จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 281 รู้ผลแพ้ชนะ?

บทที่ 281 รู้ผลแพ้ชนะ?

ศึกของสามผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์หลอมรวมพลังฟ้าดินเข้ามา รอบๆ มีม่านพลังเหลือบรุ้งเทพมารต้านทานไว้ ปิดกั้นจากโลกภายนอก ทำให้ระดับความเข้มข้นพลังวิญญาณในสนามรบมากเกินกว่าปกติ เทียบได้กระทั่งแดนเซียนบางแห่ง ค่ายกลที่หลี่มู่วางจึงได้รับพลังวิญญาณเข้มข้นหลายสิบเท่า การป้องกันย่อมเหนือกว่าสภาวะปกติ

อีกทั้งกฎแห่งพลังฟ้าดินขับเคลื่อน ยิ่งเป็นการเพิ่มพลังให้กับค่ายกลอย่างพิสดาร

หลี่มู่หัวเราะฮิๆ

ร่างของเขาวนรอบโถงใหญ่อย่างรวดเร็วอีกรอบ

ดาบบินยี่สิบสี่เล่ม ปราณดาบถาโถมรอบด้าน ราวพู่กันสลักยี่สิบสี่เล่ม สลักอักษรเต๋าลึกลับหลายแถวตามกำแพงของโถงใหญ่และเสาหินดั่งลำแสงอีกครั้ง ชั่วขณะที่สลักออกมา อักษรเต๋าเหล่านี้กะพริบแสงออกมาเป็นเส้นๆ จากนั้นก็ราวกับรอยวาดจากน้ำที่ถูกลมพัดแห้ง ตาเนื้อไม่อาจมองได้เห็นอีกต่อไป

คนอื่นๆ ซาบซึ้งอย่างมากเมื่อหลี่มู่เพิ่มความแข็งแกร่งให้ค่ายกลป้องกันโถงใหญ่

สถานการณ์ในวันนี้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ คนทั้งหมดในโถงใหญ่โดยพื้นฐานแล้วเป็นแค่ของประดับ สร้างผลกระทบอะไรให้สถานการณ์รบไม่ได้เลย ขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดทั้งสามที่กำลังต่อสู้อยู่บนที่สูงลิบราวกับเทพเซียนบนฟ้า กำลังรบที่ปะทุออกมาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับมือได้ แค่เศษเสี้ยวพลังสายเดียวก็ปลิดชีวิตพวกเขาได้ ผู้ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดในนั้นอย่างหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ถานเยี่ยนจือก็ยังยากจะรับไหว

มีเพียงหลี่มู่คนเดียวที่ใช้พลังค่ายกลปกป้องทุกคนเอาไว้

ทุกคนในนั้นจึงล้วนติดหนี้ชีวิตหลี่มู่

สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินมององค์หญิงฉินเจินที่อยู่ข้างๆ กำลังจะอ้าปากเอ่ย แต่สายตาของฝ่ายหลังห้ามเอาไว้เสียก่อน

นักรบของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ พวกเขาต่างเฝ้าดูการต่อสู้กลางท้องฟ้า ดวงตางดงามของถานเยี่ยนจือไล่ไปมาบนร่างของหลี่มู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางก็เห็นสายตาของฉินเจิน ดังนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน

ถังฮูหยินกอดบุตรสาวคนเล็กเอาไว้แน่น มือขวาจับบุตรสาวคนโตเอาไว้ ในใจอธิษฐานให้หลี่กังและสวีเซิ่งได้รับชัยชนะ

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ในที่สุดหลี่มู่ก็หยุดลง

เนตรสวรรค์เบิกขึ้น กวาดไปทั่วทั้งโถงใหญ่หอบวงสรวง มองทะลุกำแพงหิน ก็เห็นอักขระเต๋าที่ตาเนื้อของคนอื่นมองไม่เห็นเหล่านั้นได้ชัดเจน ร่องรอยหลายต่อหลายแถว ลวดลายเคลื่อนไหวแต่ละเส้น แฝงด้วยจิตสูงสุดแห่งวิชาเต๋า สลักเต็มกำแพงหินโถงใหญ่ไปจนถึงชั้นดินภายในระยะสามจั้งใต้โถงใหญ่ประหนึ่งม้วนภาพวาดอันงดงาม

ดาบทั้งยี่สิบเล่มสี่บินกลับมา ก่อนแปลงเป็นดาบวัฏจักรสีเงินเล่มยักษ์ปักอยู่แทบเท้าหลี่มู่

เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

คนอื่นไม่รู้ตัว แต่เนตรสวรรค์ของหลี่มู่กลับสามารถมองเห็นได้ ค่ายกลที่เขาสลักขึ้นใหม่บนกำแพงหินกำลังดูดซับเศษเสี้ยวพลังการต่อสู้ในสนามรบของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสามอย่างเงียบงัน พลางดูดซับพลังฟ้าดินชนิดนี้ไปตามลวดลายที่เหมือนกับวงจรไฟฟ้า สุดท้ายก็รวมไปยังใต้พื้นดินของโถงใหญ่

และใต้โถงใหญ่ลึกลงไปสามจั้ง ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ กำลังดูดซับพลังชนิดนี้อย่างหิวกระหาย

ในห้าส่วนของห้าธาตุ ธาตุดินมีแสงสีส้มส่องกะพริบ เหมือนหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน สกัดกั้นการมองสอดแนมทุกอย่างจากโลกภายนอก และซ่อนพลังที่ดูดซับมาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่แผ่กระจายคลื่นพลังออกไปแม้แต่น้อย

‘สู้กันเลยๆ สู้กันนานอีกหน่อย ‘ชาร์ตแบต’ ให้กับลูกรักของข้า พอ ‘แบต’ เต็มเมื่อไหร่ ฮี่ๆ…’ หลี่มู่แอบยิ้มกระหยิ่ม มีความสุขราวขโมยของได้สำเร็จ พลังฝึกของเขาไม่มากพอ ไม่อาจมอบกำลังที่เพียงพอให้กับ ‘ตราห้าธาตุพลิกนภา’ ได้ แต่กับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดสามคนนี้…ฮี่ๆ สู้กันให้เต็มที่ไปเลย

เวลาผ่านไป

อาณาเขตนอกโถงใหญ่กลายเป็นซาก

หินปูพื้นถูกซัดปลิวไปไม่รู้กี่ตลบ สุดท้ายหิน ดิน สิ่งก่อสร้าง อีกทั้งร่างของจอมยุทธ์นักรบที่ตายไปล้วนกลายเป็นผุยผง ภายในบริเวณที่ม่านรุ้งเทพมารปกคลุม นอกจากโถงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านราวเกาะโดดเดี่ยวโดยมีค่ายกลปกป้องเอาไว้ สิ่งอื่นล้วนกลายเป็นผุยผง แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายจนหมด

กลางท้องฟ้า พลังฟ้าดินเอ่อทะลักราวคลื่น

อากาศเหนียวข้น

จิตกระบี่ท่วมฟ้า ปราณหมัดราวสายอัสนี

เซียนกระบี่ธุลีแดงหลี่กังและหมัดเทพทลายฟ้าสวีเซิ่งใช้ไพ่ตายออกมาหมดแล้ว ไม่รู้สำแดงเคล็ดวิชาต่อสู้ชั้นยอดไปเท่าไหร่ จิตกระบี่จิตหมัดเยี่ยมยอด ต่างหลอมจิตสูงสุดแห่งวิถียุทธ์ที่เป็นของตนออกมา ทว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ยังถูกควบคุมไว้ไม่ได้

 ฮ่าๆ แม้แต่หน่วยตรวจการยังกลายเป็นสุนัขรับใช้ของรัชทายาท ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันจริงๆ วันนี้พวกเจ้าต้องตาย  องค์ชายสองหัวเราะเย้ยหยัน

ทั่วร่างของเขามีเลือดลมปีศาจมารพันล้อม เขาบนหัวแผ่ละอองหมอกราวเลือดออกมา ดวงตาดุจตาของมารร้าย ไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็ราวกับทำให้ฟ้าดินสั่นไหวได้ ทั้งยังแฝงท่วงทำนองแปลกประหลาดเอาไว้ เมื่อฝ่ามือหนึ่งซัดออกไป มังกรโลหิตกลายพันธุ์สีทองเหี้ยมเกรียมก็คำรามออกมาพร้อมอานุภาพที่คาดไม่ถึง

 อั้ก! 

ฝ่ามือขององค์ชายสองซัดสวีเซิ่งกระเด็นจนกระอักเลือด

หลี่กังฟันหลายร้อยกระบี่ออกมาในชั่วพริบตา แสงกระบี่ราวดาวตก จิตกระบี่ธุลีแดงทำลายล้างฟันออกมาไม่ขาดสาย พอถูไถสกัดฝ่ามือขององค์ชายสองไว้ได้ แต่เขาสีหน้าซีดขาว มุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา บาดแผลที่ถูกองค์ชายสองลอบโจมตียามสู้กับเฉาปิ่งเหยียนก่อนนี้ยังไม่หายดี ตอนนี้ต่อสู้ก็ยังถูกพลังมารสะเทือนปอด แผลเก่าใกล้จะฝืนทนไม่ไหวแล้ว

 ฮ่าๆ แพ้ไปซะเถอะ 

องค์ชายสองหัวเราะร่า ใบหน้าที่แต่เดิมงามสง่ามีเส้นเลือดสีแดงเข้มบิดเบี้ยวราวงูพิษขึ้นเต็มไปหมด  เคล็ดมังกรทะยาน ตราประทับฝ่ามือมังกร! 

กระบวนท่าสุดยอดถูกสำแดงออกมา

ตราประทับฝ่ามือมังกรโลหิตทองสองตรา กดทับลงมาจากบนท้องฟ้า

ตูม ตูม!

สวีเซิ่งและหลี่กังลอยกระเด็นอีกครั้ง กระแทกเข้ากับม่านพลังรุ้งของเทพปีศาจสีเลือดเข้าเต็มแรง กระดูกทั่วร่างของทั้งสองหักไปไม่รู้ต่อกี่ท่อน

 กระบี่ธุลีแดงสังหาร! 

 ตราหมัดทลายฟ้าดับมาร! 

ในดวงตาของผู้แข็งแกร่งทั้งสองลุกโหมด้วยความบ้าคลั่ง ไม่มีแววท้อถอยแม้แต่น้อย จิตต่อสู้เกิดขึ้นทันที ความแข็งแกร่งของพลังจิตวิญญาณไปถึงระดับที่แทบไม่ใช่มนุษย์ ในช่วงเวลาความเป็นความตายเช่นนี้ พวกเขาจำต้องเผาจิตสูงสุดแห่งวิถียุทธ์ของตนเองแล้วสู้สุดตัว

การต่อสู้ดำเนินต่อไป

ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ

หลี่มู่ดูอยู่ข้างล่างอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

เนตรสวรรค์ของเขาเบิกขึ้น มองเห็นแก่นแท้ที่คนอื่นมองไม่เห็น การใช้พลังของขั้นเหนือมนุษย์ทำให้หลี่มู่ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนแตกฉานพบทางสว่าง

เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานหรือเหนือมนุษย์ กระทั่งเคล็ดวิชาเทพต่างๆ สุดท้ายพลังที่สำแดงออกมาก็ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการโคจรพลัง และวิธีการโคจรเช่นนี้ก็แตกต่างกันไป จะบรรลุผลลัพธ์ด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่จะเลือก จอมยุทธ์ระดับล่างก็ใช้วิธีระดับล่าง ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดมีทักษะใกล้เคียงกับเต๋า แต่ไม่ว่าระดับล่างหรือจะใกล้เคียงกับเต๋า พูดตามตรรกะทฤษฎีแล้ว ในเมื่อเป็นวิชาเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน

วิธีแตกต่างแต่บรรลุผลเดียวกัน

ขั้นเหนือมนุษย์ใช้ได้ หลี่มู่ก็ใช้ได้เหมือนกัน

สำหรับหลี่มู่ ผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือการสำรวจแก่นแท้วิธีใช้พลังของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสาม หาจุดที่เหมือนกัน จากนั้นก็ผสานเข้ากับวิชาดาบเหินหาวและหกดาบวายุเมฆาของตน

นี่เป็นเรื่องพิสดารจนไม่อาจพิสดารได้อีกแล้วสำหรับการช่วยพัฒนาหลี่มู่

เหมือนกับเด็กวัยไร้เดียงสาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมต้น แล้วกลับไปทำเลขบวกลบคูณหารไม่เกินหลักสิบอีกครั้ง

หลี่มู่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองคือต้นกล้าที่บำรุงด้วยปุ๋ยหมัก กำลังเติบโตแบบพรวดพราด

และนอกจากจัดการการใช้พลังแล้ว จิตสูงสุดวิถียุทธ์อย่างจิตกระบี่หรือจิตหมัด ก็เป็นการบรรลุและบทสรุปเส้นทางวิถียุทธ์เฉพาะตัวของทุกคน เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับโลกจิตวิญญาณของตัวเอง

หากพูดง่ายๆ ก็คือพรสวรรค์นั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่นจิตกระบี่ธุลีแดงของหลี่กัง ไม่ใช่ทุกคนจะฝึกฝนได้ มีเพียงแค่คนที่มีวิญญาณหรือพลังจิตวิญญาณที่คล้ายกันถึงจะฝึกได้ อีกทั้งยิ่งคล้ายกันมากเท่าไหร่ ผลการฝึกฝนก็จะยิ่งแข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเคล็ดวิชาต่อสู้ถึงมีเงื่อนไขว่าคนมีพรสวรรค์ในระดับหนึ่งถึงจะฝึกได้ หลี่มู่สามารถนำมาอ้างอิง ช่วยเสริมการบรรลุจิตสูงสุดแห่งวิถียุทธ์ของตน แต่ไม่อาจควบคุมได้เหมือนกับการลอกเลียนแบบ

ตอนนี้ การต่อสู้ท่ามกลางท้องฟ้าใกล้จะปิดฉากลงแล้ว

หลี่กังกับสวีเซิ่งบาดเจ็บหนัก ใช้เรี่ยวแรงจนหมด ร่วงสู่พื้นดิน ไม่มีแรงต้านทานอีกต่อไป

องค์ชายสองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ทั่วร่างอาบเลือด ไหล่ซ้ายกับท้องมีบาดแผลที่น่าสะพรึง เขาใช้พลังไปไม่น้อย แต่ยังสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้ รอบกายมีพลังมารสีเลือดไหลวน ยังคงแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นราวกับเป็นมารร้ายอาบเลือดตนหนึ่ง

 ทุกอย่างจบลงแล้ว 

เสียงขององค์ชายสองแฝงความหยอกเย้าและเสียดสี

เขาก้มมองพวกหลี่กังทั้งสองคน  บีบคั้นข้าจนถึงขั้นนี้ พวกเจ้าสมควรตาย ข้าจะหลอมเลือดเนื้อของเจ้าสังเวยให้เทพแพะ…ใช้ชีวิตของเจ้าชดเชยความผิดของพวกเจ้า…ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไป ในห้องเล็กๆ ที่เหมือนกับกระดองเต่านั่นยังมีหนูบางตัวอยู่… 

เขามองไปยังหอบวงสรวงหิน

ท่ามกลางการต่อสู้เช่นนี้ หอนี้ยังอยู่ครบสมบูรณ์ นี่ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย

แต่ก็แค่ประหลาดใจเท่านั้น

 หลี่มู่ ออกมาเถอะ เจ้าอยากสู้กับข้าไม่ใช่รึ?  องค์ชายสองมองไปยังหลี่มู่ที่ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากยกยิ้ม ความเหี้ยมโหดฉายออกมา  หึๆ พวกเจ้าพ่อลูกวันนี้นับว่าพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว…ออกมาเถอะ กระดองเต่านั่นคุ้มครองเจ้าไม่ได้หรอก 

หลี่มู่เดินอาดๆ ออกมาอย่างเชื่อฟัง

สีหน้าของทุกคนในโถงใหญ่ต่างฉายแววสิ้นหวัง

คิดไม่ถึงว่าบทสรุปจะเป็นเช่นนี้

จ้าวอวี่ลังเลเล็กน้อย มองถังฮูหยินสามแม่ลูกแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ สุดท้ายก็เดินตามติดหลี่มู่ออกมาด้วย เขามาเพื่อช่วยถังฮูหยิน แต่ตอนนี้…พยายามไปสุดกำลังแล้ว ถึงแม้เผชิญหน้ากับความตาย เขาก็จะไม่มีทางมีสภาพแย่กว่าหลี่มู่

ผู้คนทยอยเดินออกมา

ถานเยี่ยนจือและองค์หญิงฉินเจินปกป้องถังฮูหยินสามแม่ลูกขนาบซ้ายขวา สี่สตรีโฉมสะคราญกับหนึ่งเด็กหญิงหน้าตาสะสวยยืนเรียงแถวหน้ากระดาน กลายเป็นแนวทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด แต่ว่าหลี่มู่ไม่ได้หันกลับไปมองจึงไม่เห็น

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสีหน้าค่อนข้างเศร้าสลด

มีคนเดินไปพยุงหลี่กังและสวีเซิ่งขึ้นมา

ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสองหมดสิ้นกำลัง สูญเสียความสามารถในการสู้ต่อไปแล้ว

 ใครที่ขัดขืนข้าต้องตาย  องค์ชายสองกางแขนออก จมดิ่งอยู่ในความมั่นใจที่ได้ปกครองทุกสิ่ง พลางมองมายังหลี่มู่แล้วเอ่ยว่า  ตายอย่างวางใจเถอะ ฮวาเสี่ยงหรงผู้หญิงคนนั้นที่เจ้ารักเทิดทูน ข้าจะลิ้มรสแทนเจ้าเอง จากนั้นก็จะส่งนางลงไปหาเจ้า… 

Next

 

จอมศาสตราพลิกดารา

จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

สำนักฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงบนกลุ่มดาวจื่อเวยได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพื่อให้สะดวกต่อการบุกเบิกดาราจักรทางใต้ของทางช้างเผือก

ชีพจรพลังเซียนของค่ายกลต้องตัดผ่านโลกมนุษย์พอดี หลังจากนี้อีกราว 20 ปี…โลกจะถูกทำลาย

หลี่มู่ เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ปราดเปรื่อง

อาศัยอยู่กับซินแสเฒ่าสติไม่ดีที่วันๆ พร่ำเพ้อแต่การฝึกวิชา ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันนี้สักนิด

แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับถูกส่งไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเคล็ดวิชาและยอดฝีมือ

กลายเป็นขุนนางเมืองบนดาวดวงนี้ ออกแรงแค่เล็กน้อยก็ส่งผลร้ายแรงมหาศาล

ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เขาจำต้องสวมบทบาทผู้นำ พร้อมหาวิถีทางกอบกู้โลกให้ทันกาล…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท