หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1004

ตอนที่ 1004

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1004 แผ่นศิลาสีดำ
เมื่อมู่เฉินผ่านรัศมีแสงเข้ามายังชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย

แสงที่เบื้องหน้าก็ดำมืดลง แต่ไม่กี่อึดใจความมืดก็ถดถอย เมื่อความมืดหายไปภาพทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของมู่เฉินก็คือภาพที่เห็นไม่ใช่สภาพแวดล้อมเลวร้าย แต่เป็นจัตุรัสเก่าแก่ที่มีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง เขาพลิ้วตัวลงที่มุมหนึ่งของจัตุรัสโดยมีอีกสี่คนอยู่ไม่ไกลจากกัน

“นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณเหรอ?”

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อกวาดตามองสภาพแวดล้อม จัตุรัสแห่งนี้เก่ามากซึ่งมีร่องรอยแห่งกาลเวลาถูกทิ้งไว้ ความอ้างว้างแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่

ช่างแตกต่างจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายทั้งสามชั้นก่อนหน้ามาก จัตุรัสนี้เงียบสงบ ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเมื่อมองแวบแรก ดังนั้นภาพเบื้องหน้านี้จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในหัวใจเขา

“ที่นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์” เสียงดังก้องข้างๆ มู่เฉิน มั่วเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเฉยเมย

มู่เฉินอึ้งไปพลางขมวดคิ้ว “สถานที่นี้มีอะไรพิเศษไหม?”

ในเมื่อที่นี่เป็นชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกาย ก็ไม่มีทางดูง่ายเหมือนบนพื้นผิวหรอก

มั่วเฟิงพยักหน้าจากนั้นก็ชี้ไปที่ศูนย์กลางของจัตุรัสโบราณ “ดูนั่นสิ”

มู่เฉินพุ่งสายตาไป จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง เพราะเขาสังเกตเห็นแผ่นศิลาสีดำที่ใจกลางจัตุรัสโบราณ

แผ่นศิลาสีดำนี้ไม่ใหญ่นัก จึงถูกละเลยได้ง่ายในจัตุรัสกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นกระทั่งมู่เฉินยังไม่สังเกตเห็นก่อนหน้า

แต่…การทดสอบชั้นสี่ของเจดีย์คือแผ่นศิลาสีดำรึ?

มู่เฉินสับสน

“นี่คือศิลาพลังยุทธ์” มั่วเฟิงอธิบาย

“ศิลาพลังยุทธ์?” มู่เฉินรู้สึกปวดหัวหนึบ เนื่องจากตัวเขามีความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับดินแดนเสินโซ่

“ที่จริงกฎการทดสอบชั้นสี่ง่ายมาก แค่ชกศิลานี้ด้วยพลังกายของเจ้าก็เรียบร้อย”

มั่วเฟิงกล่าวต่อ “เห็นตะเกียงทองแดงตรงหน้าศิลาไหม?”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่สังเกตแผ่นศิลาสีดำ เขาก็พบตะเกียงทองแดงเก้าดวงวางอยู่ที่เบื้องหน้า เว้นแต่ว่าพวกมันดำสนิทไม่มีเปลวไฟใดๆ

“นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งของพลังกาย ซึ่งขีดสูงสุดคือตะเกียงทั้งเก้าส่องสว่าง แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังไม่สามารถทำได้”

ริ้วความตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน แม้แต่ความแข็งแกร่งเต็มรูปแบบของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างได้ทั้งเก้าดวงรึ? ศิลาพลังยุทธ์ที่ดูแสนธรรมดานี้สามารถทนต่อพลังที่น่ากลัวเพียงนั้นได้จริงเหรอ?

“ตามกฎแล้วตราบใดที่สามารถทำให้ตะเกียงส่องสว่างครบหกดวงก็ผ่านชั้นสี่ได้”

“ตะเกียงหกดวงรึ?” มู่เฉินกำหมัดแน่นด้วยความกระตือรือร้นวูบไหวในดวงตา หากใช้เพียงพลังกาย เขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครในที่นี่ นอกจากนี้เขาก็อยากทดสอบว่าพลังกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดจากวิชากายามังกรหงส์

เมื่อมั่วเฟิงเห็นท่าทางมู่เฉินก็อดเตือนไม่ได้ “อย่าประมาท จากข่าวที่ข้าได้รับ ปีก่อนๆ อัจฉริยะแปดถึงเก้าส่วนล้มเหลวในชั้นนี้”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาไม่ได้คิดดูถูกอะไรเลย แต่คำพูดของมั่วเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาตกใจ ดูเหมือนความยากลำบากในการทำให้ตะเกียงส่องสว่างหกดวงจะไม่ใช่งานเล็กเลย

“การผ่านชั้นสี่มีประโยชน์อะไรบ้างเหรอ?” มู่เฉินถามคำถามที่สำคัญที่สุด สามชั้นแรกมีสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเพื่อชำระพลังกาย แล้วชั้นสี่ล่ะ? เขาจะได้อะไรถ้าสามารถจุดตะเกียงทองแดงหกดวงได้? ตามกฎของเจดีย์ฝึกพลังกายก็ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ท้าชิงกลับไปมือเปล่าหรอกมั้ง?

“ผลประโยชน์ก็มาจากแผ่นศิลานั่นไง” มั่วเฟิงยิ้มจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำ มู่เฉินไม่รู้ว่าตนเองมองอะไรพลาดไปรึเปล่า แต่เขาสามารถเห็นไฟลุกโชนขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิง

ดูท่าศิลานี้จะไม่ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกแล้ว

“เจ้ารู้ไหมว่าศิลานี้ทำมาจากอะไร?” มั่วเฟิงถาม

มู่เฉินส่ายหัว เขาไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งที่นี่

“ทำมาจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า”

“เทพอสูรกลืนฟ้า?” มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นท่าทางก็สั่นเทิ้ม ในตำนานเล่าว่าเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดมาระหว่างฟ้าดิน ไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดใดๆ ดังนั้นความบริสุทธิ์จึงเหนือกว่ามหาอสูรเผ่าพันธุ์อื่นๆ ยิ่งกว่านั้นก็ปรากฏตัวเพียงในสมัยโบราณเท่านั้น ไม่มีใครเคยได้ยินถึงการปรากฏตัวในปัจจุบันเลย

เทพอสูรกลืนฟ้า ถ้าอยู่ในความโกรธคลั่งสามารถกลืนกินท้องฟ้าได้เลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังหวาดกลัว

มู่เฉินเคยเห็นข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันในตำราโบราณ แต่เขาไม่คิดว่าศิลาที่ดูแสนธรรมดานี้จะทำจากร่างเทพอสูรกลืนฟ้า

“ยากที่จะจินตนาการ” มู่เฉินถอนหายใจ เทพอสูรกลืนฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังหวาดกลัว

“เมื่อส่งกระบวนท่ากระแทกลงบนศิลาพลังยุทธ์ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้าจะไหลซึมออกมา แก่นโลหิตนี้จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการโจมตี… พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งตะเกียงทองแดงสว่างเท่าไร ความแข็งแกร่งของแก่นโลหิตที่ได้รับก็มากเท่านั้นและนี่คือประโยชน์ของชั้นสี่ เจ้าเข้าใจหรือยัง?” มั่วเฟิงจ้องมองด้วยสายตาทวีความร้อนขึ้นขณะที่พูดช้าๆ

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม แก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้า… หากเขาสามารถดูดซับได้ คงเห็นได้ชัดว่าจะน่าตกใจเพียงใดสำหรับการปรับแต่งพลังทางกายภาพของตนเอง

นี่เป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าแก่นสายฟ้าเสียอีก มิน่าล่ะกระทั่งมั่วเฟิงยังถูกล่อลวงไปด้วย

เจดีย์ฝึกพลังกายนี้แต่ละชั้นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมแท้จริง…

ขณะที่มั่วเฟิงพูดคุยกับมู่เฉิน หานซัน จงเถิงและสีคุนก็ฉายความโลภและความเคร่งขรึมบนใบหน้า ขณะที่จ้องมองแผ่นศิลาสีดำ ก่อนที่ทั้งห้าจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้ามาใกล้ มู่เฉินก็พบว่าแผ่นศิลาสีดำถูกปกคลุมด้วยรอยฝ่ามือหนาแน่น ซึ่งเห็นได้ชัดจากผู้ที่มาเยี่ยม ณ ที่แห่งนี้ในอดีต

ศิลาพลังยุทธ์มีความทนทานเป็นอย่างยิ่งจนถึงจุดที่ดูเหมือนไม่ได้ทำมาจากเลือดเนื้อ ทว่าสีดำมะเมื่อมก็ปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ทำเอากระแสโลหิตถึงกับปั่นป่วนเลยทีเดียว

มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นรัศมีที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพอสูรกลืนฟ้า แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ทำเอาพวกเขาหายใจไม่ออกแล้ว

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินอึ้งทึ่งไปอีกก็คือความจริงที่ว่าเมื่อเขาขยับเข้าใกล้แผ่นศิลามากขึ้น เขาก็พบว่าคลื่นหลิงในร่างกายค่อยๆ แข็งทื่อจนถึงจุดที่ยากจะหมุนเวียน ราวกับว่าถูกระงับโดยสนามพลังทรงศักยภาพ จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

“คลื่นหลิงถูกระงับไว้โดยสิ้นเชิง…ที่นี่ใช้ได้เพียงพลังกายที่แข็งแกร่งเท่านั้นจริงๆ” มู่เฉินกำมือ ยากมากสำหรับเขาที่จะหมุนเวียนพลังงานในร่างกาย

เมื่อมองไปที่คนอื่นๆ เขาก็พบว่าคลื่นหลิงที่พวยพุ่งรอบตัวพวกเขาหายไปอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ยังอยู่ในอาการสงบ ชัดว่าต่างคาดการณ์ไว้แล้ว

แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหน้าแผ่นศิลาสีดำ ก็ไม่มีใครขยับเขยื้อน ทุกคนนั่งลงเพื่อปรับสภาพตนเอง

เนื่องจากตามกฎทุกคนมีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น การออกกระบวนท่าโดยไร้ความคิดจะทำให้พวกเขาถูกดีดออกจากเจดีย์ทันที

เพราะฉะนั้นหมัดนี้จะต้องเป็นที่สุดของที่สุดที่พลังกายของพวกเขาจะระเบิดออกมาได้

ก่อนลงมือจะต้องรวมพลังให้ถึงขีดสุด การปะทะทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ

ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีความสามัคคีกันอย่างน่าประหลาดใจ ไม่มีใครเปิดเผยความเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้อื่น ทั้งหมดนั่งลงปรับสภาพอย่างรวดเร็วเพื่อปรับสภาพให้ดีสุด

ด้วยเหตุนี้จัตุรัสโบราณจึงเงียบลงอย่างผิดปกติในเวลานี้ มีเพียงลมหายใจของทั้งห้าที่ดังสะท้อนออกมา…

ขณะที่ทั้งห้านั่งลงเพื่อปรับสภาพ

ที่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายบรรยากาศยามนี้ก็คึกคึกอย่างยิ่ง สายตามากมายจ้องมองที่หน้าจอชั้นสี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้าจอแสดงภาพภายใน ดังนั้นทุกคนที่อยู่ข้างนอกจึงเห็นว่าพวกเขากำลังปรับสภาพกันอย่างกลมกลืน

“นั่นคือศิลาพลังยุทธ์ในตำนานใช่ไหม?”

“ว่ากันว่ามีเพียงจอมยุทธ์ที่สามารถทำให้ตะเกียงสว่างหกดวงขึ้นไปที่มีคุณสมบัติผ่านชั้นสี่..”

“ในอดีตอัจฉริยะส่วนใหญ่ถูกหยุดที่ชั้นนี้ ไม่ง่ายที่จะทำให้เกิดแสงตะเกียงหกดวง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็มีโอกาสสูงที่จะล้มเหลว”

“ใช่เลย ไม่รู้ว่าครั้งนี้ในห้าคนจะผ่านกันได้เท่าไร?”

“หานซันมีโอกาสสูง สำหรับคนอื่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการที่มี แม้ว่าจะใช้กำลังกายของตนเองล้วนๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่ เพราะสุดท้ายก็ใช้ได้เพียงหมัดเดียว มีวิชาลับบางอย่างที่สามารถเพิ่มขีดความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ชั่วคราว ข้าว่าแต่ละคนน่าจะเตรียมการณ์ไว้แล้ว”

“…”

เสียงซุบซิบดังสะท้อน เพราะถึงยังไงก็ยังมีบางคนที่มีสายตาแหลมคม ดังนั้นคำพูดก็สมเหตุสมผลดี

จิ่วโยวและมั่วหลิงแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นพวกนางก็มองเงาร่างทั้งสองในชั้นสี่ ชั้นนี้เป็นการแข่งขันความแข็งแกร่งของพลังกายล้วนๆ บางทีเมื่อมองจากพื้นผิวมู่เฉินอาจอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบเพราะเป็นมนุษย์ แต่หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงไม่มีใครคิดว่าร่างกายของเขาในฐานะมนุษย์จะอ่อนแอกว่าเทพอสูรแล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถทำนายผลลัพธ์ของการทดสอบนี้ได้

ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ข้างนอกกำลังคาดเดาจนหัวจะแตก จอมยุทธ์ทั้งห้าในชั้นสี่ก็ลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท