดยืนยันไป คงกล้าลงมือฆ่าคนจริงแน่
เขายิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของตนนั้นถูกต้อง
ชายอันธพาลข่มเพลิงโทสะในใจ คิดให้ละเอียด เณรน้อยผู้นี้เป็นคนปัญญาทึบ ศึกษาพระธรรมอยู่ที่วัดจนกลายเป็นคนโง่แล้ว คนเช่นนี้จะทำเรื่องอะไรก็ได้
ไม่ว่าเรื่องอะไร แค่เปลี่ยนความคิดก็น่ากลัว
ก่อนหน้านี้ หม่าซานคิดตามความเคยชินว่าเณรน้อยเป็นนักบวชจะต้องมีเรื่องพะวง แต่ตอนนี้คิดย้อนกลับมา นักบวชหลายคนล้วนเป็นคนบ้าไม่รู้จักปรับเปลี่ยนความคิด เรื่องที่น่าตกใจมากมายล้วนเป็นนักบวชทำทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นเฉือนเนื้อให้เหยี่ยวกินอะไรพวกนี้ และเณรบ้ารูปนี้ก็ดูเป็นพวกกล้าทำทุกเรื่องเสียด้วย
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายชั่วอึดใจ หม่าซานตาขาวเสียแล้ว
ดูผิวเผินเขาไม่กลัวตาย กำเริบเสิบสาน ไม่สนใจชีวิต แต่แท้จริงแล้วคนที่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ลึกๆ ในใจยิ่งกลัวตาย กลัวอย่างมากด้วย
มีคำกล่าวไว้ว่า คนไร้เหตุผลกลัวคนกำเริบเสิบสาน คนกำเริบเสิบสานกลัวคนบุ่มบ่าม คนบุ่มบ่ามกลัวคนไม่กลัวตาย
หม่าซานรู้สึกว่าอย่างมากตนก็เป็นแค่คนกำเริบเสิบสาน ส่วนเณรน้อยโง่ทึ่มปัญญาทึบที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเบื้องหน้าคนนี้เป็นพวกไม่กลัวตายชัดๆ
“เจ้าโล้น วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดี ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ” หม่าซานกัดฟัน ในดวงตาฉายประกายเหี้ยมโหด “เจ้าอยากช่วยให้ข้าหลุดพ้นไม่ใช่หรอกรึ? ดี บอกฉายาทางธรรมของเจ้ามา เดี๋ยวข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้า”
อันธพาลทั้งหลายคนอื่นๆ เห็นท่าทางแบบนี้ก็รู้ว่าลูกพี่ตาขาวเสียแล้ว
พวกเขารู้สึกว่าเณรน้อยผู้นี้ค่อนข้างประหลาด ทางที่ดีอย่าฝืนปะทะ หาโอกาสวางแผนจัดการเป็นดีที่สุด เหมือนกับคนนอกพื้นที่จอมจุ้นจ้านที่พวกเขาเล่นงานจนตายเมื่อหลายวันก่อนคนนั้น
พวกอันธพาลไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างจอมยุทธ์มาแต่กำเนิด ดังนั้นต่อให้ยอมแพ้ก็ไม่รู้สึกว่าน่าอับอายแม้แต่น้อย พวกเขาเหมือนกับพยาธิที่ว่ายไปมาอยู่ในพื้นที่สีเทา รังแกผู้อ่อนแอกว่า กลัวผู้แข็งแกร่งกว่า เมื่อถึงเวลาถอยก็ถอยเร็วกว่าใครเพื่อน
“ใช่แล้ว เจ้าโล้นเวรตะไล บอกฉายาทางธรรมของเจ้ามา”
“ทำไม? ไม่กล้ารึ?”
พวกอันธพาลพยุงหม่าซาน รักษาระยะห่างกับหลี่มู่ เหมือนกับฝูงหมาขี้แพ้ที่เที่ยวเห่าขู่
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ โดยเฉพาะคนในพื้นที่กลับแอบอธิษฐานอยู่ในใจ เณรน้อยเอ๋ย อย่าได้บอกเชียว อย่าได้เอ่ยปากเชียว รีบหนีไปจากตำบลสุขสงบให้เร็วเถิด มีชีวิตอยู่สำคัญที่สุดนะ
ท่านยายไช่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งร้อนรนจนเหงื่อไหลท่วม ส่งสัญญาณให้หลี่มู่สุดกำลัง ไม่ให้เขาพูดออกมาเด็ดขาด เด็กหญิงตัวน้อยก็ดึงแขนเสื้อของเขาเงียบๆ ส่ายหน้าหลายที
หัวหน้าอันธพาลหม่าซานเห็นท่าทางของย่าหลานคู่นี้ก็แอบจดจำเอาไว้ในใจ
ในใจของเขากำลังวางแผนอย่างเหี้ยมโหด วันหน้าหาโอกาสได้ จะต้องตียายเฒ่าไช่ตายยากนี่ให้ตายเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู คนอื่นๆ ในตำบลสุขสงบจะได้รู้ถึงความร้ายกาจของเขา ส่วนแม่เด็กนั่นจะจับล้างให้สะอาดแล้วขายส่งซ่องไปเสีย
สตรีชุดขาวสองมือกอดอก ท่าทางลอยตัวเหนือปัญหา รอคำตอบของหลี่มู่อย่างสนใจ
หลี่มู่ประนมมืออย่างซื่อๆ “อามิตตาพุทธ ประสกยอมถอยก้าวหนึ่งเช่นนั้นก็ดีเป็นอย่างยิ่ง พุทธองค์ทรงเมตตา…”
หม่าซานแค่ได้ยินเณรน้อยโง่ทึ่มพูดพร่ำไม่จบไม่สิ้น ก็รู้สึกปวดหัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จึงเอ่ยตัดบททันที “อย่าได้พูดให้มากความ เจ้าบอกมาเสีย ฉายาทางธรรมคืออะไร”
อย่าบอก อย่าบอก อย่าได้บอกเชียวนะ
สองย่าหลานและชาวบ้านรอบๆ ที่จิตใจดีงามล้วนอธิษฐานในใจ เณรน้อยเจ้าอย่าได้บอกเชียว
พูดออกมา พูดออกมา แน่จริงเจ้าก็พูดออกมา
พวกอันธพาลกัดฟันกรอดพลางรอให้พระรูปนี้บอกชื่อเสียงเรียงนามมา
ท่ามกลางการจับจ้องของสายตานับไม่ถ้วน หลี่มู่ประนมสองมือ พูดซื่อๆ ว่า “อามิตตาพุทธ ฉายาทางธรรมของอาตมาคือบ้าบอ”
หา?
อะไร อะไรนะ?
ฉายาทางธรรม….บ้าบอ?
หม่าซานนิ่งอึ้ง
พวกอันธพาลนิ่งอึ้ง
ยายไช่ย่าหลานนิ่งอึ้ง
สตรีชุดขาวตะลึงงัน
แม้แต่คนอยากรู้อยากเห็นรอบๆ บางคนก็อึ้งกันไปทั้งหมดเช่นกัน
บ้าบอ?
นี่มันฉายาทางธรรมบ้าอะไร?
มีพระที่ไหนตั้งฉายาทางธรรมเช่นนี้กัน
ดวงตาของหม่าซานแดงก่ำ “เจ้าพระโล้น เจ้ากล้าตั้งฉายาทางธรรมมั่วๆ หลอกข้างั้นรึ?”
หลี่มู่โบกปฏิเสธ พูดอธิบายด้วยใบหน้าสัตย์ซื่อจริงใจ “อามิตตาพุทธ นักบวชไม่โหกเพ้อเจ้อ ฉายาทางธรรมของอาตมาคือบ้าบอจริงๆ เพราะก่อนที่จะออกพเนจร อาตมาชอบทำตัวบ้าๆ บอๆ ในวัด ท่านอาจารย์จึงไล่ออกมาให้พเนจรข้างนอก ก่อนออกเดินทางได้มอบฉายาทางธรรมว่าบ้าบอให้”
บ้าบอจริงๆ?
หม่าซานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
คนรอบๆ ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเช่นกัน
แต่ว่านักบวชน่าจะไม่พูดปดเหลวไหลกระมัง
“ได้ เช่นนั้นเจ้ากล้าบอกหรือไม่ เจ้ามาจากวัดใด?” หม่าซานถามขึ้นอีก
หลี่มู่เอ่ยตอบ “อามิตตาพุทธ อาตมามาจากวัดต้าหลุนแห่งภูเขาหิมะ อาจาย์ของอาตมาคือเจ้าอาวาสแห่งต้าหลุนจิวหมอจื้อที่ผู้คนขนานนามว่า ‘วิทยราชาแห่งต้าหลุน’ ”
หม่าซานฟังแล้วยิ่งงง
วัดต้าหลุนแห่งภูเขาหิมะ
อยู่ที่ไหน?
จิวหมอจื้อวิทยราชาแห่งต้าหลุน?
นั่นคือใครกัน?
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“ได้ เจ้าโล้นเวร ข้าจำเจ้าเอาไว้แล้ว” หม่าซานอาฆาต “ข้าจะต้องกลับมาอีกแน่”
หลี่มู่ได้ยินประโยคนี้ก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา และทำลายภาพลักษณ์ของเณรโง่งมที่ตนสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ยังดีที่อดกลั้นเอาไว้ได้ ในใจกลับกำลังบ่นออดแอด ‘เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นฮุยไท่หลาง[2]หรืออย่างไร บทพูดที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้หลุดออกมาจากปากอันธพาลที่เหมือนกับหนอนชั้นต่ำอย่างเจ้า มันทำลายภาพลักษณ์ราชาปีศาจนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้รักและตามใจภรรยาของท่านฮุยไท่หลางจริงๆ เลยนะเว้ยเฮ้ย’
สุดท้ายพวกอันธพาลจากไป
คนที่มุงดูก็สลายตัวไปเช่นกัน
“ไต้ซือบ้าบอ ท่านก่อเรื่องใหญ่แล้ว รีบไปจากตำบลสุขสงบเสียเถอะ” แม่เฒ่าไช่รีบดึงมือของหลี่มู่แล้วพูดขึ้น “พวกหม่าซานไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แน่นอน”
“ฉายาทางธรรมของเจ้าคือบ้าบอจริงๆ?” สตรีชุดขาวจ้องหลี่มู่เขม็ง จากนั้นก็ถามขึ้น
หลี่มู่เกาหัวอย่างเขินอาย “ที่จริงอาตมามีฉายาทางธรรมสองชื่อ ฉายาที่อาตมาบอกพวกเขาไปเมื่อครู่เป็นฉายาใหม่ ก่อนที่จะออกมาจากวัดต้าหลุนแห่งภูเขาหิมะ อาจารย์ไม่ได้มอบฉายาทางธรรมบ้าบอให้กับอาตมา ฉายาทางธรรมของอาตมาแต่ก่อนไม่ใช่ชื่อนี้…สีกาเจ้าอยากรู้หรือไม่? หากเจ้าอยากรู้อาตมาบอกเจ้าก็ได้…”
“พูดมา” คิ้วภายใต้ผ้าโปร่งบางของสตรีชุดขาวกระตุกเล็กน้อย
เณรน้อยผู้นี้นอกจากปัญญาทึบแล้วยังพูดมากอีกต่างหาก
หลี่มู่โค้งเคารพอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ฉายาทางธรรมของอาตมาก่อนหน้านี้คือ วาจาเหลวไหล”
……………………………………
[1] รากทั้งหก คือรากแห่งกิเลสทั้งหก อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
[2] ฮุยไท่หลาง เป็นตัวละครในการ์ตูนแอนนิเมชันชื่อดังของจีนเรื่องสี่หยางหยางอวี่ฮุยไท่หลาง (แพะน้อยใจดีกับหมาป่าใจร้าย) เล่าเรื่องการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบระหว่างแกะน้อยสี่หยางหยางและผองเพื่อนกับหมาป่าตัวร้ายฮุยไท่หลาง