หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1009

ตอนที่ 1009

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1009 ลอบโจมตี
ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างเงาของจงเถิงก็ทะยานออกมาราวกับลูกศรออกจากแล่ง พุ่งตรงไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรู จิตสังหารก็พวยพุ่ง

การเคลื่อนไหวฉับพลันของจงเถิง ทำให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วนกระจายที่ด้านนอกเจดีย์ ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วหลิงเปลี่ยนไปทันที แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั่นก็ยังบอกได้ว่ามู่เฉินหมดแรงแล้ว ตอนนี้เขาคงอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดที่เคยเป็นมา

หากจงเถิงต้องการฆ่ามู่เฉินในตอนนี้ เขาก็คือภัยคุกคามชิ้นใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“จงเถิง!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอดขณะที่ไอเย็นยะเยือกพล่านอยู่ในดวงตาราวกับจะตกผลึก

แต่ถึงแม้จะโกรธ จิ่วโยวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป นั่นเป็นเพราะมู่เฉินไม่ได้อยู่คนเดียวในชั้นสี่ ในฐานะสหาย แม้ว่ามั่วเฟิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้จงเถิงทำอันตรายมู่เฉินได้แน่

ตามที่จิ่วโยวคาดไว้ เมื่อจงเถิงขยับ ดวงตาของมั่วเฟิงก็มืดครึ้มลง พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจงเถิง คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมา ขณะจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชา

“ถอยไป หากแกก้าวมาอีกก้าวเดียว อย่าโทษที่ทำให้ข้าต้องจัดการ!” เสียงของมั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วน ดวงตาที่ราวกับใบมีดจ้องมองไปที่จงเถิง

ใบหน้าของจงเถิงมืดคล้ำพูดเสียงเย็นชาว่า “มั่วเฟิง มู่เฉินไม่ได้เป็นสมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เป็นเพียงมนุษย์ แกแน่ใจหรือที่ต้องการให้เป็นศัตรูกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพราะมัน?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดนั่นก็เผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ตอบอะไร มีเพียงสายตาคมกริบจ้องมองจงเถิงนิ่ง บรรยากาศร้อนระอุทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าถ้าก้าวไปอีกก้าวเดียว มั่วเฟิงก็จะเคลื่อนไหวทันที

เมื่อจงเถิงเห็นว่ามั่วเฟิงไม่ปล่อยแน่ จิตสังหารก็พล่านในดวงตา ก่อนที่จะหันไปมองหานซันซึ่งกำลังมองจากด้านข้างอย่างเย็นชา “พี่หานซัน เจ้าควรเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบสมรรถภาพพลังกายนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินในฐานะมนุษย์กลับมาคว้าโอกาสที่เป็นของเทพอสูรอย่างเราไป เจ้ายอมได้เหรอ?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของจงเถิงใบหน้าก็มืดครึ้มลง ถ้าเป็นจงเถิงคนเดียว เขายังสามารถขัดขวางได้ แต่ถ้าหานซันร่วมมือด้วยแล้วละก็ แม้แต่เขาก็ช่วยมู่เฉินไม่ไหว

พอหานซันได้ยินคำพูดของจงเถิงก็อึ้งไปก่อนจะหรี่ตาลงกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่คือเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเจ้า ทำไมต้องมาดึงข้าไปเกลือกกลั้วด้วย?”

“พี่หานไม่สนใจแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมเหรอ? หากเจ้าสามารถดูดซับได้ เจ้าจะอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะปะทะกับอัจฉริยะของเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกต่อไป” จงเถิงกล่าว

ดวงตาของหานซันเป็นประกายขึ้น เขามองไปที่แก่นโลหิตที่มู่เฉินดูดซับ ความโลภก็วูบไหวในดวงตา เขาบอกได้ชัดเจนว่าแก่นโลหิตที่มู่เฉินได้รับน่าตกใจเพียงใด

เหนือกว่าสิ่งที่เขาเคยได้รับมาก่อนมาก

ถ้าเขาสามารถดูดซับ สิ่งที่จงเถิงกล่าวว่าก็ไม่ผิด

เมื่อคิดเรื่องนี้ใบหน้าของหานซันก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ ชัดว่าใจเขาหวั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น หัวใจมั่วเฟิงก็อดดิ่งลงไม่ได้

ที่ด้านนอกเจดีย์ จิ่วโยวหดตามองหน้าจอแสง แม้ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จากท่าทางของจงเถิงและการตอบสนองของหานซันก็สามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จงเถิงต้องการจะทำ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เย็นเยียบลง ไอเย็นกระจายออกไปจากร่างกาย ชัดว่าโกรธเคืองมาก

ถ้าหานซันเข้ามายุ่งเกี่ยวในตอนนี้ก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อมู่เฉินแน่นอน

“จงเถิง แกสมควรตาย!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้ามั่วหลิงก็ฉายความกังวล ยามนี้มู่เฉินไม่เหลือพลังต่อสู้เลย ถ้าอาศัยกำลังของพี่ใหญ่นางคนเดียว คงไม่สามารถสกัดการโจมตีร่วมของจงเถิงและหานซันได้

ขณะนี้จอมยุทธ์จากเผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในชั้นสี่ ทันใดนั้นความโกลาหลก็กวนตัว บางคนรู้สึกสงสารมู่เฉินในสถานการณ์นี้ หรือว่าม้ามืดจะถูกสังหารหลังจากแตะจุดสูงสุดทันที?

ไม่ไกลนักลู่ซุยที่เพิ่งฟื้นตัวได้จากการปกป้องของพรรคพวกก็ลืมตาขึ้นมองไปที่หน้าจอแสงพลางเย้ยหยัน ‘มู่เฉิน ข้าจะดูสิว่าแกจะรักษาความหยิ่งไปได้สักแค่ไหน!’

รางวัลทั้งหมดที่มู่เฉินต่อสู้ด้วยความขมขื่นในไม่ช้าจะกลายเป็นของผู้อื่น!

ด้านนอกเจดีย์สายตานับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยความสุขในความทุกข์ของคนอื่นก็มองไปที่ภาพแสง

ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ดวงตาหานซันก็วูบไหวไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะยังไม่สามารถตัดสินใจได้

“พี่หาน เราจะลากเวลานานไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่มีส่วนแบ่งแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าให้เจ้าแล้วนะ” เมื่อเห็นหานซันหวั่นไหวจากคำพูดของเขา แต่ยังไม่แสดงการคลื่อนไหว จงเถิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นอีกครั้ง

หากปล่อยให้มู่เฉินฟื้นฟูและรวมพลังกับมั่วเฟิง ถึงตอนนั้นแม้จะมีหานซันมาช่วยเสริมก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แล้ว

พอได้ยินเสียงเร่งของจงเถิง หานซันก็ขมวดคิ้วมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาอย่างเงียบๆ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ห่อหุ้มร่างกายเขา ทำให้มีความลึกลับพล่านไปรอบตัว

หานซันมีประสบการณ์การสังหารนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการฝึกฝนหฤโหด ทำให้มีสัญชาตญาณฉับไว ครั้งนี้เขารู้สึกถึงรัศมีผิดแผกซึ่งมาจากมนุษย์หนุ่มคนนี้

นั่นคือความรู้สึกอันตรายที่กดเอาไว้จนสุด

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าถ้าตนเองเลือกที่จะจู่โจม เขาต้องจัดการมู่เฉินให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิฉะนั้นหากมู่เฉินหลบหนีไปได้ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาคงหาความสงบสุขไม่ได้

การคุกคามศัตรูที่อันตรายเช่นนี้เพื่อแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะคุ้มค่าไหม?

ดวงตาของหานซันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ทั้งจงเถิงและมั่วเฟิงหัวใจบีบรัดเพราะพวกเขารู้ว่าการตัดสินใจของหานซันจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันทันที

ความเงียบกินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ จากนั้นหานซันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่จงเถิงและมั่วเฟิงด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่ายหัว “แม้ว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะหายากยิ่ง แต่ข้าหานซันไม่มีชะตาที่จะได้เพลิดเพลินกับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอของเจ้า”

แม้ว่าความโลภจะกระตุ้นให้หานซันอยากได้แก่นโลหิตบริสุทธิ์นี้ แต่สุดท้ายสัญชาตญาณของเขาก็ชนะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร

ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำลงทันที

พอมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของหานซันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ใบหน้าที่เย็นชาเป็นนิจอ่อนโยนลงหลายส่วน เขาพยักหน้าให้หานซันเพื่อแสดงความขอบคุณ

“ในเมื่อพี่หานไม่สนใจสิ่งนี้ ข้าก็ขอถอยเช่นกัน พี่มั่วขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองใจ” หลังจากที่ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำไปอยู่ชั่วครู่ เขาก็ถอยฉากออกไป

สัมผัสได้ว่าจงเถิงถอนรัศมี หัวใจของมั่วเฟิงก็ผ่อนคลายลง

ตู้ม!

ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงผ่อนคลาย จิตสังหารก็ระเบิดจากดวงตาของจงเถิง เขาโจนตัวออกมาทิ้งภาพมายาขึ้นมามากมาย

“จงเถิง แกกล้ามาก!”

ความโกรธวาบขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิงพลางก้าวออกมา ร่างของเขากลายเป็นภาพซ้อนชกหมัดออกไป ทันใดนั้นหงส์ฟ้าก็แผดเสียงร้อง เปลวไฟสีแดงเพลิงกวาดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ทำลายภาพมายาของจงเถิงด้วยหมัดเดียว

ทันทีที่ภาพมายาแตกออกก็บีบให้จงเถิงต้องปรากฏตัว เขาพลิกฝ่ามือตบกลับไป เกลียวแสงสีทองพวยพุ่งด้วยความคมชัด ราวกับใบมีดนับหมื่นแสนพุ่งออกมา ประหนึ่งต้องการฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน

ปัง!

หมัดและฝ่ามือซัดกันเต็มเหนี่ยว คลื่นหลิงกระจายออกไป ทำให้มิติเกิดความผันผวน ทั้งสองคนตัวกระตุก ก่อนที่ภาพมายาของจงเถิงจะถูกทำลายกระจายกลายเป็นแสงสีทอง

มั่วเฟิงที่เหวี่ยงหมัดเข้าใส่จงเถิงก็ต้องดวงตาหดเกร็ง เพราะเขาเห็นแสงสีทองเจาะผ่านมิติในลักษณะที่ผิดปกติ ทะลุผ่านมิติเบื้องหน้าเขาและไปปรากฏที่เบื้องหลัง

“วิทยายุทธระดับเสินซู่กระเรียนปีกทองคำ มิติเคลื่อน?!”

ใบหน้ามั่วเฟิงมืดครึ้มลง ขณะที่ชกหมัดออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล คลื่นน่าสะพรึงกลัวจากพายุหมัด ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ ซัดใส่แสงสีทองที่ด้านหลังทันที

ฟิ้ว!

ทว่าแสงสีทองไม่สนใจการโจมตีของมั่วเฟิง ริ้วแสงแหลมคมพุ่งทะลุผ่านมิติตรงไปยังมู่เฉิน

ประกายแสงคมกล้าที่ทะลุทะลวงก็คือขนนกสีทองเข้ม ดูราวกับกระบี่เทพที่มีรังสีครอบงำอยู่

นั่นคือขนนกจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำที่ผ่านการปรับแต่งจากเผ่ากระเรียนฟ้า ความคมกริบเทียบได้กับอาวุธพบสรรค์สวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนเจ็ดทั่วไปก็จะถูกแทงทะลุ

เจตนาของจงเถิงชัดเจนมาก แม้ว่าเขาจะต้องเสี่ยงได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมั่วเฟิง เขาก็ต้องฆ่ามู่เฉินที่นี่ให้ได้

เมื่อขนนกทะลุมิติ ใบหน้าของมั่วเฟิงก็น่าเกลียดยิ่ง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสกัดจงเถิงไว้ได้ แต่ไม่สามารถหยุดขนนกที่บินเข้าไปหามู่เฉินได้แล้ว

ด้วยสภาพตอนนี้ของมู่เฉิน เขาอาจถูกฆ่าตายทันทีที่ขนนกสัมผัสตัว

ความผิดพลาดนี้ทำให้มั่วเฟิงเดือดดาลในใจ ความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าพวยพุ่งในใจ ดูท่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะปล่อยจงเถิงไปไม่ได้แล้ว

ฮึ่ม!

แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของขนนกได้ ดังนั้นแสงสีทองจึงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของพรรคพวก ขนนกเล็งไปทางด้านหลังศีรษะหมายจะยิงทะลุเข้าไป

ม้ามืดคนนี้กำลังจะตายที่นี่เหรอ?

เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็ต้องถอนหายใจด้วยความสงสาร

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง ไม่ว่าแกจะมีพรสวรรค์แค่ไหน วันนี้ก็ต้องตายที่นี่!

ทว่ารอยยิ้มที่เพิ่งผุดออกมาก็ชะงักค้าง!

นั่นเป็นเพราะขณะที่ขนนกกำลังจะทะลุผ่านหัว มู่เฉินที่นิ่งมาตลอดก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งคว้าขนนกไว้ ขณะที่แสงสีม่วงทองกะพริบบนมือ

ขนนกที่สามารถทะลุผ่านแนวป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ หยุดลงโดยมือเรียวบางของมู่เฉิน!

สีหน้าของจงเถิงค่อยๆ แข็งทื่อลง

เจ้าของมือก็เปิดตาที่วูบไหวด้วยแสงสีทองในเวลานี้ เขาค่อยๆ หันกลับมามองด้วยสายตาไม่แยแส

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท