“นั่นใคร?”
พวกเฮ่ออวิ๋นเสียงระแวดระวังกันยิ่ง เงาที่ยืนตระหง่านอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือดนี้ประหลาดนอกรีตอยู่บ้าง
ยืนตระหง่านกลางท้องฟ้า นี่เป็นกลวิชาของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ทีเดียว
เหล่ายอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์ก็ตื่นตัวขึ้น ฟังจากวาจาของร่างมารชั่วร้ายนี้ เหมือนว่าจะรู้จักกับฮวาเสี่ยงหรง หรือจะมาช่วยเหลือนาง? ตอนนี้จางปู้เหล่าไม่อยู่ คนคนนี้น่ากลัวว่าจะไร้เทียมทาน
เจ้าสำนักบัณฑิตชวีที่อยู่ในเกราะคุ้มกันมองจันทร์เสี้ยวที่ลอยต่ำกลางท้องฟ้าและเมฆสีเลือดที่ตลบกระจาย ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องอย่างตกใจ “จอมมารจันทราโลหิต?”
“ท่าทางจะมีคนรู้จักข้า ไม่เลว”
เงาร่างที่ยืนอยู่บนจันทร์เสี้ยวสีเลือดเอ่ย
ในที่สุดสีหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงก็ฉายแววหวาดเกรง แต่ไม่นานก็กลับสู่ความเรียบนิ่ง
ในอดีต นางอยู่ที่หอสดับเซียน ก็จำต้องเผยตัวเพราะการข่มขู่จากพรรคจันทราโลหิต ในอดีตชื่อนี้เป็นฝันร้ายในใจของนาง ดังนั้นยามได้ยิน ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ชื่อนี้ ในใจของนางจึงเกิดความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ
แต่นางก็ตระหนักได้ในทันทีว่าตนในตอนนี้ไม่ใช่นางโลมในหอคณิกาที่ยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกแล้ว
ตนเองเป็นคนที่ติดตามอยู่ข้างกายพี่มู่
หลายวันที่ติดตามพี่มู่ฝึกฝน ตอนนี้นางมีความกล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแล้ว
“อย่าดิ้นรนเลย ตามข้าไปเสียเถอะ” ทั่วร่างของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อยู่ท่ามกลางรัศมีสีเลือด เกราะคุ้มกายแสงสีเลือดด้านๆ ภายใต้รัศมีจันทร์หม่นๆ ใบหน้ารางเลือน มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความหยิ่งทะนงทรงอำนาจที่ชวนให้คนหวาดกลัว
ฮวาเสี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไร
มือนางประสานปางมือวิชาเต๋า มีตราสีหยกหกตราพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ลอยวนเวียนรอบกายนาง เหมือนผีเสื้อบินตอมมวลมาลี และคุ้มครองนางไว้ข้างใน แสงสีเงินกะพริบไหวพันล้อมรอบกาย พลังจากวิชาเวทเพิ่มขึ้นมหาศาล
นางใช้การกระทำบ่งบอกตัวเลือกของตัวเอง
“ข้าไม่อยากลงมือกับอิสตรี เจ้าอย่าไม่รู้จักดีชั่ว” ในน้ำเสียงของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย “หลี่มู่เอาเจ้าไว้ข้างกายก็แค่เห็นความสำคัญของคุณสมบัติกายเจ้า แค่กำลังหลอกใช้เจ้าเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่รู้เป็นหรือตาย ท้าสู้ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์นั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ เจ้าติดตามมันจุดจบจะต้องน่าอนาถแน่ หากเจ้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ
ฟุ่บ!
ตราแสงจันทร์ตราหนึ่งราวลำแสงแหวกอากาศไปในชั่วอึดใจ โจมตีไปยัง ‘จอมมารจันทราโลหิต’
ใครก็ตามที่พูดจาให้ร้ายพี่มู่ล้วนสมควรตาย
ดวงตาของซ่างกวนอวี่ถิงฉายแววโทสะ
‘จอมมารจันทราโลหิต’ เพียงยื่นมือคว้าก็กำตราสีหยกไว้ได้สบายๆ น้ำเสียงที่เอ่ยขบขันเสียดสี “เจ้าเพิ่งจะฝึกฝนไม่กี่วันก็คิดมาสู้กับข้า? ฮวาเสี่ยงหรง ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่รู้จักทะนุถนอมสาวงาม”
เขาเพียงกำเบาๆ
ตราสีหยกก็แหลกเป็นฝุ่นผง
……
“เจ้าหนูตัวเล็กจ้อย เรื่องเอาตัวรอดก็พอจะมีความสามารถเหมือนกัน”
ใบหน้าของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าฉายแววหมดความอดทน
สู้กันมาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว
เขาเก็บความคิดจะหยอกเล่นลงไป ต้องการจบการต่อสู้ที่ไม่มีความกังวลใดๆ ครั้งนี้จึงใช้พลังที่แท้จริงแล้ว แต่วิชารักษาชีวิตหลี่มู่มีมากมายแพรวพราวนัก เขาไม่อาจสังหารหลี่มู่ในเวลาเพียงช่วงเวลาหนึ่งได้
และวิชาต่างๆ ที่หลี่มู่สำแดงออกมา ก็ทำให้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ แอบตกใจเช่นกัน
มิน่าเล่าถึงถึงได้สร้างปาฏิหาริย์ลเรื่องแล้วเรื่องเล่าในเมืองฉางอัน เด็กหนุ่มคนนี้มีฝีมือจริงๆ ฝึกฝนทั้งวิชาเวทและวิชายุทธ์ อีกทั้งยังศึกษาเคล็ดวิชาเทพที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะความแตกต่างของขั้นพลังล้วนๆ และตัวเองควบคุมพลังฟ้าดินได้แล้วละก็ วันนี้คงได้ดับดิ้นอยู่ในมือเจ้าเด็กนี่แน่
วันข้างหน้าหากปล่อยให้เติบโตไปจะน่ากลัวเพียงใด?
‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าคิดให้ละเอียดแล้วก็หวาดกลัวนัก
ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้จะต้องขุดรากถอนโคนให้ได้
เขาขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน ลงมือเต็มกำลัง ประกายดาบยาวหลายสิบจั้งฟาดฟันมาอย่างบ้าคลั่ง
ยอดเขาหินแต่ละลูกและป่าดงดิบแต่ละผืนในระยะหลายร้อยลี้พินาศย่อยยับ
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณแห่งนี้ นี่เป็นหายนะที่จู่โจมมาโดยไม่ทันตั้งตัว
ในครรลองสายตาประหนึ่งวันสิ้นโลก
หลี่มู่บังคับดาบวัฏจักร อาศัยความเร็วเหนือเสียงและพลังเนตรสวรรค์ ยืมยอดเขาหินที่พังทลายและฝุ่นตลบฟุ้งหลบหลีกประกายดาบสังหารของจางปู้เหล่าไม่หยุด ทุกครั้งล้วนเสี่ยงอันตรายอย่างหนักหนา หลบประกายดาบสีเลือดได้อย่างหวุดหวิด
ภาพนี้เหมือนคนที่กำลังโต้คลื่น ข้างหลังมีฝูงฉลามไล่ตามอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ระวังก็จะเจอฉลามโหดเหี้ยมกลืนกินไป
หลี่มู่ตอนนี้สภาพจนตรอกนัก
ความแตกต่างระหว่างฟ้าประทานกับเหนือมนุษย์คือหนึ่งขั้นใหญ่ๆ ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างสามัญชนกับจักรพรรดิ
ระหว่างการต่อสู้ เรียกได้ว่าเขาใช้วิชาทุกอย่าง หมัดยุทธ์แท้ วิชาดาบที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วของหกดาบวายุเมฆากระทั่งวิชาเต๋าสังหารที่ควบคุมได้ในตอนนี้ กล่าวได้ว่าวิชาสังหารใดๆ ที่ควบคุมได้ เขาสำแดงมันออกมาทั้งหมด
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์
นั่นคือพลังแห่งฟ้าดิน
“เร็ว ยังต้องเร็วขึ้นไปอีกนิด…”
หลี่มู่บังคับดาบโบยบิน
พลังจิตวิญญาณของเขาหลอมรวมกันจนถึงขีดสุด ตรงหว่างคิ้วของเขาปวดรางๆ เป็นระลอก
ภายใต้การเบิกเนตรสวรรค์ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาสามารถรู้ถึงทิศทางและวงโคจรการโจมตีของกระบวนท่าศัตรูได้ก่อน นี่เป็นความสามารถที่ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ล่วงหน้า ถึงแม้จะเลือนราง เป็นความรู้สึกยากจะอธิบาย แต่ในใจของหลี่มู่กลับยินดีอย่างล้นเหลือ
เขารู้ ตัวเองใกล้จะทะลวงขั้นได้แล้ว
‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นหนึ่งบริบูรณ์มานานมาก
วันนี้ในที่สุดก็มองเห็นโอกาสบรรลุขั้นพลัง
และนี่ก็คือเหตุผลที่เขา ‘รนหาที่ตาย’ ท้าทายผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์
หนีไม่หยุด หนีอย่างบ้าคลั่ง
ประกายดาบสีเลือดเฉียดผ่าน เสื้อผ้าบนร่างฉีกขาดเป็นชิ้น
หลี่มู่ในตอนนี้กำลังเหยียบดาบเหินหาววิ่งหนีตัวล่อนจ้อน…อ้อ ไม่ใช่ ต้องเป็นบินหนีตัวล่อนจ้อนต่างหาก
นี่เป็นการทดสอบขีดจำกัดของเขา
ความเจ็บปวดที่หว่างคิ้วรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่ามีดาบเทพไร้รูปร่างกำลังแล่เนื้ออยู่
หลี่มู่ฝืนอดกลั้น กระตุ้น ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และโคจรมหาจักรวาลอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น ในหัวมีเสียงอัสนีฟาดผ่า ความเจ็บปวดตรงหว่างคิ้วหายไปโดยไร้ร่องรอย สิ่งที่เข้ามาแทนคือความรู้สึกเย็นสบายราวได้หยาดทิพย์หล่อเลี้ยง พลังจิตวิญญาณพลันทะลวงไปขั้นหนึ่ง ดาบวัฏจักรใต้เท้าก็ยิ่งเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว
ทะลวงขั้นแล้ว
ในที่สุดก็ทะลวงขั้นแล้ว
หลี่มู่ลิงโลดในใจ
ดาบวัฏจักรเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วราวสายรุ้งเส้นหนึ่ง ลากเป็นรอยเงาในท้องฟ้า ใกล้จะเกินขีดจำกัดที่ตาเนื้อมองเห็นได้ เสียงฟ้าผ่าและฟ้าแลบประหนึ่งฝนฟ้าคะนองยามโบยบินด้วยดาบเหินหาวหายไปในทันที
ดาบเหินหาวแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้ง
นี่เป็นขอบเขตการบังคับวัตถุที่สูงกว่าระดับศาสตรากัมปนาทขั้นหนึ่ง
“หืม? ทำไมความเร็วถึงเร็วขึ้นอีก?” ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าตกใจ
ความเร็วของหลี่มู่ก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาหวาดระแวงมากแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์โบยบินได้ ก็ยากจะมีความเร็วเช่นนี้ ความเร็วของหลี่มู่ในยามนี้เพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ตาเนื้อของเขาแทบจะเพ่งเล็งได้ยาก หากหลี่มู่ต้องการหนีไป ไม่ใช่ว่าจะไล่ไม่ทันหรอกรึ?
คิดได้ถึงตรงนี้จางปู้เหล่าก็ร้อนใจ
แต่ว่าในตอนนี้เอง หลี่มู่บังคับดาบเหินหาวร่อนลงบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง จิตของเขาเพียงขยับ ดาบวัฏจักรก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งฟันไปยังจางปู้เหล่าที่ไล่สังหารมา
‘ลองพลังคุกคามของวิชาดาบเหินหาวหลังจากวิชาก่อนกำเนิดเข้าสู่ขั้นสองก่อนดีกว่า’
นี่คือความคิดของหลี่มู่
“ไม่หนีอย่างนั้นรึ? เจ้านี่รนหาที่ตายชัดๆ…ทำลายดาบของเจ้าก่อน”
จางปู้เหล่าเห็นแล้วก็ดีใจยิ่ง
เขาเก็บดาบโค้ง ไม่สกัดกั้นอีกต่อไป แล้วพลันยื่นมือซ้ายออกมา พลังฟ้าดินโคจรมารวมตัวอยู่บนปลายนิ้วทั้งห้า จากนั้นคว้าดาบวัฏจักรเล่มมหึมาและกำเอาไว้แน่นในมือ
หลี่มู่หน้าเปลี่ยนสี
และในมุมมองของเนตรสวรรค์ตอนนี้ กระแสพลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายปกคลุมแขนซ้ายขวาของจางปู้เหล่า ห่อหุ้มดาบวัฏจักรเอาไว้เหมือนเกราะชั้นหนึ่ง ก่อนสลายพลังทั้งหมดของดาบวัฏจักร ทำให้มันไม่อาจโจมตีมาได้อีกแม้แต่น้อย
“บ้าเอ๊ย เล่นใหญ่เกินแล้วไง…” หลี่มู่กระตุ้นพลังจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่งเพื่อบังคับดาบ
ทว่าดาบวัฏจักรดิ้นรนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหลุดพ้น
มุมปากของจางปู้เหล่ายกยิ้มเย็นชา “เป็นอาวุธที่หลอมจากโลหะหนักต้นกำเนิด พอจะนับว่าเข้าขั้นอยู่ แต่ว่า…” ยังพูดไม่ทันจบ พลังฟ้าดินในมือของเขาก็ปะทุเต็มกำลังทันที
แคร่ก แคร่ก
เสียงโลหะแหลกละเอียดดังลอยมา
ดาบวัฏจักรเล่มมหึมา ตัวดาบหนาหนัก กลับร้าวเป็นรอยแยกหลายเส้นและค่อยๆ แผ่ลามออกไปโดยมีนิ้วทั้งห้าของเขาเป็นศูนย์กลาง สุดท้ายก็ส่งเสียงดังสนั่น แหลกเป็นเศษชิ้นส่วนสีโลหิตปลิวกระจายทั่วฟ้า
ดาบพังทลาย
แหลกละเอียด
“ไม่มีดาบ แล้วเจ้าจะบังคับดาบอย่างไร?”
จางปู้เหล่าหัวเราะเยาะเย้ย
วิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ พลังโจมตีไม่น่ากลัว แต่ความเร็วเหนือเสียงนั่นทำให้แม้แต่เขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ยังตามไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายที่ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง เกินกว่าขอบเขตการควบคุมของเขาไปแล้ว ทำให้เขาหวาดระแวง ดังนั้นจึงหาโอกาสทำลายดาบวัฏจักรเสีย
เพราะเขามองออกว่าหลี่มู่เองเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ความเร็วทั้งหมดอยู่ที่วิชาดาบเหินหาว หากทำลายดาบก็เท่ากับตัดปีก ตัดโอกาสหนีของหลี่มู่
ส่วนหลี่มู่ตอนนี้ทำหน้าอึ้งมึนงง
เวรเอ๊ย เขาประเมินความน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์ต่ำไป
น่าเสียดายดาบวัฏจักรแล้ว
ยามมองเศษเสี้ยวที่โปรยปรายทั่วท้องฟ้า หลี่มู่ปวดใจนัก
แต่ว่าแทบจะในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของเศษดาบทุกชิ้น ดาบวัฏจักรที่สร้างด้วยพลังจิตวิญญาณและ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ต่อให้แหลกไปก็มีสายสัมพันธ์กับจิตวิญญาณของหลี่มู่อย่างน่าอัศจรรย์ จิตใจเพียงขยับ เศษดาบที่กระจายทั่วฟ้าก็กระจัดกระจายกลับมาที่เท้าของหลี่มู่ราวนางแอ่นกลับรัง
ในระหว่างนี้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าไม่ได้ลงมืออีก
อย่างไรเสียหลี่มู่ก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว
หลี่มู่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ย “มารดามันสิ เจ้าก็ตาถึงดีนี่…แต่ว่าข้ายังมีของวิเศษอีกชิ้นหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าได้เห็น บางทีเจ้าอาจจะไม่นิ่งเฉยแบบนี้แล้ว”
พูดจบ หลี่มู่ก็อ้าปาก
แสงเทพห้าสีทางหนึ่งพุ่งออกมาจากปากของเขา ก่อนแปรเป็นตราทรงเหลี่ยมรูปร่างโบราณลอยอยู่เหนือหัว
…………………