หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1027

ตอนที่ 1027

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1027 กลลวง
ในป่าที่ถูกปกคลุมด้วยรัศมีความตาย

แสงมืดลงอย่างผิดปกติ รัศมีความตายสีเทาปิดบังวิสัยทัศน์และการสำรวจของคลื่นหลิง

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในป่าที่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังก้องเป็นครั้งคราว ทันใดนั้นเสียงลมแหวกอกากาศก็ดังขึ้น มองเห็นร่างหลายร่างพุ่งตัวผ่านไปอย่างเงียบเชียบ แต่ละคนว่องไว ปลายเท้าแตะเบาๆ บนกิ่งไม้ กระทั่งใบไม้ยังไม่ขยับพวกเขาก็ทะยานออกไปแล้ว

เงาเหล่านี้ก็คือกลุ่มมู่เฉินที่เข้ามาในป่า

พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านแนวป่า สายตากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ขณะมองพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย แม้ว่ารัศมีนี้จะสกัดกั้นประสาทการรับรู้ของคลื่นหลิง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงอสูรวิญญาณจำนวนมากที่อยู่ในป่า

“เราเข้าจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ตามที่แบ่งกันน่าจะมีอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างอยู่ที่นี่ สำหรับพวกต่ำกว่านี้น่าจะมีร้อยกว่าร่างได้” ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หานซันก็ส่งเสียงลับอธิบายรายละเอียดให้กลุ่มมู่เฉินฟัง

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็หดเกร็ง อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างบวกกับระดับต่ำนับร้อยร่าง การรวมตัวแบบนี้ กระทั่งพวกเขาก็ต้องหวาดหวั่น แต่โชคดีที่วิญญาณเหล่านี้ไม่มีจิตสำนึก มิฉะนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังต้องหลีกเลี่ยง

“เดี๋ยวพวกเราสี่คนจะจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างนั้น มั่วหลิงกับคนอื่นไปสกัดอสูรวิญญาณขั้นต่ำเอาไว้ เราต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะทนได้ไม่นาน”

มู่เฉิน จิ่วโยวและมั่วเฟิงพยักหน้า แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนจากเผ่าแรดอสูร แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นความยากลำบากก็สูงมากเช่นกัน

“เตรียมพร้อม เรากำลังใกล้เข้ารังของพวกมันแล้ว” หลังจากอธิบายแผน หานซันก็คำรามเสียงต่ำออกมา

คนอื่นร่างกายเกร็งเครียดขึ้นทันที จากนั้นก็รู้สึกถึงรัศมีความตายโดยรอบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในป่ามืดมิดที่ไกลออกไป มีร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากวูบวาบราวกับภูตผี

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่นี้ ร่างเงาสีเทาซีดเหล่านี้ก็เอี้ยวมามองทันที อึดใจต่อมาเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ดังก้องในป่าแห่งนี้

ปัง! ปัง!

ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาอย่างไม่สิ้นสุดจากความมืดพร้อมกับปลดปล่อยรัศมีความตายอันหนาวเหน็บขณะที่พุ่งเข้าหาพวกมู่เฉิน

หานซัน จิ่วโยว มู่เฉินและมั่วเฟิงทะยานตัวออกไปปรากฏตัวเบื้องหน้า ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็กวาดออก ความน่าสะพรึงกลัวของริ้วคลื่นพุ่งพรวดออกมา

ตึง! ตึง!

เกลียวคลื่นพลังแหลมคมทะลุผ่านหัวของอสูรวิญญาณสิบกว่าร่างจนระเบิดเปรี้ยง จากนั้นทั้งกลุ่มก็ทะยานผ่านดงอสูรวิญญาณ พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกอย่างรวดเร็ว

ครืน!

คลื่นหลิงรุนแรงพลุ่งพล่านออกมาจากแนวป่าความตายไม่สิ้นสุด อสูรวิญญาณดุร้ายที่ขัดขวางเบื้องหน้าถูกพวกมู่เฉินซัดกระเด็นกลับไปไม่หยุด ทว่าก็ยังมีอสูรวิญญาณล้อมเข้ามาจากรอบข้างอยู่เรื่อย

ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึก ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่าง ตราบใดที่พวกเขาจัดการพวกมันได้ พวกเขาก็จะมีพลังมาจัดการกับอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลได้

“หานทง พวกเจ้ารั้งท้ายไว้!”

หานซันมองรัศมีความตายข้างหน้าที่พวยพุ่งเข้มข้นขึ้นก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ว่าพวกเขาเริ่มเข้าสู่ป่าลึกแล้ว นอกจากนี้ยังเริ่มรู้สึกถึงความผันผวนอันตรายที่มาจากระยะไกล

นั่นน่าจะเป็นพื้นที่ที่อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่

“ตกลง!”

จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรพยักหน้า จากนั้นก็ฉีกตัวออกจากกลุ่ม คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกมา ภาพร่างขนาดใหญ่ของแรดอสูรปรากฏขึ้นดึงดูดความสนใจอสูรวิญญาณกลุ่มใหญ่ไว้

“มั่วหลิงไปช่วยพวกเขา ระวังตัวด้วยนะ” มั่วเฟิงบอกเสียงต่ำ

“เจ้าค่ะ!”

มั่วหลิงตอบรับน้ำเสียงสดใสจากนั้นก็ทะยานไปด้านหลัง เพลิงสีแดงเชี่ยวกรากกระหน่ำออกจากร่างเล็กกระทัดรัด ทำให้อุณหภูมิโดยรอบร้อนแรงขึ้น แม้แต่อากาศก็เริ่มลุกไหม้

เมื่อมีมั่วหลิงและจอมยุทธ์สี่คนรั้งท้าย ทั้งสี่คนก็รู้สึกสงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เพิ่มความเร็ว พุ่งเข้าไปในรัศมีความตายที่หนาแน่น

เบื้องหลังรัศมีความตายคือบริเวณที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ซึ่งมีต้นไม้สีเทาซีดกระจายออกไปทำให้เงาปกคลุมบนพื้นดิน ภายในเงามืดมีสายตาเย็นชาเล็งไปยังทั้งสี่ที่เป็นเป้าหมาย ร่างเหล่านั้นสั่นไหวจากนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มมู่เฉิน

นี่เป็นร่างสีดำทั้งหกมีร่างกายที่ดูเหมือนทำจากโลหะสีดำดูแข็งแกร่งมาก สิ่งนี้เกิดจากร่างกายที่แห้งกรังและสูญเสียพลังชีวิตถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตาย

รัศมีความตายที่ล้อมรอบร่างเหล่านั้น ทรงพลังกว่าอสูรวิญญาณธรรมดาเสียอีก

“อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างจริงด้วย…”

มู่เฉินมองไปที่อสูรวิญญาณดำทะมึนก็พึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อพูดจบม่านตาก็หดเกร็ง “ไม่ใช่!”

ปัง!

ทันทีที่มู่เฉินสัมผัสได้ พื้นดินที่ด้านหลังก็ระเบิดออก ร่างดำทะมึนสองร่างค่อยๆ คลานขึ้นมาจากบนพื้นอย่างช้าๆ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายดุร้าย นี่คืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกสองร่าง

ตอนนี้พวกมันมีทั้งหมดแปดร่างแล้ว

เมื่อหานซันมองเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็ไม่น่าดู ดูท่าจำนวนอสูรวิญญาณที่นี่จะไปเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้

“เป็นปัญหาซะจริง”

หานซันยิ้มขมขื่น แปดอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการจัดการ เพราะในแง่พลังการต่อสู้ อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์อย่างลู่สุยเลย

“จัดการคนละสองตัว ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” มู่เฉินขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

“ตกลง!”

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบ่นน้อยใจโชคชะตา ทุกคนพยักหน้าทะยานออกไปทันที ต่างส่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขตห่อหุ้มคู่ต่อสู้สองร่างของตนเอาไว้

มู่เฉินทะยานออกไปเช่นกัน เป้าหมายก็คืออสูรวิญญาณสองร่างที่มาจากด้านหลัง

โฮก!

อสูรวิญญาณสองร่างคำรามลั่น รัศมีความตายผันผวน ห่อหุ้มกระดูกกรงเล็บที่แหลมคม พวกมันตวัดมือไปที่หน้าอกของมู่เฉินปานสายฟ้าแลบ กรงเล็บที่แหลมคมฉีกขาดมิติเลยทีเดียว

เคร้ง!

แขนของมู่เฉินยกขึ้นสกัดการโจมตีของพวกมันเอาไว้เต็มกำลัง ประกายไฟบินว่อนอยู่บนลำแขน ทว่ากรงเล็บกระดูกที่มีรัศมีความตายทิ้งเพียงรอยแผลขาวไว้บนแขนเขาเท่านั้น

ตู้มมมม!

โดยไม่มีปฏิกิริยาใด กำปั้นมู่เฉินก็เหวี่ยงออกไปตามด้วยแสงสีทอง กระแทกไปที่หน้าอกของอสูรวิญญาณ เสียงกระหึ่มดังขึ้น ทันใดนั้นอสูรวิญญาณก็กระเด็นกลับไป หน้าอกทรุดลง

ทว่าความทนทานในการรับมือของอสูรวิญญาณเกินความคาดหมายของมู่เฉิน ทันทีที่ร่างมันสัมผัสกับพื้นก็ดันตัวขึ้นมา ไม่สนใจหน้าอกที่ยุบลงพุ่งเข้ามาหามู่เฉินอีกครั้ง

“ทนถึกอะไรเช่นนี้”

สายตามู่เฉินวูบไหวกับภาพเบื้องหน้า ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาเผชิญหน้ากับหมัดของเขา คงเลือดตกยางออกไปนานแล้ว แต่อสูรวิญญาณตัวนี้กลับยังกระโดดโลดเต้นได้

ปัง! ปัง!

อสูรวิญญาณทั้งสองพุ่งออกมาโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว ภายใต้รัศมีความตาย แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยกลับไปหลายก้าว ทว่าเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว วิชากายามังกรหงส์ถูกเร้าออกมา แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออก ชุดหมัดหนักเหวี่ยงออกไปทำให้อสูรวิญญาณทั้งสองต้องถอยกลับไม่หยุด ร่างกายพวกมันยุบลงอยู่เรื่อย หากไม่ใช่ร่างไร้ชีวิต พวกมันได้รับบาดเจ็บหนักไปนานแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ก่อนที่จะถูกมู่เฉินทำลายสิ้นซาก

ขณะที่สถานการณ์ของมู่เฉินดีขึ้น หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็จับจุดคู่ต่อสู้ได้ พวกเขาเริ่มได้เปรียบขึ้นมา

ที่ด้านหลังกลุ่มมั่วหลิงก็งัดทุกกลยุทธ์เท่าที่จะทำได้เพื่อขัดขวางอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะยากไปสักหน่อย แต่เนื่องจากวิญญาณเหล่านั้นไม่มีสติปัญญา พวกเขาจึงยังสามารถลากเวลาต่อไป

ดังนั้นเมื่อตัดสินจากพื้นผิว โดยรวมก็อยู่ในการคาดการณ์ของหานซัน ตราบใดที่พวกเขาลากเวลาได้อีกนิดก็จะสามารถจัดการกับปัญหาทั้งหมดได้

ปัง!

ในซากกองหิน หินก้อนใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามู่เฉินแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงสีทองส่องประกายในดวงตา เขามองเห็นจุดอ่อนในร่างอสูรวิญญาณตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มือกำแน่น กระบี่ขนนกสีทองก็ปรากฏขึ้น แสงสีทองแล่นแปลบปลาบ ก่อนที่หัวของอสูรวิญญาณนั้นจะถูกหั่นออกจากกัน

ตู้มมมม!

เมื่อจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดร่างหนึ่งได้ แรงกดดันของมู่เฉินก็ลดลง การโจมตีก็รุนแรงขึ้น เขาบีบอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกร่างจนไม่อาจต่อต้านได้

จิ่วโยว หานซันและมั่วเฟิงก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวในทิศทางของมู่เฉิน จิตวิญญาณต่อสู้ลุกโชนตราบใดที่มู่เฉินเป็นอิสระ พวกเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว

และเส้นทางของพวกเขาก็ไม่เป็นอันตรายใดอีกต่อไป

ทว่าขณะที่พวกเขารู้สึกโล่งใจก็รับรู้ถึงพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่าอสูรนับหมื่นกำลังวิ่ง

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินอึ้งไป ก่อนที่จะหันไปมองทางซ้ายและขวาของป่า ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีรัศมีความตายมหาศาลกำลังไหลบ่ามาจากทั้งสองด้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากอสูรวิญญาณจำนวนมากมาย มิหนำซ้ำยังมองเห็นร่างดำทะมึนบางส่วนในหมู่พวกมัน นั่นคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด!

“มีอสูรวิญญาณมาจากทิศทางนั้น!”

ที่ด้านหลังสีหน้าจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรเปลี่ยนแปลงรุนแรง รีบคำรามเตือน

ตู้ม!

แสงสีทองพุ่งขึ้น มู่เฉินเหวี่ยงกำปั้นระเบิดหัวอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตรงหน้า ก่อนที่จะมองไปที่ทิศทางทั้งสองด้วยสีหน้ามืดมน

ใบหน้าของหานซันก็เขียวคล้ำขณะกัดฟัน “นั่นมันทิศทางของเผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะ! ไอ้พวกโง่นั่นทำอะไรกัน?”

จิ่วโยวเค้นเสียงเย็น “จะทำอะไรได้อีก? ก็ไล่เสือไปกินหมาป่าไง”

สายตาของหานซันเย็นชาลง นั่นก็หมายความว่าเผ่าหมาป่าเวหะได้ผิดสัญญากับพวกเขา หันไปจับมือร่วมมือกับเผ่าราชสีห์ทองคำแล้ว

จากสถานการณ์ปัจจุบันทั้งสองเผ่าตั้งใจที่จะผลักดันอสูรวิญญาณมายังทิศทางของพวกเขา เพื่อฝังกลบพวกเขาอย่างสมบูรณ์

คราวนี้เขาถูกกลลวงกลุ่มหมาป่าเวหะแล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท