หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1018

ตอนที่ 1018

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1018 ตลาดเสรี
ในถ้ำ

รัศมีสังหารรุนแรงแฝงด้วยความโหดเหี้ยมไม่สิ้นสุดเกิดขึ้นในใจของมู่เฉินแล้วพุ่งใส่ร่างดวงจิตของมู่เฉินไม่หยุดยั้ง ทำให้ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีแดง

ราวกับว่ามีไอกระหายเลือดพุ่งขึ้นจากหัวใจ

เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ มู่เฉินก็ตัดสินใจรีบหยุดการสัมผัสทันที ดวงตาของเขาเปิดโพลงพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด

หมัดปีศาจพลีชีพน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เพียงแค่ฝึกก็จะได้รับผลกระทบจากความกระหายเลือดแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้กังวลอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากวิทยายุทธระดับเสินทงสามารถฝึกสำเร็จได้ง่าย ก็ไม่ควรถูกเรียกว่าคัมภีร์มหาเทพแล้ว

“ตอนนี้ข้าต้องสัมผัสความกระหายเลือดทุกวันจนกว่าจะคุ้นชินและสามารถควบคุมได้ ถึงจะเริ่มฝึกฝนได้” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง

หากเขาต้องการใช้หมัดปีศาจพลีชีพ ก็ต้องทำให้จิตวิญาณจมจ่มอยู่ในความกระหายเลือด มีเพียงรัศมีที่ลืมความตายเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังหมัดนี้ได้อย่างแท้จริง

แต่ถึงแม้ว่าวิธีการฝึกฝนหมัดนี้จะยากมาก แต่มู่เฉินก็ยังแอบดีใจอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะได้รับเพียงกระบวนท่าแรก แต่หมัดนี้ก็จะกลายเป็นไพ่ตายใบสำคัญหากเขาสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดระงับความปีติยินดีในใจ จากนั้นก็สงบจิตใจก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิสังหาร อีกครั้ง ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องทำความเข้าใจรัศมีสังหารที่โหดร้ายและพยายามคุ้นชินกับมันโดยเร็วที่สุด

นั่นเป็นเพราะเขาตั้งตารอวันที่สามารถปลดปล่อยหมัดปีศาจพลีชีพและดูว่ามันจะน่าตกใจแค่ไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ทันทีที่ความมืดเพิ่งจะบอกลา ทุกคนก็ออกจากสมาธิ หลังจากเก็บข้าวของพวกเขาก็เดินทางกันอีกครั้ง

ภายใต้การเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เริ่มตระหนักถึงความกว้างใหญ่ของดินแดนเสินโซ่ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหุบเหวลึก เมื่อมองจากมุมสูงก็จะพบว่าเหวลึกเกิดจากการฉีกขาดโดยฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งนั้น ฉากนี้ราวกับว่าผืนดินทั้งผืนแตกออกจากกัน

ภาพเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ว่าเป็นหายนะแค่ไหนในยามที่เผ่าปีศาจต่างมิติเปิดการโจมตีแบบไม่ยั้งใส่ดินแดนเสินโซ่ในยุคโบราณ…

สำหรับเหวลึกเหล่านี้แม้บางพื้นที่จะมีรัศมีสมบัติ แต่พวกมู่เฉินก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป เพราะแม้ว่าจะผ่านไปนับหมื่นปี รัศมีปีศาจก็ยังคงอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นรัศมีที่ไม่เข้ากับคลื่นหลิงในฟ้าดิน หากพวกเขาเข้าไปข้างในมีความเป็นไปได้ที่คลื่นหลิงในร่างกายจะหมดลงอย่างรวดเร็วและถูกรัศมีปีศาจเข้าบุกรุกทำร้ายล้างวิญญาณ

ระหว่าทางพวกเขาก็พบคนเผ่าอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อคนเหล่านั้นเห็นการรวมตัวของกลุ่มมู่เฉินก็รีบถอยอย่างมีชั้นเชิง

เพราะตัดสินจากรูปลักษณ์กลุ่มพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคน ส่วนอีกสามคนนอกจากมั่วหลิงที่ดูบอบบางแล้ว อีกสองคนก็ดูจัดการยาก ดังนั้นนี่จึงทำให้หัวใจของกลุ่มเหล่านั้นสลายเจตนาไม่ดีลง ทำให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่นขึ้น

ดังนั้นภายใต้การเดินทางในกลางวันและทำความเข้าใจกับรัศมีกระหายเลือดของหมัดปีศาจพลีชีพในกลางคืน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวันที่สามกลุ่มมู่เฉินก็พบว่ามีความผันผวนของคลื่นหลิงปรากฏมากขึ้น นอกจากนี้ยังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

ภาพนี้ทำให้มู่เฉินรู้ว่าพวกเขาน่าจะใกล้ถึงตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว

ขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจมู่เฉิน ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปิดกว้างขึ้นทันที จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเนินเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในระยะไกล ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่บนนั้นบ้าง คลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนกระจายออกจากที่นั่น

ในฟ้าดินโดยรอบก็มีร่างแสงพลิ้วลงในสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่เรื่อยๆ

ชัดว่าพื้นที่บริเวณน่าจะเป็นตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว

“เรามาถึงแล้ว”

หานซันพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับกลุ่มมู่เฉินว่า “เมื่อเราเข้าตลาดเสรีก็แยกกันหาซื้อสิ่งของที่สามารถช่วยต่อต้านรัศมีความตายเพื่อง่ายสำหรับพวกเราที่จะเข้าไปในสุสานหมื่นอสูร ในมือพวกเจ้าก็มีรายการวัตถุอยู่ ถ้าเจอก็ซื้อเอาไว้ ของเหล่านั้นยิ่งเยอะยิ่งดี”

“ตกลง” มู่เฉินพยักหน้าหลังจากได้ยิน

ฟิ้ว!

จากนั้นร่างแสงหลายร่างก็พุ่งทะลุขอบฟ้าพลิ้วลงในเขตนอกของตลาดเสรีอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตนอกตลาดเสรี ความตื่นตะลึงก็วูบไหวในดวงตามู่เฉิน ขนาดความเฟื่องฟูที่นี่เกินความคาดหมายของเขา ตามการคาดการณ์น่าจะมีคนไม่น้อยกว่าพันคนที่อยู่ในตลาดเสรี

พวกเขาเข้าสู่ตลาดตามคลื่นฝูงชน ก่อนที่พวกหานซันจะเดินแยกไปอีกทาง

มั่วหลิงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเผยท่าทางของหญิงสาวที่ชื่นชอบสถานที่จับจ่ายใช้สอย เมื่อพรรคพวกมองเห็นก็ได้แต่ยิ้ม ยังไงพวกเขาก็ตั้งใจมาหาสมบัติอยู่แล้ว ดังนั้นการเดินตามหลังนางไปเดินดูข้าวของไปรอบๆ ก็ไม่เสียหายอะไร

ตลาดเสรีกว้างใหญ่ มีหินก้อนโตโดยรอบก่อตัวเป็นรูปแบบต่างๆ บางคนนั่งอยู่บนหินตามสองข้างทาง ที่มีต้นไม้หินหนาแน่นอยู่ข้างหน้า บนกิ่งไม้มีลูกผลึกแสงกะพริบแวววาว สิ่งของสะดุดตาหลากหลายอยู่ในลูกผลึกแสงเหล่านั้น

ทั้งคัมภีร์ กระบี่โบราณ กระดูกสีขาวและสมบัติแปลกประหลาดหลากหลายประเภท ซึ่งดูน่าตื่นตาดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง

มู่เฉินเดินช้าๆ บางทีเมื่อพบวัตถุที่สามารถต้านทานรัศมีความตายได้ก็จ่ายเงินซื้อเอาไว้ แม้ว่าวัตถุเหล่านี้หายาก แต่ราคาส่วนมากก็อยู่ที่หลักหมื่นของเหลวจื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับมู่เฉิน

ขณะที่พวกเขากวาดตาผ่านสินค้า มู่เฉินก็ค้นพบของบางอย่างที่ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ผู้ขายก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นราคาจึงแพงหูฉี่ เขาได้แต่เหลือบมองก่อนที่จะยอมแพ้

ไม่จำเป็นต้องเสียของเหลวจื้อจุนมากมายเพื่อซื้อของที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรมาก

ดังนั้นระหว่างทางมู่เฉินจึงอดถอนหายใจไม่ได้ สินค้าในตลาดเสรีแห่งนี้มีคุณภาพสูง หากวางไว้ในโรงประมูลภายนอก จะเรียกราคาสูงกว่านี้อย่างแน่นอน

พวกเขาเดินเข้าไปส่วนในของตลาด สุดท้ายทั้งสี่ก็หยุดเดินเบื้องหน้าต้นไม้หินใหญ่ต้นหนึ่ง

ต้นไม้หินนี้ไม่เล็ก ซ้ำยังหนากว่าต้นอื่น นอกจากนี้ยังมีวัตถุมากมายแขวนอยู่ ช่างดูเจิดจ้าแยงตาและเหมือนจะพิเศษไม่น้อย

ดังนั้นจึงมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาดูวัตถุบนต้นไม้หินนี้ตลอดเวลา

มู่เฉินเพ่งสายตาไป แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา นั่นเพราะเขาพบว่าทุกชิ้นถูกปิดผนึกไว้ ผนึกเหล่านั้นเก่าแก่มาก ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปได้

“สหายนี่หมายความว่าอะไร?” มู่เฉินมองใต้ต้นไม้หินที่มีชายร่างผอมบางนั่งเงียบๆ แม้ว่าชายคนนี้จะหลุบตาต่ำราวกับง่วงงุน แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังจากเขา

พลังของชายคนนี้ไม่อาจประมาทได้

“วัตถุเหล่านี้ข้าได้มาจากซากอารยธรรม แต่ก็มีผนึกติดอยู่ทุกชิ้น ผนึกเหล่านี้แปลกมาก มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำลายเพียงสามส่วน เมื่อล้มเหลวสมบัติก็จะระเบิดตัวเอง ดังนั้นหากใครต้องการที่จะลองก็ต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดแล้วก็เลือกทำลายได้ตามใจชอบ แน่นอนว่า…ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว ต่อให้เจ้าเปิดได้อาวุธมหสวรรค์ก็จะเป็นของของเจ้า” ชายร่างผอมบางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก่อนจะพูดช้าๆ

กติกาของผู้ขายคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ใช้วิธีจับสลากเพื่อเสี่ยงโชค หากใครโชคร้ายแม้ว่าพวกเขาจะสามารถเปิดผนึกได้ พวกเขาก็จะได้รับเพียงขยะไปเท่านั้น

“ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดสำหรับโอกาสทำลายผนึก นอกจากนี้โอกาสสำเร็จยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เจ้าบ้ารึเปล่า?” ที่ด้านข้างมีคนส่งเสียงล้อเลียน เพราะเขาคิดว่าผู้ขายคนนี้เรียกร้องราคาที่สูงเกินไป

เมื่อเขาพูดออกไปก็มีคนจำนวนมากเอ่ยเห็นด้วย สิ่งนี้น่าดึงดูด แต่ราคาของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดและโอกาสสำเร็จเพียงสามส่วนก็หยุดความคิดผู้คนที่จะลองดู

ทว่าชายร่างผอมขี้เกียจเกินกว่าจะให้ความสนใจพวกเขา วัตถุของเขาผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นผู้มีสายตาเฉียบแหลมจะรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา หากไม่ใช่วัตถุเหล่านี้มีโอกาสประสบความสำเร็จต่ำ เขาก็คิดทำลายเองทั้งหมด ทว่า…เขาเคยลองมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ทำให้เขาโมโหคือโชคของเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เขาไม่เคยทำลายผนึกได้สำเร็จเลยสักครั้ง

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ความสนใจก็เพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาพบว่าวัตถุที่ปิดผนึกอยู่ภายในมีความไม่ธรรมดาอยู่จริง

บางทีพวกเขาอาจลองเสี่ยงได้สักหน่อย

ทั้งสี่มีความคิดดังกล่าวแล่นพล่านในใจ จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่ลูกผลึกแสงทั้งหลาย

ในขณะที่ทั้งสี่กวาดมองไปรอบๆ สายตามู่เฉินและมั่วหลิงก็หยุดชะงักมองลูกผลึกแสงที่ห้อยอยู่มุมขวาล่างพร้อมกัน

ภายในลูกผลึกแสงเป็นหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น หินราวกับไข่ พื้นผิวเหมือนจะมีร่องรอยไหม้อยู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท