หลี่กังหน้าถอดสี กระตุ้นจิตแห่งกระบี่ขึ้นมา ภายในชั่วเวลาสั้นๆ เขาทำได้เพียงฝืนต้านกรงเล็บมังกรทองไว้ จากนั้นจึงรู้สึกว่าพลังระดับถล่มภูผาถมทะเลปะทะเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างเขากระเด็นเข้าไปหากระบี่ทางช้างเผือกที่พุ่งมาตรงหน้า
ส่วนเฉาปิ่งเหยียนก็ราวกับรู้อยู่แล้วว่าภาพฉากนี้ต้องเกิดขึ้น
เขาแสยะยิ้ม ใช้พลังบ้าคลั่งที่สุดในระดับที่ไม่สนใจว่าจะเผาไหม้ตนเองกระตุ้นกระบี่ทางช้างเผือก ก่อนแทงตรงไปยังหลี่กัง
“โลกนี้จะไม่มีเซียนกระบี่ธุลีแดงอีกต่อไป”
บนหอสูงห่างไปสองลี้ องค์ชายสองเก็บมือกลับช้าๆ มุมปากแสยะยิ้มออกมาบางๆ
เมื่อครู่นี้แน่นอนว่าเป็นเขาเองที่ลอบกัด
เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ต้องไม่เลือกวิธีการ
นี่คือสิ่งแรกที่เขาได้เรียนรู้หลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในราชวงศ์อันแสนหนาวเหน็บนั้น
จิตกระหายต่อสู้ก่อนหน้านี้ ท่าทีที่เหมือนอยากลงมือเต็มแก่ ก็ล้วนเป็นแค่การแสดงของเขาเท่านั้น ใช้เพื่อหลอกให้หลี่กังสับสน การเอาตนเองเข้าไปอยู่ในอันตรายไม่ใช่แนวทางของเขา การจ่ายน้อยที่สุดเพื่อรับกำไรมากที่สุด ถึงจะเป็นมาตรฐานและหลักการของตน ต่อให้เขามีพลังขั้นเหนือมนุษย์ ทว่าตัวเขาไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์เลย
ในยุทธจักรไม่มีชื่อเสียงเรียงนามของเขา เพราะคนในยุทธจักรที่เคยเห็นเขาลงมือต่างตายไปหมดแล้ว
หลิวเฉิงหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายสองกลับไม่พูดไม่จา เหงื่อเย็นๆ สายหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาก ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนติดตามนายคล้ายตามเสือ เลือกจงรักภักดีกับคนเช่นนี้ เขาทำถูกต้องหรือไม่กัน?
“หือ?” จู่ๆ มุมปากที่ยกขึ้นขององค์ชายสองก็ค้างแข็ง
เพราะว่าด้านล่าง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางพลิกกลับ หลี่กังที่เดิมทีกำลังจะถูกกระบี่ทางช้างเผือกแทงทะลุหัวใจ ไม่รู้ว่าใช้วิธีการไหน กลับหนีรอดจากความตายมาได้ ไหล่ขวาแค่ถูกแทงเท่านั้น แต่เฉาปิ่งเหยียนที่แผดเผาตนเองกลับถูกหลี่กังซัดกระเด็น…
รอดมาได้อย่างนั้นหรือ?
ดวงตาขององค์ชายสองฉายประกายชั่วร้าย
“ท่านซุน ลงมือเถิด”
เขาเอ่ยเสียงเรียบ
ชายหนุ่มด้านหลังที่ดูแล้วเหมือนเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันมาผงกศีรษะ ร่างกายค่อยๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่า ราวกับหายไปจากความเป็นจริง
พริบตาต่อมา หลี่กังที่หน้าหอของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกระอักเลือด พลันรู้สึกถึงจิตสังหารน่าพรั่นพรึงวูบเข้ามาจากด้านข้าง จึงแทงจิตกระบี่ธุลีแดงออกไปทันที เมื่อร่างเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จุดเดิมที่เขาอยู่เหลือเพียงเงาซึ่งถูกประกายเย็นเยียบบดละเอียด
เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้นมาพร้อมจิตสังหารแล้ววูบหายไป
“ดาวลอบสังหารซุนหมิง?”
หลี่กังถามขึ้น
สิ่งที่ตอบเขาเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ “ใต้เท้าหลี่ ไปอย่างสบายๆ เถอะ” นี่เป็นเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ องค์ชายสองคนนั้น
นักฆ่าขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์คนหนึ่ง
ดาวลอบสังหารซุนหมิง กระบี่เงามืดที่ไว้วางใจได้ที่สุดข้างกายองค์ชายสอง ไม่มีใครรู้จักหน้าตาของเขา และไม่มีใครรู้ถึงความสนใจของเขาด้วย เล่าลือกันว่าเขาเป็นคนชรา และก็ลือกันว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยวัยเยาว์ กระทั่งเพศชายหรือหญิงยังพูดไม่เหมือนกัน สิ่งเดียวที่เหมือนคือ กระบี่ในเงามืดผู้นี้อยู่ข้างองค์ชายสองมาโดยตลอด ลอบสังหารศัตรูให้ข้ามานับไม่ถ้วน
หกปีก่อน ซุนหมิงที่อยู่ขั้นฟ้าประทานเคยลอบสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งสำเร็จ ชื่อเสียงจึงเลื่องลือ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบของนักฆ่าแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ทำให้ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนแค่ได้ยินชื่อเสียงก็ขวัญหนีดีฝ่อ ถือเป็นตัวละครที่น่ากลัวยิ่งตัวหนึ่ง
หลี่กังขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “ยังจะดูอยู่อีกหรือ?”
คำพูดนี้ ไม่ใช่คำที่พูดกับซุนหมิง
และแน่นอนว่าไม่ใช่กับเฉาปิ่งเหยียนด้วย
“ขอร้องข้าสิ” เสียงไพเราะของสตรีดังขึ้น ประหนึ่งเสียงสวรรค์ เสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง
เสียงนี้ราวกับมาจากใต้พิภพ เสมือนมาจากต้นไม้ใบหญ้า หรือลอดมาจากหินที่แตก ล่องลอยไปมา แปลกประหลาดอย่างที่สุด
ทักษะการเก็บซ่อนกลิ่นอายของนางแข็งแกร่งกว่าดาวลอบสังหารเสียอีก ก่อนหน้าที่นางจะเอ่ยขึ้น ไม่มีใครรู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย
หลี่กังไม่ได้เปิดปาก เขายังยืนอยู่ที่เดิม พลางเร่งพลังเพื่อรักษาบาดแผล
“ขอร้องข้าสักครั้ง มันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เสียงของสตรีฟังดูตัดพ้อต่อว่า
ทันใดนั้น กลางอากาศมีคลื่นพลังอำพรางสายหนึ่งมาจากทางด้านหลังหลี่กัง คลื่นพลังสีเขียวอ่อนที่คมดั่งดาบลม ราวกับฉลามกระหายเลือดใต้ผิวน้ำกำลังซ่อนเร้นจิตสังหารของตน
หลี่กังเหมือนจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
หรือไม่ก็รู้สึกแล้ว แต่เขาไม่คิดจะหลบหลีก
ขณะที่ดาบลมสีเขียวอ่อนกำลังจะฟันเข้าที่ด้านหลังเขา ทันใดนั้นเอง…
ปึง!
เสียงสนั่นดังขึ้นมา
ลำแสงสีน้ำเงินเข้มที่ยากจะบรรยายได้เส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะหลายลี้
ลำแสงเส้นนี้ไม่มีคลื่นพลังฟ้าดิน และไม่มีกลิ่นอายพลังปราณแท้ แต่ความเร็วกลับอยู่ในระดับที่ไม่น่าเชื่อ เหนือกว่ากำแพงเสียง รอจนเสียงสนั่นนั้นดังกังวาน ลำแสงสีน้ำเงินนี้ก็ถูกยิงออกมาก่อนแล้ว ซ้ำรวดเร็วเสียจนกระทั่งขั้นเหนือมนุษย์อย่างเขาก็ยังไม่ทันตั้งตัว
ด้านหลังของหลี่กังราวสามจั้ง ในความว่างเปล่า จู่ๆ ก็มีระเบิดเลือดสาดกระจาย
เงาโปร่งใสร่างหนึ่งล้มลงกับพื้นและค่อยๆ เผยร่างออกมา เป็นดาวลอบสังหารนั่นเอง
หน้าผากของเขามีรูหนาขนาดนิ้วมือรูหนึ่ง
บาดแผลแปลกประหลาด ขอบรอบๆ มีไอร้อนเหมือนไหม้เกรียม ทะลุจากหน้าไปถึงหลัง
จะเห็นได้ว่าในพริบตานั้น ด้านในกะโหลกศีรษะของดาวลอบสังหารซุนหมิงถูกพลังความร้อนที่น่ากลัวยิ่งสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทำลายจนสุก บาดแผลเช่นนี้ ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งก็ไม่มีทางจะเลี่ยงได้พ้น ซุนหมิงจนตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว เพราะใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มเย็นปรากฏให้เห็น นั่นเป็นสีหน้าของพวกนักฆ่าก่อนลงมือสังหารเหยื่ออย่างเต็มร้อย
ดาวลอบสังหาร ตายลงขณะลอบสังหาร
พริบตานั้น กระทั่งเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าตนจะตาย
นี่มันวิชาเทพอะไรกัน ห่างกันหลายลี้ เพียงชั่วขณะเดียวก็สามารถสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งได้?
หรือจะเป็นวิถีของขั้นเทวะ?
องค์ชายสองที่อยู่บนหอสูงใบหน้าตกตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึก
การตายของซุนหมิงทำเขาตกใจอย่างมากและรับมือไม่ทัน
กระทั่งจะช่วยก็ยังช่วยไม่ทันด้วยซ้ำ
นี่คือไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังหรือ?
“ช่วยเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือ เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” สตรีคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าก็รู้ดี กระสุนของข้า วันหนึ่งยิงได้เพียงครั้งเดียว” เสียงนี้มีเพียงหลี่กังที่ได้ยิน
หลี่กังสีหน้าเรียบนิ่ง เร่งปราณแท้รักษาบาดแผล
สำหรับองค์ชายสองแล้ว สถานการณ์ตอนนี้พลันเปลี่ยนไปเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว
เขามองเห็นไม่ชัด พริบตาเมื่อสักครู่ ลำแสงสีน้ำเงินเข้มนั้นคืออะไรกันแน่
หากลำแสงเมื่อครู่นี้ยิงมาทางตนเองละก็…เขาชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าตนจะสามารถรับการโจมตีนี้ได้หรือไม่ บทสรุปท้ายสุดอาจจะทานไว้ได้ แต่…ก็คงบาดเจ็บ
นี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังจริงๆ
คนคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บหนัก อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีทางออมมือออมแรงไว้ได้
ไม่มีใครที่อยู่ระหว่างความเป็นตายแล้วจะยังซ่อนไพ่ตายเอาไว้โดยไม่ใช้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
องค์ชายสองพ่นลมหายใจยาวๆ “แพ้ชนะตัดสินกันแล้ว”
ขณะเดียวกัน เฉาปิ่งเหยียนที่บาดเจ็บหนักก็ลงมืออีกครั้ง
จิตแห่งกระบี่ทางช้างเผือกปรากฏ เฉาปิ่งเหยียนที่ร่างครึ่งหนึ่งเริ่มสูญสลายฟันกระบี่ตรงมาสังหารหลี่กังอีกครั้ง
เมื่อเห็นฉากนี้ องค์ชายสองก็รู้ทันทีว่าศึกตัดสินมาถึงแล้ว
เขายิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจ พร้อมชูมือขึ้น
แสงสีเหลืองสายหนึ่งบินออกไปจากมือ ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แผ่ความเกรงขามน่าหวาดผวาออกมา พลังเต๋าในฟ้าดินหมุนวน ในชั่วพริบตานั้น พลังฟ้าดินที่ถูกกระจกสยบฟ้ากดข่มเอาไว้ก็ฟื้นกลับคืน อานุภาพของอาวุธเทพแห่งเมืองฉางอันถูกสลายทันใด
“ด้วยอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิ แจ้งราชโองการ เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ ปกครองดูแลพื้นที่หนึ่งแทนเรา ได้รับเกียรติสูงส่ง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสูง ทว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ มีใจคิดปฏิปักษ์ ลักลอบสั่งสมกำลังทหาร มีโทษสถานหนัก ขอบัญชาฉินฝานบุตรชายเรารับหน้าที่ สังหารขุนนางผู้ต้องโทษผู้นี้พร้อมพรรคพวก ให้ปลิดชีพได้ทันที ไม่ต้องคุมตัวกลับเมืองหลวง พร้อมถอนรากเก้าชั่วโคตร จบราชโองการ!”
เสียงน่าเกรงขามราวกับทวยเทพที่ชี้ขาดสรรพสิ่ง ดังออกมาจากแสงสว่างสีเหลืองกลางอากาศ
นั่นคือราชโองการ
ราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิง
จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตกบัญชาให้สังหารหลี่กัง?
หลี่กังวางแผนก่อกบฏ?
เสียงดังกังวานนี้ ทุกผู้คนในเมืองฉางอันต่างได้ยินอย่างชัดเจนในพริบตา
คนมากมายเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มแสงสีเหลืองอันน่าเกรงขามบนฟ้า ภายในแสงสีเหลืองที่กำลังขยับประกาย มองเห็นได้ว่ามีผ้าไหมสีเหลืองทองผืนหนึ่ง ด้านบนมีลายค่ายกลดาราหมุนวน แผ่อำนาจน่าเกรงขามสูงสุดออกมาสั่นสะเทือนใจคน ราวกับเป็นราชโองการจากปากทวยเทพเองก็มิปาน
นี่…ก็คือราชโองการของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก
ทุกคนต่างมีอาการสั่นเทาและความรู้สึกสวามิภักดิ์ที่ยากจะควบคุมได้ส่งออกมาจากจิตวิญญาณของตน
แผ่นดินใต้ฟ้ากว้าง ไม่มีที่ไหนที่ไม่ใช่แผ่นดินของจักรพรรดิ ในแผ่นดินของจักรพรรดิ ไม่มีใครไม่ใช่คนของจักรพรรดิ
จักรพรรดิต้องการให้ตาย ก็จำต้องตาย
เพราะนี่คือราชโองการ
ทั่วทั้งเมืองฉางอัน คนมากมายต่างรู้สึกตกใจและสับสนกันทันใด
ราชโองการของจักรพรรดิฉินตะวันตกมีพลานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้ สามารถคลี่คลายพลังสะกดของอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ หลังจากที่ราชโองการนี้ปรากฏขึ้น ภายในเมืองฉางอันจึงมีพลังน่าอัศจรรย์แผ่ระลอก พลังฟ้าดินที่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มเอาไว้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืน
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหลี่มู่
“บ้าเอ๊ย!”
เนตรสวรรค์ตรวจเจอว่าขั้นเหนือมนุษย์ห้าคนที่ล้อมตนอยู่ พลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายเริ่มฟื้นฟู เขารู้ตัวทันทีว่าคราวนี้ความบันเทิงครั้งใหญ่กำลังจะมาแล้ว
ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าที่ไม่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มพลัง สามารถดึงพลังฟ้าดินมาได้แล้ว
หลี่มู่หน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที
แล้วยังจะสู้อยู่ทำไมล่ะ
หากพวกขั้นเหนือมนุษย์ฟื้นกำลังรบที่แท้จริงกลับมาละก็ อย่าว่าแต่ห้าคนเลย แค่คนเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้สบายๆ แล้ว เพราะนี่คือการต่อกรกันของพลังในระดับที่ไม่เหมือนกันนี่นา
เขารีบถอยฉากหนี ดาบเหินหาวพุ่งเร็วดุจแสง
“มารดามันเถอะ เจ้าคนไร้ยางอาย”
หลี่มู่หลบการโจมตี ทิ้งระยะห่างออกมา
พริบตานั้น เขาไม่ลืมคว้าตัวชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวออกมาด้วย
ส่วนพวกมู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวที่ตั้งตัวกลับมาแล้วก็พลันลิงโลด รู้สึกว่าในร่างกายฟื้นพลังฟ้าดินกลับมาแล้ว และเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ กลับสู่สภาพปกติ ภายใต้การบำรุงจากพลังวิญญาณในฟ้าดิน บาดแผลบนร่างที่ถูกดาบบินของหลี่มู่โจมตีฟื้นฟูกลับมาได้ในพริบตา
“ฮ่าๆ เจ้าสวะ เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว”
“ขยี้มันให้แหลก”
ขั้นเหนือมนุษย์หลายคนนั้นตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างอดไม่ไหว
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ช่างน่าอัปยศเหลือเกิน
พวกเขาที่เป็นถึงขั้นเหนือมนุษย์อันสูงส่ง หยิบยืมความน่าเกรงขามขององค์ชายสองมาแล้ว ร่วมมือกันล้อมโจมตีชนรุ่นหลังคนหนึ่งอย่างหน้าไม่อาย ท้ายที่สุดสู้กันกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่จะสังหารหลี่มู่ไม่ได้ ตนเองกลับกลายเป็นหินลับมีด ถูกตบหน้ากลับเสียอย่างนั้น แต่ละคนโดนเล่นงานจนหมดอาลัยตายอยาก ความอัปยศในใจแทบทำให้พวกเขาอกแตกตายกันอยู่แล้ว
ตอนนี้ ในที่สุดก็กลับเป็นปกติเสียที
พลังที่เป็นของพวกเขาอย่างแท้จริงกลับมาแล้ว
เมื่อมองหลี่มู่ที่ห้อหนีเหมือนกระต่ายตกใจ ใบหน้าของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าปรากฏจิตสังหารรุนแรงอย่างไม่ปิดบัง
ตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว การสังหารหลี่มู่เป็นเรื่องง่ายแค่ยกมือเท่านั้น