จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 275 จิตแห่งกระบี่

บทที่ 275 จิตแห่งกระบี่
มู่ชิงข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ถอยฉากออกไปด้านหนึ่ง
ขั้นเหนือมนุษย์สามคนที่เหลือกลับยิ่งสู้ยิ่งรู้สึกตกตะลึง
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นศึกระหว่างเมิ่งอู่กับชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาว ก็ทอดถอนใจไปครั้งหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นนับเป็นอัจฉริยะประเภทต่อสู้คนหนึ่ง ทว่าเมื่อมาเทียบกับหลี่มู่ที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับดูห่างชั้นกันเสียเหลือเกิน หลี่มู่คนนี้ต่างหากถึงจะเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้โดยแท้
ต่อให้มี ‘กระจกสยบฟ้า’ คอยสะกดพลังฟ้าดินในเมืองฉางอันเอาไว้ ขั้นเหนือมนุษย์สี่คนนี้ต่างก็มีพลังขั้นฟ้าประทานเต็มสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์การต่อสู้ ทักษะวิชา และมุมมองประสบการณ์ ต่างมีมากเกินกว่าขั้นฟ้าประทานทั่วไป ทั้งสี่คนรวมพลังกันรับมือกับรุ่นหลังที่ขั้นฟ้าประทานยังไม่สมบูรณ์คนหนึ่ง แต่กลับไม่อาจเอาเขาลงได้ ซ้ำยังโดนโจมตีจนเจ็บหนักไปคนหนึ่งด้วย
โดยเฉพาะวิชาดาบเหินหาวที่น่าอัศจรรย์นั่น ดาบบินยี่สิบสี่เล่ม เป็นวิชาขั้นเทพที่รวมการป้องกันและโจมตีเป็นหนึ่งก็ว่าได้ ปราณดาบพุ่งตามใจนึก ผนวกกับวิชาหกดาบวายุเมฆาจากดาบเล็กของหลี่มู่ ไม่ว่าโจมตีระยะไกลหรือใกล้ก็เฉียบคมถึงขีดสุด
ตูม ตูม ตูม!
คลื่นพลังน่ากลัวแผ่กว้างออกไป
มู่ชิงที่ระงับอาการบาดเจ็บได้แล้วกัดฟันกรอด และพุ่งเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
ทั้งสี่ร่วมมือกันเป็นเวลานาน ก็ยังไม่สามารถล้มเด็กรุ่นหลังคนนี้ลงได้ หากยังยืดเยื้อต่อไป ศักดิ์ศรีขององค์ชายสองคงไม่เหลือ และพวกเขาก็คงแย่ตามไปด้วย
การต่อสู้ตึงเครียดมากขึ้นทุกขณะ
ตูม!
หลี่มู่ถูกระเบิดลอยออกไป กระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นเป็นหลุมใหญ่ทางหนึ่ง
แต่ดาบถลาลมของเขาทะลุหัวไหล่ของมู่ชิงได้อีกครั้ง
“ตาย” มู่ชิงเดือดดาล หลี่มู่เห็นเขาเป็นช่องโหว่ เอาแต่จ้องจะโจมตีเขา นี่ยิ่งทำให้เขาบ้าคลั่ง ไม่สนใจบาดแผลของตนเอง โจมตีเข้าไปด้วยกระบวนท่าสุดยอด
แต่ในตอนนี้เอง นักพรตคิ้วยาวที่เคยแพ้ให้กับหลี่มู่เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยอีกคน
เขาฟาดฝ่ามือเข้ามา ตราประทับฝ่ามือปราณแท้ขนาดมโหฬารพุ่งตรงเข้ามาหาหลี่มู่ดุจพลังทำลายล้าง นี่ก็คือ ‘ฝ่ามือสลักหินผา’ หนึ่งในท่าไม้ตายที่เขาถนัดที่สุดนั่นเอง
“ฮ่าๆ ดาบเอ๋ยจงมา”
หลี่มู่พลิกตัวกลับอย่างตกที่นั่งลำบาก วูบหลบฝ่ามือสลักหินผาและซัดกลับไปหนึ่งกระบวน ดาบบินทั้งยี่สิบสี่ที่ร่ายระบำเต็มท้องฟ้าพุ่งกลับมาอยู่ในมือของเขา รวมตัวกันเป็นดาบยาวเล่มหนึ่งในพริบตา นี่คือรูปร่างที่แท้จริงของดาบวัฏจักร
ตอนนี้เอง ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งหลายที่ล้อมโจมตีอยู่บุกเข้ามาพร้อมกัน
พลังที่น่าสะพรึงสั่นไหว กลวิชาปราณแท้แต่ละชนิดราวกับลมฝนพายุคลั่งถาโถมเข้าใส่ตัวหลี่มู่
“สังหารรอบทิศ!”
หลี่มู่ฟาดฟันออกไปอย่างไม่ลังเล
ในหกดาบวายุเมฆา สังหารรอบทิศเป็นดาบโจมตีหมู่ที่แข็งแกร่งที่สุด ชื่อของมันได้มาจากนิยายกำลังภายในบนโลกเรื่อง ‘ดาบแปดทิศในศึกยามค่ำคืน’ แต่จิตแห่งดาบและแก่นแท้ของมัน แน่นอนว่าหลี่มู่นำมันมาจากวิชาดาบอื่นๆ โดยเฉพาะ ‘สามท่าสังหารเทพ’ แล้วมาตีความเอาใหม่
หนึ่งดาบฟาดฟัน ลมเมฆเคลื่อนไหว
รอบกายหลี่มู่ปรากฏแสงดาบ ดุจรัศมีของอาทิตย์จันทราก็มิปาน สีเงินเปล่งประกาย ฟันออกไปสี่ด้านแปดทิศ
ในดาบนี้มีความตั้งใจจะสังหารให้แดดิ้นอย่างเต็มเปี่ยม ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าต่างรู้สึกได้ทันที หลี่มู่ตอนนี้เหมือนจะให้พินาศกันไปทั้งสองฝ่าย ส่งการโจมตีรุนแรงมาโดยเฉพาะ แสงดาบตัดสะบั้นกระบวนวิชาของพวกเขาจนสิ้น ทำให้พวกเขาจำใจต้องหันมาป้องกัน
“ตัดอสุนี!”
“ชักดาบสะบั้น!”
“ดาบยักษ์สังหาร!”
“มังกรหวนสะบั้น!”
“ตัดวายุเมฆา!”
เมื่อหลี่มู่ลงมือ หกดาบวายุเมฆาทั้งหมดถูกสำแดงออกมาติดต่อกัน แสงดาบพลันสว่างวาบ ปราณดาบกระจายทั่ว ภายในรัศมีสามสิบจั้งดุจเปลี่ยนเป็นเขตแดนดาบอย่างไรอย่างนั้น
ตูม ตูม ตูม!
วิชาอันน่ากลัวปะทะกันจนระเบิดเสียงดังสนั่น รัศมีแผ่ซ่านออกเป็นชั้นๆ เหมือนรังสีของระเบิดนิวเคลียร์ คลื่นกระแทกไปยังรอบๆ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ล้มครืนพังทลาย ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมา ก้อนหินปลิวว่อน ราวกับแผ่นดินไหวในวันสิ้นโลกก็มิปาน
ยังดีที่โดยรอบโรงฝึกยุทธ์พลังพายุนี้ เหล่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกทางการไล่ออกไปจนหมดแล้ว ดังนั้นการต่อสู้เช่นนี้ จึงไม่ได้สร้างการบาดเจ็บล้มตายมากเท่าไรนัก
เปรี้ยง เปรี้ยง!
หลี่มู่ถูกโจมตีต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกมา
ในชั่วหนึ่งหรือสองพริบตา เขาเป็นดั่งกระสอบทรายแขวนอยู่กลางอากาศ กำลังถูกซัดไปมา ทั้งกระบวนท่าวิชาต่างๆ ตราประทับฝ่ามือ แสงกระบี่ ท่าดัชนี ทั้งหมดโจมตีมาที่หลี่มู่ จนจมูกและปากของเขามีเลือดสดไหลออกมา บาดแผลปรากฏทั่วร่างกาย
ทว่าเขายังคงกระฉับกระเฉง ไม่เพียงแต่ไม่มีอาการอ่อนแรงให้เห็น กลับยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิมเสียด้วยซ้ำ
ส่วนยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้า มู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวสองคนเจ็บหนักที่สุด บนร่างมีโพรงที่เจาะทะลุไปด้านหลัง หากไม่ใช่เพราะปราณดาบและปราณแท้ของหลี่มู่อยู่ในสภาพไม่พร้อม น่ากลัวว่าป่านนี้ทั้งสองคนคงจะสูญเสียความสามารถในการโจมตีไปแล้ว
นี่คือการทุ่มสุดตัวอย่างหนึ่ง
หลี่มู่กำลังขัดเกลาตนเองอย่างบ้าคลั่ง
ปณิธานของเขากำลังลุกโชน
เพลงดาบของเขา ดาบของเขา ลางสังหรณ์การต่อสู้ของเขา กำลังยกระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนอีกด้าน ในศึกของชายหนุ่มคลุมหน้าชุดขาวกับฉู่หนานเทียนก็เกิดปรากฏการณ์นี้ด้วยเช่นกัน หลายต่อหลายครั้งที่ฉู่หนานเทียนมีโอกาสสังหารชายชุดขาว แต่อีกฝ่ายกลับหลบหลีกไปได้ด้วยความเฉียบคมอันน่าเหลือเชื่อ ชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวคนนี้ก็เหมือนคนตัวเล็กจ้อยที่ตีไม่ตายเสียที
‘ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่เหยี่ยวถลาลมของข้าถูกหลี่มู่ชิงไป…’ ฉู่หนานเทียนพร่ำบ่นในใจ
หากกระบี่เหยี่ยวถลาลมยังอยู่ในมือ ด้วยคมของกระบี่เทพ คงไม่มีทางต้องมาเหนื่อยเช่นนี้
รอบนอกของการต่อสู้ สนามพลังไร้รูปร่างครอบลงมายังหอสูง
บนหอสูง องค์ชายสองไม่แม้แต่จะชายตามองสองศึกที่อยู่ด้านล่าง ต่อให้หลี่มู่คนเดียวจะใช้พลังของตนต้านทานขั้นเหนือมนุษย์ห้าคนได้ ก็ไม่อาจทำให้ดวงตาเขาเผยคลื่นอารมณ์ใดๆ
เพราะว่าเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ของสองศึกนี้
สิ่งที่เขาสนใจคือศึกที่คุมเชิงกันอยู่ด้านหน้าหอบวงสรวงโรงฝึกยุทธ์พลังพายุต่างหาก
สองมือของขันทีใหญ่เฉาปิ่งเหยียนประสานปางมือกระบี่ แม่น้ำดวงดาวผืนหนึ่งปรากฏออกมาจากกลางฝ่ามือทั้งคู่
ใจกลางแสงดาวสีม่วงที่กำลังหมุนย้อนกลับ ดวงดาวหลากสีหลายลูกทั้งสีฟ้า สีเหลือง สีแดงชาดกำลังหมุนตามวงโคจร ภาพที่ปรากฏนั้นช่างเป็นภาพที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับบนมือของเขาคว้าจักรวาลฟากหนึ่งเอาไว้ ขับให้ร่างของเฉาปิ่งเหยียนเหมือนเป็นเทพมารยักษ์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางจักรวาลดวงดาว ควบคุมดาราจักรนับล้านไว้
นี่คือแก่นแท้ของกระบี่ทางช้างเผือก
ในปีนั้น กระบี่ทางช้างเผือกของเขามีชื่อเสียงลือเลื่องในเมืองฉิน แต่ยังไม่ถึงขั้นควบคุมสายธารดาราได้เช่นนี้
“ดาราร่วงหล่นที่ราบกว้าง จันทราลอยสูงเหนือแม่น้ำ…กระบี่ทางช้างเผือกจงปรากฏ”
เมื่อเสียงของเฉาปิ่งเหยียนหยุดลง จิตแห่งกระบี่ทางช้างเผือกค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากหมู่ดาวบนมือของเขา สุดท้ายรวมตัวกันจนเป็นกระบี่เล็กขนาดนิ้วมือเล่มหนึ่ง เมื่อสั่นไหวเบาๆ มันก็สลายทางช้างเผือกบนฝ่ามือไป จากนั้นจึงดูดกลืนดวงดาวที่อยู่ในวงโคจรเข้าไปทั้งหมด สายลมพัดโหมเข้ามา มันกลายเป็นกระบี่ใหญ่ขนาดถือสองมือ
สองมือเฉาปิ่งเหยียนจับกระบี่ทางช้างเผือก ราวกับกำโลกทั้งโลกเอาไว้
เขาแตะเท้า ร่างกายดีดออกห่างจากพื้นประหนึ่งลอยตัว มุ่งหน้าเข้ามายังหลี่กังไม่ช้าไม่เร็ว
ไม่มีลมฝน ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีจิตสังหาร ไม่มีปราณใดทั้งสิ้น
กระบวนท่านี้เบาแสนเบา
แต่มีเพียงหลี่กังที่รับมือกระบี่นี้เท่านั้น ถึงจะรู้สึกว่าประกายที่ปลายกระบี่นั้นเป็นดั่งดาวดวงยักษ์ปะทะเข้ามา
หากเป็นคนอื่น อย่าว่าแต่สวนกลับเลย หากโดนประกายดารานี้สาดส่อง คงได้ถูกบดขยี้กลายเป็นฝุ่นในพริบตา
ผมยาวดำขลับของหลี่กังลอยพลิ้วแม้ไม่มีลม สยายดุจม่านน้ำตก กลิ่นอายที่ประหลาดราวกับไม่ใช่ของโลกใบนี้หมุนวนเข้ามา เขาผงกศีรษะ “ไม่เลว กระบี่ที่ฟูมฟักมายี่สิบเอ็ดปี ทำได้ถึงขนาดนี้…แต่ว่า” เขายื่นมือคว้าในอากาศ ดูเหมือนไม่มีอะไรให้จับ แต่ก็คล้ายคว้าบางสิ่งที่ลึกลับออกมาจากระหว่างแผ่นฟ้ากับพื้นดิน “ฝากกายในคมดาบ สังหารกลางธุลีแดง…พี่เฉา จงดูกระบี่ธุลีแดงของข้า!”
มือของเขากำสิ่งที่ไร้ตัวตน ก่อนพลิกฝ่ามือฟาดฟัน
จิตกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา
ผู้ที่ฝึกมาถึงขั้นนี้อย่างพวกเขา ถึงแม้จะยังไม่เข้าสู่ขั้นเทวะ ทว่าก็อยู่จุดสูงสุดของขั้นเหนือมนุษย์แล้ว สิ่งที่ใช้สู้แน่นอนว่าไม่ใช่กระบวนท่าธรรมดา แต่อยู่ในระดับพลังเต๋าหรือท่วงทำนองเต๋า เห็นได้ชัดว่าในตัวเฉาปิ่งเหยียนมีสมบัติหายากของราชวงศ์อยู่ จึงไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘กระจกสยบฟ้า’ พลังของเขาจึงเผยออกมาได้อย่างถึงที่สุด
จิตกระบี่ธุลีแดงกับจิตกระบี่ทางช้างเผือกปะทะกัน เหมือนกลุ่มแสงสองเส้นพุ่งชนกันกลางอากาศ จากนั้นจึงเกิดการหักเหที่น่าอัศจรรย์ขึ้น รัศมีราวเส้นไหมสาดกระจายออกไปสองข้าง บรรดาสิ่งปลูกสร้าง กำแพงหิน กระทั่งพื้นดินที่แสงตกกระทบราวกับกากเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น เมื่อเสียงปึงดังขึ้นก็สลายกลายเป็นฝุ่น…
ยังดีที่ร่างของหลี่กังแกร่งดุจขุนเขา กลิ่นอายพลังเข้าสกัดกั้นคลื่นกระแทกนี้ไว้ มิเช่นนั้นพวกโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ได้กลายเป็นผงปลิวตามลมไปในพริบตาแล้ว
ต่อให้คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือก็ตาม แต่การสู้รบเช่นนี้ สำหรับพวกเขาแล้วเป็นการปะทะกันของเทพเซียนเลยทีเดียว
ท้ายที่สุด…
วูบ!
จิตกระบี่ธุลีแดงสายหนึ่งวาบผ่านไป พุ่งเจาะปราณกระบี่ทางช้างเผือกที่คุ้มกายเฉาปิ่งเหยียน แม้จะถูกลดทอนพลังลงไปมาก แต่สุดท้ายก็ยังพุ่งทะลวงหัวไหล่ของขันทีใหญ่คนนี้ได้
ทว่า ใบหน้าของเขากลับมีสีแดงก่ำที่ไม่ปกติปรากฏขึ้นมา เขาไม่สนใจหัวไหล่ของตนที่ค่อยๆ สลายหายไป สองมือกำกระบี่ทางช้างเผือก ยังพุ่งแทงมาทางหลี่กังต่ออย่างทุลักทุเล
ในอากาศ คลื่นพลังกระเพื่อมเป็นชั้นๆ
ด้านหน้าหลี่กังประมาณสองจั้งมีแสงสว่างวาบ พลังเต๋าหมุนวน
หากหลี่มู่อยู่ที่นี่ด้วย จะสามารถมองเห็นตาข่ายพลังงานซ่อนเร้นที่ก่อตัวขึ้นจากพลังฟ้าดิน ซ้อนทับหลายชั้นกระจายอยู่รอบตัวหลี่กังในพื้นที่ราวสองจั้งนี้ กระบี่ทางช้างเผือกของเฉาปิ่งเหยียนแทงเข้าไปยังตาข่ายพลังงานซ่อนเร้น ราวกับฉลามคลั่งตัวหนึ่งมุดเข้าไปในแหทีละชั้นๆ ส่งพลังออกมาไม่หยุด และเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำลายแหจับปลานี้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นแยกเขี้ยวดุดัน โฉบเข้าใกล้ตัวหลี่กังแล้วอ้าปากขย้ำ
นี่คือศึกวัดพลังฝึกที่แท้จริงของทั้งคู่
ยี่สิบเอ็ดปีก่อน ศึกครานั้นที่เมืองฉิน กระบี่สั่นสะเทือนฟ้า ความแค้นในวันนั้นยืดยาวมาจนถึงเวลานี้
กระบี่ทางช้างเผือกบีบเข้าหาหลี่กังไม่หยุด
ส่วนไหล่ซ้ายของเฉาปิ่งเหยียนโดนจิตขกระบี่ธุลีแดงทำลาย สลายไปในอากาศจนหมด เช่นเดียวกับการตายของเมิ่งอู่
สลายกลายเป็นธุลีแดง
นี่คือวิชาสังหารของจิตแห่งกระบี่ธุลีแดง
ทว่าเขาไม่ได้สนใจมันแม้เพียงนิด แขนซ้ายยังเหลืออยู่ หัวไหล่ขวายังสมบูรณ์ สองมือจับกระบี่ช้างทางเผือก แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดพุ่งเข้าหาหลี่กังอย่างต่อเนื่อง ทั้งร่างของเฉาปิ่งเหยียนเริ่มมีแสงมวลดาราสาดส่อง ราวกับกำลังจะบรรลุสัจธรรมอย่างไรอย่างนั้น
นี่เป็นการทุ่มสุดชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว
“เหตุใดต้องทำขนาดนี้” หลี่กังเอ่ยขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “กระบี่ทางช้างเผือกเป็นวิชาของเทพมารโบราณจากนอกฟ้า หากพี่เฉาทุ่มจิตใจฝึกฝนวิชากระบี่นี้ จะต้องทำลายได้กระทั่งความว่างเปล่าเป็นแน่ แต่กลับถูกความพ่ายแพ้เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนทำให้ตามืดบอด จิตใจมีแต่ความแค้น หลบไม่พ้นแม้กระทั่งธุลีแดง แล้วจะเข้าสู่วิถีแห่งทางช้างเผือกได้อย่างไร?”
เฉาปิ่งเหยียนยิ้มขมขื่น “ข้าพูดไปแล้ว วันนี้จะเป็นวันสิ้นชื่อของเซียนกระบี่ธุลีแดง”
ทิฐิของเขาช่างสูงเสียเหลือเกิน
หลี่กังส่ายศีรษะ “เจ้าใช้วิชาลับของราชวงศ์ฉินตะวันตก บั่นทอนเลือดลมอายุขัยของตนเพื่อใช้กระบี่ทางช้างเผือก…ก็เหมือนกับถูกคนใช้ประโยชน์เพียงเท่านั้น เจ้าละทิ้งไม่เลือกเดินทางสายหลัก กลับมาเลือกทางสายเล็ก ซ้ำทำลายเจตนารมณ์ที่แท้จริงของวิชากระบี่ทางช้างเผือกเช่นนี้ เจ้าสังหารข้าไม่ได้หรอก…”
เสียงเอ่ยยังไม่ทันจบ…
สถานการณ์ก็พลันพลิกผัน
ตูม!
กรงเล็บมังกรทองข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลี่กังอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่มีร่องรอยใดๆ ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าโดยไม่คาดคิดเช่นนี้ มันทำลายจิตกระบี่ธุลีแดงที่คุ้มกายหลี่กัง พุ่งเข้ามาพร้อมพลังถล่มฟ้าทลายปฐพี จากนั้นกระแทกเข้าที่กลางหลังของหลี่กังอย่างจัง!
จอมศาสตราพลิกดารา

จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

สำนักฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงบนกลุ่มดาวจื่อเวยได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพื่อให้สะดวกต่อการบุกเบิกดาราจักรทางใต้ของทางช้างเผือก

ชีพจรพลังเซียนของค่ายกลต้องตัดผ่านโลกมนุษย์พอดี หลังจากนี้อีกราว 20 ปี…โลกจะถูกทำลาย

หลี่มู่ เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ปราดเปรื่อง

อาศัยอยู่กับซินแสเฒ่าสติไม่ดีที่วันๆ พร่ำเพ้อแต่การฝึกวิชา ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันนี้สักนิด

แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับถูกส่งไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและยอดฝีมือ

กลายเป็นขุนนางเมืองบนดาวดวงนี้ ออกแรงแค่เล็กน้อยก็ส่งผลร้ายแรงมหาศาล

ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจำต้องสวมบทบาทผู้นำ พร้อมหาวิถีทางกอบกู้โลกให้ทันกาล…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท