ผู้ดูแลตำบลสุขสงบซ่งอี้ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับหม่าซาน เขาไม่รู้เรื่องการมีอยู่ของห้องลับ และยิ่งไม่รู้ว่าให้ห้องลับมีของพวกนั้นอยู่
ผลลัพธ์นี้ทำให้หลี่มู่ค่อนข้างผิดหวัง
แต่ว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าซ่งอี้จงใจปิดบังอะไร
เพราะระหว่างขั้นตอนการสอบถาม หลี่มู่ใช้วิธีบางอย่างทำให้รู้ว่าซ่งอี้ไม่ได้โกหก
เช่นนั้นตอนนี้ดูจากภายนอก ลำดับขั้นตอนบางอย่างก็ชัดเจนแล้ว…หม่าซานฝืนใจประจบซ่งอี้ ส่งของล้ำค่า ทรัพยากร และหญิงงามไปให้ ทำตัวเหมือนกับสุนัขรับใช้ แต่แท้จริงแล้วกลับอาศัยอำนาจของซ่งอี้แอบทำเรื่องที่ซ่งอี้ไม่รู้
ซ่งอี้และหม่าซานไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน
นี่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
หลี่มู่เคยเห็นพวกหม่าซาน อันธพาลคนนี้มีเอกลักษณ์ทั้งหมดของพวกนักเลงอันธพาล รวมถึงความกำเริบเสิบสานและบุ่มบ่าม ไม่เหมือนคนที่มีความคิดลึกซึ้งละเอียดรอบคอบ แต่กลับปกปิดซ่งอี้ทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ ตกลงแล้วหม่าซานแสดงละคร หรือว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังมีผู้คอยบงการบัญชาทุกสิ่งอยู่?
หลี่มู่ค่อนข้างเอียงไปทางความเป็นไปได้อันหลัง
เช่นนั้นผู้บงการอยู่เบื้องหลังพวกนักโทษประหารหม่าซานคืนนี้อยู่แห่งหนใด?
ตายอยู่ในการต่อสู้อันวุ่นวาย?
หรือว่าหนีไปแล้ว?
ระหว่างหลี่มู่คิดอยู่ในใจ จู่ๆ ก็หยุดลง
“เจ้ากลับไปรอข้าที่โรงเตี๊ยมก่อน”
เขาพูดกับเจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่ในเกี้ยว
พูดจบร่างก็กะพริบวูบ กระโจนขึ้นไปราวกับเหยี่ยวตัวยักษ์ ใช้วิชาตัวเบาจนถึงขีดสุด ก่อนหายไปในท้องฟ้ายามราตรี
……
ฟ้าสว่าง
ตำบลสุขสงบต้อนรับอาทิตย์วันใหม่ทั้งสองลอยขึ้นมาช้าๆ
ความเคลื่อนไหวในคฤหาสน์ของพวกหม่าซานเมื่อวานดึงดูดความสนใจจากพวกชาวบ้านบางคน หลายคนไม่อาจข่มตาหลับได้ รอจนรุ่งสาง ชาวบ้านบางคนที่ใจกล้าก็ไปล้อมดูด้านนอกคฤหาสน์อยู่ไกลๆ เห็นมือปราบของทางการเข้าออกคฤหาสน์ กลิ่นคาวเลือดจางๆ ยังตลบคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่กลับไม่เห็นอันธพาลกำเริบเสิบสานพวกนั้นแม้เงา
ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งตำบลสุขสงบอย่างรวดเร็วราวพายุ
มีคนกำจัดพวกหม่าซานจนสิ้นซากแล้ว
ในตอนแรกยังมีคนไม่เชื่อ
แต่เมื่อทางการของตำบลมาติดประกาศ ข่าวก็ได้รับการยืนยันโดยสมบูรณ์
อีกทั้งในประกาศของทางการ สำนวนภาษาเฉียบขาด ยกตัวอย่างความผิดสามสิบกว่าข้อของพวกหม่าซานออกมา มีนัยว่าอันธพาลพวกนี้แม้ตายก็ยังไม่สาสม จะไม่สืบสาวเรื่องอื่นๆ ต่อไป หนำซ้ำใช้ถ้อยคำปลอบขวัญชาวบ้านได้อย่างหลักแหลม ใต้เท้าซ่งผู้ดูแลยิ่งออกมาบอกเป็นการพิเศษว่า จะไม่เสียดายกำลังทั้งหมดในการยกระดับการดูแลความสงบเรียบร้อยของตำบลสุขสงบ และจะลงโทษผู้หาเรื่องก่อความไม่สงบอย่างเข้มงวด
ทั่วทั้งตำบลสุขสงบฮือฮาไปทั่ว
หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกอันธพาลหม่าซานสร้างวิกฤตให้กับประชาชนในตำบลไม่ใช่น้อย มีทั้งที่บาดเจ็บ มีทั้งที่ตายอยู่กลางถนน มีทั้งที่บ้านแตกสาแหรกขาด พูดได้ว่าชาวบ้านเคียดแค้นกรุ่นโกรธ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด วันนี้ไม่นึกเลยว่าเคราะห์ภัยพวกนี้จะถูกกำจัดจนสิ้นซากไม่เหลือสักคนเดียวในชั่วข้ามคืน
สวรรค์ ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ประชาชนในตำบลดีใจได้ยิ่งกว่านี้อีกหรือ?
ไม่นานนัก ทุกแห่งหนในตำบลก็มีเสียงประทัดดังขึ้น
ทุกที่ล้วนมีเสียงโห่ร้องยินดี
และในกลุ่มคนที่โห่ร้องยินดี ก็มีไช่ไช่ย่าหลานทั้งสองด้วย
“ท่านย่า พี่ชายบ้าบอเขาช่าง…” ไช่ไช่น้อยยืนอยู่หน้าประกาศ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี นางพอจะรู้ ‘เบื้องหลัง’ อยู่บ้าง พี่ชายบ้าบอเคยพูดไว้จะไปจัดการพวกหม่าซาน เขาพูดจารักษาคำพูดดังคาดไว้ ไปจัดการแล้วจริงๆ
แม่เฒ่าไช่ก็ดีใจจนน้ำตานอง
ในที่สุดก็ไม่ต้องหลบหนีไปบ้านนอกแล้ว
“ท่านย่า ดีจริงๆ พวกเราไปขายบะหมี่ที่ถนนได้แล้ว คราวนี้ก็จะสามารถเก็บเงินได้เร็วๆ แล้วไปเมืองฉางอันรับท่านพ่อกลับมา” ไช่ไช่นับนิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างดีใจขึ้นว่า “พวกเราต้องเก็บอีกแค่สองร้อยสามสิบเอ็ดอีแปะเท่านั้น ก็พอเป็นค่าเดินทางแล้ว”
มือเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าไช่ลูบหัวของหลานสาวเบาๆ “ใช่แล้ว ไม่นานก็จะรับพ่อเจ้ากลับมาได้แล้ว”
ในดวงตาของไช่ไช่เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน “หลังจากรับท่านพ่อกลับมาแล้ว พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป”
“ดีๆๆ” แม่เฒ่าไช่เช็ดน้ำตา
ย่าหลานทั้งสองแบกหาบมาจนถึงหน้าร้านบะหมี่ที่ขายในอดีต ไช่ไช่น้อยกางโต๊ะอย่างชำนาญ จากนั้นก็หยิบชามตะเกียบออกมาจากตู้ข้างล่างกล่องบะหมี่ ในตอนนี้เอง นางพลันร้องอุทานอย่างตกใจ
“เป็นอะไรไปไช่ไช่?” แม่เฒ่าไช่หันมามอง
“ท่านย่า ท่านดูสิ นี่มัน…” นางชี้ไปยังตู้ไม้เล็ก ทองก้อนสุกปลั่งเปล่งประกายอยู่ระหว่างชามกับตะเกียบบนชั้นที่สอง เป็นเงินค่าบะหมี่ที่สตรีชุดขาวจ่ายเกินจำนวนมาเมื่อวาน
นี่มันไม่ถูกสิ เมื่อวานก็คืนทองให้กับสตรีชุดขาวไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?
สองย่าหลานยืนอึ้งอยู่กับที่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไช่ไช่น้อยขยี้ตา รีบปิดประตูไม้เล็กอย่างรวดเร็ว
“ท่านย่า พี่สาวเทพธิดาก็ไปแล้ว เงินนี่จะคืนให้นางอย่างไรกัน” นางถาม
ในใจของแม่เฒ่าไช่ก็ไม่มีความคิดใดเช่นกัน
“ท่านย่า ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าเงินนี่เป็นเงินที่พวกเรายืมพี่สาวเทพธิดามา พวกเราใช้เงินนี่ก่อน ไปรับท่านพ่อกลับมาจากเมืองฉางอันแล้วเราก็ค่อยๆ ขายบะหมี่ชดใช้เงินที่ใช้ไป รอเจอกับพี่สาวเทพธิดาเมื่อไหร่ ค่อยคืนเงินนางไปดีหรือไม่?” ไช่ไช่มองท่านย่าของตนตาปริบๆ
แม่เฒ่าไช่ลังเล
“ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน” ไช่ไช่อ้อนวอน
แม่เฒ่าไช่กัดฟัน พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง”
“ดีจริงๆ” ไช่ไช่กระโดดโลดเต้นร้องอย่างยินดี “จะไปรับท่านพ่อกลับบ้านแล้ว”
……
หลี่มู่กลับมาถึงโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เขาดักซุ่มอยู่ข้างนอกคฤหาสน์อยู่หนึ่งคืนเต็มก็ไม่พบร่องรอยใดๆ อีก ผู้บงการเบื้องหลังที่จะย้อนกลับมาโจมตีตามความคิดของเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ก็ได้ นี่มันกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย
หลี่มู่รู้ว่าเมื่อคืนวานตนคิดมากเกินไป
เรื่องนี้จบลงแล้ว ต้องไปจากตำบลสุขสงบเสียที
หลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนขี่ม้าดำออกจากตำบลสุขสงบมาท่ามกลางบรรยากาศเฉลิมฉลองยินดีของทั้งตำบล แล้วออกเดินทางกันต่อ
ช่วงเวลาสองวันต่อมา ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษเกิดขึ้น
หลี่มู่ไม่รีบไม่ร้อน เปิดหูเปิดตาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนบนโลกใบนี้
สรุปได้ว่า คนตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิฉินตะวันตกส่วนมากยังใสซื่อบริสุทธิ์ ตรงไปตรงมาและกล้าหาญ การดื่มกินส่วนมากเป็นอาหารจำพวกแป้งสาลี[1]และเนื้อเป็นหลัก โดยเฉพาะเนื้อแกะ ตามรายทางทุกที่ล้วนมีอาหารเลิศรส แต่เนื้อวัวกลับน้อยนัก เพราะวัวเป็นหนึ่งในเครื่องมือการผลิตที่สำคัญอย่างหนึ่ง กฎหมายของจักรวรรดิจึงห้ามไม่ให้ฆ่าวัวกินเนื้อ
แต่ว่า ความสงบเรียบร้อยตลอดทางมานั้นไม่ดีเลย
ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก หลี่มู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความล้มเหลวเสื่อมโทรม
โดยเฉพาะการปกครองของขุนนางท้องถิ่นตลอดทางที่ผ่านมา หละหลวมแต่ก็ทั้งเข้มงวดและโหดร้าย บรรยากาศเจ้าขุนมูลนายเคร่งครัด แต่ประสิทธิภาพต่ำ เมืองอำเภอเล็กๆ บางแห่งยิ่งเป็นด่านบนถนนทางหลวง พูดอย่างสวยหรูว่าเพื่อปกป้องความสงบ แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อขูดรีดค่าผ่านด่าน ขบวนสินค้าที่ผ่านไปมาลำบากแสนสาหัส
‘ฉินตะวันตกเหมือนจะมาถึงยุคปลายแล้วละมั้ง ไม่งั้นก็คงไม่เกิดปัญหาภายใน ภาพเหมือนราชวงศ์ยุคปลาย’
หลี่มู่ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แน่นอน การวิเคราะห์ของเขาเป็นแค่สิ่งที่ได้มาจากทฤษฎีบางอย่างในหนังสือประวัติศาสตร์ขั้นต้นแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนจะถูกหรือไม่ถูก…กำลังอยู่ในระหว่างการสังเกต
ย่ำค่ำวันที่สอง ก่อนที่ดวงอาทิตย์ดวงเล็กจะลาลับไป ในที่สุดหลี่มู่ก็มาถึงเมืองฉางอัน
เมืองฉางอันในประวัติศาสตร์ของฉินตะวันตกมีสถานะที่แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ
เพราะเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ฉางอันเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิฉินตะวันตก ถึงแม้ยามฉินตะวันตกสถาปนาราชวงศ์จะไม่ได้ตั้งเมืองอยู่ที่ฉางอัน แต่เมื่อครั้งฉินตะวันออกเสื่อมโทรม ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีหลังจากที่จักรพรรดิฉินอู่ตี้ผู้ฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้จักรวรรดิฉินย้ายเมืองหลวงไปยังฉางอัน ฉางอันได้ใช้กำแพงสูงของเมืองเป็นเกราะป้องกันลมฝนให้กับจักรวรรดิฉินตะวันตกมาสามร้อยปี
จวบจนเมื่อสองร้อยปีก่อน จักรพรรดิฉินตั้งกวาดล้างศัตรู ขยายอาณาเขต ขับไล่ชนเผ่าแห่งทุ่งหญ้าที่ในอดีตทำให้ฉินตะวันออกต้องล่มสลายไปจากผืนแผ่นดินเดิม และย้ายเมืองหลวงกลับมายังเมืองฉินที่สถาปนาราชวงศ์ ฉางอันจึงนับว่ายุติบทบาทประวัติศาสตร์เมืองหลวงของจักรวรรดิฉินตะวันตกไป
และก็เพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ชาวฉินจึงมีความรู้สึกพิเศษกับเมืองฉางอัน
ต่อให้สองร้อยปีก่อนนี้เมืองฉางอันไม่ใช่เมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป เมืองฉางอันตอนนี้เป็นเพียงแค่เมืองในมณฑลนับสิบของจักรวรรดิ และเป็นเมืองที่ไม่มีตำแหน่งการปกครองพิเศษอะไร แต่ความรู้สึกพิเศษนั้นยังคงอยู่ เทียบกับเมืองในมณฑลอื่นๆ เมืองฉางอันนับว่ายังเจริญรุ่งเรือง
เมื่อข้ามผ่านคูเมืองที่กว้างสามสิบจั้งไป หลังจากมองกำแพงเมืองฉางอันที่สูงถึงสามสิบจั้งอย่างเคารพ และทอดถอนใจให้กับกำแพงรอบประตูเมืองที่เต็มไปด้วยรอยดาบรูกระบี่ หลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนจ่ายค่าเข้าเมือง ในที่สุดก็เข้ามาในเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานห้าร้อยปีของจักรวรรดิฉิน
กลิ่นอายเรียบง่ายโบราณปะทะหน้ามา
หากเทียบทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติอำเภอขาวพิสุทธิ์เหมือนกับสาวชาวบ้านงดงามบริสุทธิ์ เมืองฉางอันก็ราวกับทหารชุดเกราะยืนตระหง่านท่ามกลางพายุฝน ถนนหนทางสิ่งก่อสร้างใช้หินสีดำเป็นหลัก หอสูงตั้งเรียงราย ถนนราบเรียบ อาคารสูงใหญ่แน่นขนัดยืดยาวเป็นแถวๆ ไปยังที่ไกล สีดำเคร่งขรึมเป็นสีที่คนฉินชอบมากที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของนิสัยคนฉิน ทั้งน่าเกรงขามและเด็ดเดี่ยว
หลี่มู่ขี่ม้าไปบนถนน มีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในประวัติศาสตร์เกือบพันปีของจักรวรรดิฉิน
บนท้องถนนคนแน่นขนัด พ่อค้าและขบวนสินค้าที่เดินผ่านไปมาจอแจคึกคัก
ตลาดกลางคืนใกล้จะเริ่มแล้ว
กลางคืนของเมืองฉางอันไม่มีข้อห้ามออกจากเคหะสถาน
เทียบกับเมืองฉางอันแล้ว อำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นแค่เมืองอำเภอเล็กๆ ไปเลยจริงๆ ถ้าใช้เมืองของโลกมาเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับเมืองเล็กไร้ชื่อเสียงมาถึงยังเซี่ยงไฮ้เมืองปีศาจ[2] ความแตกต่างและการเปรียบเทียบเช่นนี้ช่างห่างกันราวฟ้ากับดิน
หลี่มู่ดูจนตาลาย
อารยธรรมของโลกวิถียุทธ์ใบนี้ จะใช้สายตาที่มีเทคโนโลยีก้าวไกลของโลกมาเปรียบเทียบไม่ได้ ถนนหนทางสถาปัตยกรรมทั้งหลายยิ่งใหญ่อลังการจนน่าเหลือเชื่อ สถาปัตยกรรมมากมายก็ไม่อาจใช้ทฤษฎีสิ่งก่อสร้างของโลกมาเปรียบเทียบได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหินยักษ์สีดำหนักหลายหมื่นจินก่อขึ้นเป็นกำแพงทั้งก้อน เทคโนโลยีอันก้าวไกลของโลกไม่อาจทำได้ถึงจุดนี้เลย
หลี่มู่หยุดๆ เดินๆ กินลมชมทิวทัศน์สำราญใจ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ข้างหน้าพลันมีเสียงฮือฮาดังมา
ฝูงชนแน่นขนัดขึ้นทันใด
……………………………………………………
[1] อาหารจำพวกแป้งสาลี คืออาหารที่ทำมาจากแป้งสาลีทั้งหลาย เช่น เส้นบะหมี่ชนิดต่างๆ ซาลาเปา หมั่นโถว เปี๊ยะ เป็นต้น
[2] คนจีนมักตั้งฉายาให้กับมณฑลต่างๆ ฉายาของเซี่ยงไฮ้คือเมืองปีศาจ