หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1013

ตอนที่ 1013

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1013 คายออกมา?
หมัดปีศาจเลื่อนลงมาใกล้

สนามรบที่กว้างใหญ่ก็แตกสลาย รอยแตกลึกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เสมือนฟ้าดินถูกทำลาย

ใต้หมัดร่างมู่เฉินกำจายด้วยแสงสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากท่อนแขนของเขา แสงสีทองก็พวยพุ่งออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวดลายทั้งสองแยกออกจากร่างมู่เฉิน พวกมันขยายตัวก่อร่างเป็นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ สร้างปราการแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดปกป้องมู่เฉินไว้ภายใน

มังกรและหงส์ฟ้าบินอยู่รอบตัว ทันใดนั้นพวกมันก็เปิดปาก แสงสีทองพร่างพราวเทลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินราวกับม่านน้ำตก

น้ำตกทองคำหลั่งไหลเข้าไปชำระล้างร่างมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองภายใต้การการชำระนี่ ซึ่งบรรจุไปด้วยเกียรติภูมิอันคลุมเครือ

นี่คือการชำระล้างจากแก่นบริสุทธิ์ของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งทรงพลังกว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มู่เฉินซึมซับก่อนหน้าเสียอีก!

ภายใต้การชำระล้างเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ร่างของมู่เฉินจะเริ่มมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง กระทั่งเลือดของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มีพลังชีวิตที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ มู่เฉินก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในร่างกาย คลื่นพลังงานที่ทำให้เขายังใจหวั่นพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อ ความรุนแรงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

มู่เฉินกำมือช้าๆ พลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาแทบจะคำรามขึ้นสู่ชั้นฟ้า เขารอนานเกินไปสำหรับความก้าวหน้าวันนี้

แสงสีทองพล่านในดวงตาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียวเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้!

ถ้ารวมกับคลื่นหลิงด้วยแล้ว มู่เฉินมั่นใจว่าภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดมีจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้

การปรับแต่งพลังกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนรอบตัว มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดโลหิตที่กดลงมา เมื่อมองพลังทำลายล้างที่บรรจุอยู่ภายในหมัด แววตาเขาก็วูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง…”

มู่เฉินพึมพำเบาๆ แล้วเรียกร่างมังกรและหงส์ฟ้ากลับมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงคลื่นหลิงกลับคืนทั้งหมด ถอนการป้องกันทุกอย่าง

เขายืนอยู่ใต้หมัดโดยไม่มีการป้องกันใด ปล่อยให้ซัดลงมาจังๆ

ราวกับว่ากำลังเรียกหาความตาย

ทว่าวินาทีก่อนที่จะบรรลุ มู่เฉินก็เข้าใจว่าการทดสอบชั้นห้าเกี่ยวกับเรื่องอะไร…

การทดสอบไม่ใช่ให้ต่อต้านหมัดราชันสงครามโลหิต นั่นเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าเมื่อไรที่หมัดพุ่งลงมา เขาก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

และไม่ว่าการทดสอบจะยากแค่ไหน ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ในการทดสอบนี้มู่เฉินมองไม่เห็นความสำเร็จใดๆ เลย

ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือนี่ไม่ใช่การทดสอบแท้จริง

การทดสอบของชั้นห้าเป็นอย่างอื่น

“หมัดปีศาจพลีชีพ…สละร่าง-สละชีวิต…ถ้าใครอยากจะสืบทอดก็จะต้องมีความกล้าหาญที่จะละทิ้งชีวิตของตน หากไม่มีความกล้าหาญก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนหมัดปีศาจนี้ได้”

ขณะที่กำปั้นกดทับลงมา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดทำลายล้างโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ

ตู้ม!

ในที่สุดหมัดปีศาจก็ทิ้งทุ่นไปบนร่างมู่เฉิน ทำเอาพื้นดินแตกร้าว คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกวาดหายนะรุนแรง ทั้งสวรรค์และโลถูกทำลาย …

ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่คนนอกเจดีย์เห็น หลังจากนั้นหน้าจอก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายไป

ด้านนอกเจดีย์เงียบกริบลง

จิ่วโยวมองไปที่หน้าจอที่จางหายไป ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที แม้ว่าพวกนางจะอยู่ภายนอกเจดีย์ก็ยังคงรู้สึกได้ว่าหมัดปีศาจพลีชีพน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีได้ ชัดว่าเขามีอันตรายเข้าแล้ว

จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็ส่ายหน้า บางคนรู้สึกสงสาร บางคนรู้สึกดีใจ พวกเขาทั้งหมดมีท่าทางที่แตกต่างกันเมื่อมองจิ่วโยว

หลิ่วชิงเผ่ากระเรียนฟ้าก็อึ้งกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อนางฟื้นจากอาการตกใจก็หันขวับไปมองจิ่วโยวด้วยสายตาสะใจ ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะโดดเด่นเพียงใด แต่การกระทำโง่เขลาครั้งสุดท้ายของเขาก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดล้มเหลว

ในเมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้าจะโดดเด่นแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร

บนพื้นดินใกล้กับเจดีย์ฝึกพลังกาย จงเถิง มั่วเฟิงและหานซันซึ่งก่อนหน้าเลือกที่จะยอมแพ้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสามมองหน้าจอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความอึ้งงัน ตอนท้ายสุดพวกเขาเหมือนเห็นร่างเงาของมู่เฉินถูกบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่น

มั่วเฟิงฉายสีหน้าน่าเกลียดและโกรธแค้น หากเขารู้ว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เขาน่าจะลากมู่เฉินออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเพราะด้วยนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องตาย ทำไมยังอยู่ในนั้นอย่างดื้อรั้น

หานซันมีสีหน้าซับซ้อนเมื่อมองเจดีย์ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความสงสาร

จงเถิงอึ้งงันไป คนที่ดึงเขาลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าตายเช่นนี้เนี่ยนะ?

หลังจากตะลึงงันไปพักหนึ่ง เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “งี่เง่าจริงๆ!”

ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินคงคิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสยิ่งใหญ่เหมือนที่แล้วมา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแพ้เนื่องจากความโลภที่มี แต่สุดท้ายใครจะไปคิดว่าหมัดของราชันสงครามโลหิตจะน่าสยดสยองเพียงนั้น แม้กระทั่งพวกเขายังเล็กเท่ามดไม่สามารถต้านทานอะไรได้

ทว่าไม่เพียงแต่เฉินมู่ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขายังบ้าระห่ำ เขาคิดว่าจะสามารถผ่านด่านได้ด้วยความเพียรพยายามเรอะ? โง่บรมโง่จริงๆ!

ทว่าขณะที่จงเถิงกำลังจะหัวเราะร่วน สายตาราวกับใบมีดเย็นเยียบก็กรีดแทงเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมีท่าทางเย็นชาอยู่ไม่ไกลนัก

“ข้าพูดผิดเหรอ?” เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของจิ่วโยว จงเถิงก็ยิ้มสบายๆ

ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอีก แม้ว่าจิ่วโยวและมั่วเฟิงจะต่อกรได้ยาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ บางทีเขาอาจจะบีบให้จิ่วโยวคืนของเหลวจื้อจุนล้านหยดที่มู่เฉินเอาไปจากเขาได้ด้วย

“ดูเหมือนว่าบทเรียนในเจดีย์จะยังไม่เพียงพอ ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าน่าสงสารแค่ไหนในตอนนั้น” จิ่วโยวพูดอย่างเย็นชา

เมื่อจิ่วโยวพูดจบ ทุกคนโดยรอบก็มองไปที่จงเถิงด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ชัดว่าต่างจำสภาพน่าสงสารของเขาได้

ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้มลง อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าถูกมนุษย์บีบให้มาอยู่ในสภาพน่าสังเวช ช่างน่าอัปยศ มิหนำซ้ำจิ่วโยวยังกรีดบาดแผลเพิ่มให้อีกต่างหาก

สายตามืดมนของจงเถิงมองไปที่จิ่วโยว คลื่นหลิงค่อยๆ รวมตัวกันรอบตัว จิ่วโยวก็ไม่น้อยหน้า นางจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชาขั้นสุด

ทั้งสองปลดปล่อยคลื่นหลิงเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่ากำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว

เมื่อสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้าเห็นก็รีบปรากฏตัวด้านหลังจงเถิง สายตาไม่เป็นมิตรจ้องไปที่จิ่วโยว

“หึ ดูเหมือนว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะสร้างความขุ่นเคืองกับคนไปทั่ว… แบบนี้เผ่าอีกาสายฟ้าของข้าขอร่วมด้วยสิ” ขณะที่พวกจิ่วโยวกำลังเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนฟ้า เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังกึกก้องจากลู่สุยที่นั่งนิ่งรักษาอาการบาดเจ็บ เขายืนขึ้นจ้องมองจิ่วโยวอย่างเย็นชา

เขาได้รับความอับอายหนักหนาตอนถูกบังคับให้ต้องออกจากเจดีย์ฝึกพลังกายโดยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็สาดความขุ่นเคืองทั้งหมดให้กับจิ่วโยว

เมื่อจิ่วโยวเห็นกลุ่มอีกาสายฟ้ากระโจนลงมาเล่นด้วย ใบหน้าของนางก็มืดครึ้ม สายตาเย็นเยือกลง

มั่วเฟิงและมั่วหลิงปรากฏตัวข้างจิ่วโยว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเพิ่มขึ้นรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมรบทุกเวลาแล้ว

“พอมู่เฉินไม่อยู่ พวกเจ้าก็มาอวดดีเลยรึ?” จิ่วโยวกวาดแสงเย็นใส่ลู่สุยและจงเถิงขณะที่เยาะเย้ย

จงเถิงยิ้มอ่อนพลางส่ายหัว “ก่อนหน้านี้แค่เพราะพวกเขาสองคนบีบข้า ถ้าสู้กันตัวต่อตัวมู่เฉินจะอยู่ในสายตาของข้าได้ยังไง? ที่จริงข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับเขาซะอีก ข้าจะได้ให้เขาคายของเหลวจื้อจุนที่ปล้นไปจากข้าออกมา!”

“จริงรึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ดวงตาของจิ่วโยวก็เปล่งประกาย ยิ้มเยาะเย้ยขึ้น

จงเถิงที่เห็นรอยยิ้มของจิ่วโยวก็รู้สึกไม่สบายใจได้แต่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “เจ้าคิดว่าไอ้บ้านั่นยังมีชีวิตอยู่เรอะ? ฝันไปเถอะ!

ใบหน้าของจิ่วโยวที่ซีดขาวในตอนแรกกลับคืนปกติแล้ว นางมองไปที่จงเถิงด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับพันธะโลหิตระหว่างข้ากับมู่เฉินใช่ไหม?”

จงเถิงหัวเราะ “เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้…”

เมื่อพูดขึ้น เขาก็นึกอะไรได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง หากจิ่วโยวและมู่เฉินสร้างพันธะโลหิตต่อกัน จิ่วโยวก็จะต้องถูกกระทบจากความตายของมู่เฉิน ทว่าตอนนี้แม้สายตาของนางจะเย็นชา แต่ก็ไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บอะไร

นั่นหมายความว่า…มู่เฉินยังไม่ตาย!

ทันทีที่ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป แสงเจิดจรัสก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ เมื่อแสงหายไปร่างเงาหนึ่งก็ยืนเงียบๆ บนแท่นหินนอกเจดีย์

ม่านตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องไปที่จงเถิงอย่างช้าๆ มุมโค้งเย็นเยือกยกขึ้นที่มุมปาก

“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน