หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1038

ตอนที่ 1038

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1038 เนตรดับชีวิต
ใจกลางสายธารที่สร้างจากอาวุธโบราณนับหมื่นชิ้น

ลูกแสงสามลูกลอยตัวอย่างเงียบเชียบ แสงที่กำจายออกมานั้นไม่ได้ทรงพลังอะไร แต่รอบข้างกลับมัวหมองเมื่อเทียบกัน

ภายในลูกแสงทั้งสามมีของได้แก่ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก

ขวานเป็นสีทองแดงปกคลุมไปด้วยรอยกระดำกระด่างราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยแยกท้องฟ้าออกด้วยพลังอันไร้ขอบเขต

ไม้บรรทัดเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินแสงจากฟ้าดินได้เพียงโบกลงมา

กระจกเป็นกระจกโบราณที่มีพื้นผิวขรุขระดูค่อนข้างธรรมดา ซ้ำยังเปล่งรัศมีเก่าแก่ของยุคแรกเริ่มและสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่เปล่งออกมา

วัตถุทั้งสามล้วนทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ความผันผวนที่ปล่อยออกมาเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและก้าวเข้าสู่อาวุธเสมือนมหสวรรค์

นี่คือสมบัติที่มู่เฉินเฝ้าฝันอยากได้ หากเขาสามารถได้รับหนึ่งในนั้น พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้จิงฉิงเทียนเขาก็สามารถฆ่าได้อย่างสบายๆ

มู่เฉินจ้องมองอาวุธทั้งสามด้วยแววตาลุกโชนพลางเลียริมฝีปาก ความโลภเพิ่มขึ้นในใจอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เขาสามารถไขว่คว้ามาไว้ในมือ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่อาจทำให้จิตใจสงบลงได้

สายตาของมู่เฉินร้อนแรงขึ้น จากนั้นก็ก้าวออกไป คลื่นหลิงพวยพุ่งกลายเป็นมือใหญ่ฉีกขาดมิติคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามไว้ในทันที ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว

ฟิ้ว!

มือคลื่นหลิงขนาดใหญ่พุ่งผ่านขอบฟ้าเข้าสู่สายธารอาวุธได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเตรียมที่จะคว้าเอาไว้

มือแหวกตรงเข้าไป แต่ขณะที่มู่เฉินจะสัมผัสกับวัตถุทรงพลังทั้งสามชิ้น ดวงตาเขาก็เปล่งประกายวูบไหว เขาได้สติรีบกัดลิ้นแรงๆ พ่นเลือดออกมากบปาก

ริ้วเลือดไหลอยู่ที่มุมปาก มือคลื่นหลิงก็ชะงักค้างโดยไม่ได้สัมผัสกับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ลอยอยู่เงียบๆ

มู่เฉินเช็ดเลือดออกช้าๆ สีหน้าไม่น่าดูลงหลายส่วน เมื่อครู่ขณะที่เขากำลังจะคว้าอาวุธเทพทั้งสามชิ้น ด้วยนิสัยหวาดระแวงและดื้อรั้นของเขาที่ผ่านการฝึกฝนมาตลอดหลายปีก็แสดงให้เห็นผล ทำให้เขาควบคุมความโลภหนาแน่นในหัวใจได้

เมื่อความโลภจางลง มู่เฉินก็สติกระจ่างแจ้งและเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นั่นเป็นเพราะทุกอย่างราบรื่นเกินไป

แม้ว่าเขากำลังจะคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสาม แต่ก็ไม่มีสิ่งกีดขวางใดแม้แต่น้อย แม้ว่าอสูรโบราณโภคะตายไปแล้ว มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าสัตว์เทพเช่นนี้ไม่ได้ทิ้งวิธีการปกป้องสมบัติไว้

เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะขี้เหนียวมากกับสมบัติที่มี ดังนั้นถ้าเขาคิดว่าสามารถรับสมบัติโดยไม่ต้องกังวลอะไร ก็คงต้องได้รับผลจากการกระทำของตนเอง

นอกจากนี้เมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้ มู่เฉินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่ความโลภจะพุ่งมาหล่อเลี้ยงหัวใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจ แต่ได้รับผลกระทบจากวิธีการบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

วิธีการเหล่านั้นอาจถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ ถ้าเขาทำตามที่ใจปรารถนาโดยการคว้าสมบัติมา ความพยายามทั้งหมดของเขาก็อาจจะสูญเปล่า

มู่เฉินยืนเงียบขณะไตร่ตรอง ครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะนั่งลงและค่อยๆ หลับตา

เขาไม่ได้พยายามที่จะคว้าสมบัติอีกครั้ง เขาตั้งใจที่จะสงบจิตใจละทิ้งการล่อลวงของความโลภ

เมื่อมู่เฉินหลับตาจิตใจก็ค่อยๆ สงบลง ความโลภที่พล่านอยู่ในหว่างคิ้วก็จางหายไป หัวใจของเขาเริ่มสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ

เวลาไหลผ่านไปเงียบๆ

ไม่รู้เมื่อไร มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ม่านตาสะท้อนความสงบนิ่ง ราวกับสระน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวน ความโลภก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์

มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธพบสวรรค์อีกครั้งด้วยใจสงบ แต่คราวนี้สิ่งที่เห็นแตกต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง

สายธารพร่างพราวกำลังหายไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้าเป็นภาพลวงตา

มู่เฉินเฝ้าดูสายธารอาวุธล้ำค่าหายไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกเสียใจอะไร

สุดท้ายสายธารก็อันตรธานหายไปจนหมด

เมื่อสายธารหายไปก็เหลือเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพื้นที่นี้

แต่มู่เฉินก็มองไปโดยไม่ทำอะไร ไม่มีระลอกคลื่นในดวงตาสักนิด

ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามจะเคลื่อนไหวในที่สุด แสงเบ่งบานจากพวกมัน จากนั้นอาวุธทั้งสามก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ ระลอกคลื่นก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่เบื้องหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา พวกมันมีอยู่จริง แต่เพราะการเลือกของเขา ทำให้กลอุบายที่ถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะเปลี่ยนไป

มู่เฉินอยากรู้อย่างมากในใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

เมื่ออาวุธรวมเข้าด้วยกัน แสงก็บิดเบี้ยวก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป วัตถุชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น

นี่ไม่ใช่ขวาน ไม้บรรทัดหรือกระจก แต่เป็นลูกปัดสีดำขนาดฝ่ามือ แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าลูกปัดนี้คล้ายกับดวงตาสีดำ…

ดวงตาสีดำลอยอยู่ในอากาศเปล่งความลึกลับที่ทำให้หัวใจของผู้คนเย็นเยือกลง

ฟิ้ว!

เมื่อดวงตาสีดำปรากฏขึ้นก็ลอยมาอย่างช้าๆ แล้วหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับเอาไว้

ความรู้สึกเย็นเยือกกระจายออกจากฝ่ามือก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดนิ้วหยดเลือดลงไป เลือดกลั่นแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็วในลูกตาสีดำ อึดใจเขาก็รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับอาวุธชิ้นนี้

อาวุธนี้ไม่มีผู้ครอบครองหลังจากที่อสูรโบราณโภคะเสียชีวิต ตราบใดที่เขารับได้ก็จะสามารถผูกไว้กับตัวโดยผ่านร่องรอยเลือด

เมื่อสร้างการเชื่อมโยงกัน มู่เฉินก็รู้สึกถึงข้อมูลโบราณที่ไหลเข้ามาในสมอง ซึ่งอธิบายที่มาที่ไปของวัตถุนี้

มู่เฉินหลับตาลงรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะเปิดขึ้นในไม่ช้า ความฉงนสนเท่ห์อัดแน่นในดวงตาเมื่อมองไปที่ดวงตาสีดำ อาวุธชิ้นนี้ถูกเรียกว่า ‘เนตรดับชีวิต’ ซึ่งว่ากันว่าใช้ดวงตาของอสูรโภคะเป็นวัสดุพื้นฐานและได้เพิ่มสมบัติธรรมชาติอีกมากมาย ในมุมมองหนึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติชีวิตของอสูรโบราณโภคะเลยทีเดียว

ถ้าไม่ใช่เพราะอสูรโบราณโภคะตายก่อนเวลาอันควร มันคงจะปรับแต่งอาวุธนี้ให้เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้

แต่ถึงกระนั้นเนตรดับชีวิตก็ยังถือเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่อสูรโบราณโภคะได้สร้างขึ้น

“เป็นเช่นนี้เอง…”

มู่เฉินรับรู้ข้อมูลในหัวสมองก็เข้าใจทันที หากก่อนหน้าเขาพยายามจะคว้าอาวุธทั้งสามชิ้นไป ตอนนี้เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย

ทุกคนที่มาที่นี่มีโอกาสในการเลือก หากพวกเขาเลือกที่จะรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมตั้งแต่เริ่มต้น เส้นทางในการค้นหาสมบัติของเขาก็จะจบลง

มู่เฉินชื่นชมยินดีในหัวใจ โชคดีที่เขาไม่ได้โลภมากเลือกรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแล้วถูกเตะโด่งออกไป ไม่งั้นเขาคงเสียใจจนบ้าไปแล้ว

“ถ้าเมื่อครู่ข้าเลือกหนึ่งในสามนั้น…แม้ว่าข้าจะได้รับสิ่งนั้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตนี้…”

มู่เฉินถอนหายใจ หากใครต้องการได้รับเนตรดับชีวิต พวกเขาก็ต้องละทิ้งความโลภจนหมดสิ้น ถ้าเขาไม่สะกิดใจว่าทุกอย่างดูง่ายไป เลือกที่จะทำให้จิตใจสงบลง ตอนนี้เขาก็คงไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตมา

“อสูรโภคะเจ้าเล่ห์จริงๆ…” มู่เฉินส่ายหัว หากไม่ใช่โชคดี ครั้งนี้เขาคงถูกเจ้าอสูรตัวนี้หลอกเข้าแล้ว

แต่โชคดีที่เขาอดทนได้จนถึงวินาทีสุดท้าย

ยกเนตรดับชีวิตในมือขึ้น รอยยิ้มพอใจก็ปรากฏบนใบหน้า แม้ว่าเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่พลังอำนาจไปไกลเกินกว่าระดับธรรมดา ถ้าเขามีโชคมากพอก็อาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้

“ว่ากันว่าเนตรดับชีวิตนี้สามารถมองผ่านภาพลวงตาและปราการกั้นต่างๆ ได้… นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งแสงเทพดับชีวิตซึ่งเป็นพลังครอบงำและทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง”

มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับเร้าคลื่นจิต เขาอ้าปาก เนตรดับชีวิตก็กลายเป็นจุดสีดำเคลื่อนเข้าไปสถิตในร่างกายเขา จากนั้นแสงสีดำมืดก็รวมตัวกันที่หน้าผากขณะที่ตาสีดำสนิทเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ในแนวตั้ง

แสงสีดำกำจายอยู่ในดวงตาสีดำส่องประกายวูบไหว ทันใดนั้นมู่เฉินก็พบว่าภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามองทะลุผ่านมิติเห็นทะเลสาบตัวเป่าขนาดใหญ่

แต่ครั้งนี้ปราการของทะเลสาบไม่มีอีกต่อไป สายตาของเขาทะลุผ่านทะเลสาบ เห็นทุกสิ่งในทะเลสาบอยู่ในสายตา

โครงกระดูกขนาดมหึมาก็สามารถมองได้ทั่วในครั้งเดียว

นั่นคือโครงกระดูกของอสูรโบราณโภคะ

บนกระดูกที่เผยออกมาจากน้ำในทะเลสาบ เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนออก เพียงแวบเดียวเขาก็ได้เห็นส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ

มีปากปล่องภูเขาขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่ที่ความลึกของทะเลสาบคล้ายกับหุบเหว เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งไว้โดยผลจากการละสังขารของอสูรโบราณโภคะ เมื่อกวาดสายตาไปหัวใจของเขาก็วิ่งพล่านไปทั่ว

เนตรดับชีวิตมองผ่านทุกสิ่งก่อนรวมตัวกันในสถานที่หนึ่งของโครงกระดูกที่ร่วงหล่น เมื่อพิจารณาจากรูปร่างน่าจะเป็นส่วนหัว ยามนี้มองเห็นปากปล่องสีดำกว้างร้อยจั้งอยู่ใต้หัวนั่น

ภาพปากปล่องดำมืดที่เผยออกมา ทำให้จิตใจของคนมองเย็นเยือกลง ไม่มีแสงสว่างใดๆ ในนั้น มีเพียงริ้วแสงสีเลือดสลัวรางที่ห่อหุ้มอยู่เท่านั้น กลิ่นอายช่างคล้ายคลึงกับอสูรโบราณโภคะยิ่งนัก

“แก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะอยู่ในนั้นเหรอ?”

หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน แสงกำจายออกมาจากเนตรดับชีวิตพยายามตรวจสอบหลุมดำ แต่ทันทีที่สายตาของเขาสัมผัสกับมัน ริ้วแสงเลือดก็เปล่งประกายออกมา วิสัยทัศน์การมองของเขาแตกกระจาย

ในมิติมู่เฉินลืมตาโพลง ก่อนที่ดวงตาบนหน้าผากจะหายไป ความเคร่งเครียดและหวาดผวาปกคลุมทั่วใบหน้า

หลุมดำที่อยู่ก้นทะเลสาบคืออะไรกัน?

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท