หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1035

ตอนที่ 1035

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1035 ค่าชดใช้หลังพ่ายแพ้
บนพื้นดินวินาศสันตะโร

แผ่นโลกพังทลายลงเป็นชั้นพร้อมกับรอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกราวกับอสรพิษทำลายทั่วบริเวณนี้

และเวลานี้ที่นี่ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนตะลึงเมื่อมองดูร่างที่ได้รับบาดเจ็บที่ไกลออกไป

ไม่มีใครคิดว่าจิงฉิงเทียนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้จะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน…

นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แม้จะอยู่ท่ามกลางอัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นนำ เขาก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตัวฉกาจ แต่ในตอนนี้เขาพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเนี่ยนะ?

ไม่เพียงแต่พวกจิงเลี่ยรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ กระทั่งกลุ่มหานซันใบหน้ายังตกตะลึงสุดขีด

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำ แต่ความคาดหวังมากที่สุดก็แค่มู่เฉินยันสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะจิงฉิงเทียน แต่ตราบใดที่เขาสามารถสำแดงพลังน่าสะพรึงกลัวกับคู่ต่อสู้ได้ เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็ไม่กล้าคิดจะยึดสมบัติเอาไว้เองง่ายๆ

สำหรับการเอาชนะจิงฉิงเทียนและไล่อีกฝ่ายไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยตั้งแต่แรก

ภายใต้แววตาสั่นคลอนเหล่านั้น มู่เฉินก็ค่อยๆ พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะมองร่างน่าสมเพช กล่าวเสียงเบาว่า “ยังมีลมหายใจ แกล้งตายรึไง?”

ที่ไกลออกไปร่างของจิงฉิงเทียนที่นอนแข็งค้างก็ขยับ จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงตัวอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางน่าสมเพช ใบหน้าซีดเผือดและคลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง เมื่อเขามองมู่เฉินดวงตาก็มีแววขนพองสยองเกล้าพล่านอยู่

สุดท้ายเขาก็ไม่ถูกมู่เฉินสังหารเนื่องจากมีพลังกายทรงประสิทธิภาพ ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้เขาจะรู้สึกว่าสภาพปัจจุบันของมู่เฉินก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าของเขามากนัก

“หึ ไม่คิดว่าครั้งนี้ข้าจิงฉิงเทียนจะตกอยู่ในสภาพนี้” จิงฉิงเทียนเช็ดรอยเลือดที่มุมปากพูดด้วยเสียงต่ำ

มู่เฉินยิ้มบางแต่ไม่มีความอบอุ่นในดวงตาเลย ตรงกันข้ามไอสังหารกลับพวยพุ่งในนัยน์ตา จิงฉิงเทียนไม่ได้ยั้งมือในกระบวนท่าก่อนหน้าเลย มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเจตนาเข่นฆ่า ดังนั้นถ้าเป็นไปได้มู่เฉินก็ไม่ต้องการปล่อยอีกฝ่ายไป

อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็ถอยไปอย่างน่าสมเพชไปกองกันด้านข้างจิงฉิงเทียน ยามนี้ใบหน้าของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยความกลัว ไม่มีแววคุกคามเหมือนที่เคยมีมา

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของจิงฉิงเทียน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

จิ่วโยว หานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ เข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉิน พวกจิ่วโยวยังดี แต่จอมยุทธ์จากเผ่าแรดอสูรแววตาเต็มไปด้วยความยำเกรงเมื่อมองมู่เฉิน แม้แต่หานซันที่มีทรงพลังยังรู้สึกนับถือขึ้นมา

“ต้องขอบคุณพี่มู่ในครั้งนี้” หานซันถอนหายใจ ถ้าไม่ได้มู่เฉินจัดการ ตอนนี้พวกเขาคงต้องหนีตายเหมือนหมาจรจัดจนตรอกไม่ต้องพูดถึงการได้แตะต้องอสูรโภคะเลย

“เราจะทำยังไงกับพวกมัน?” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นปลายหางตาก็กวาดมองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียน ริ้วไอสังหารกะพริบวาววับ หากเป็นไปได้นางก็สามารถลงมือฆ่าพวกมันทั้งหมดเพื่อกำจัดปัญหาในอนาคต

เมื่อรับรู้เจตนาฆ่าในดวงตาของจิ่วโยว ใบหน้าของจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัวขณะตั้งแนวป้องกันเต็มที่

“มู่เฉิน อย่าคิดว่าข้าจะยอมนอนให้แกฆ่าพวกข้า ต่อให้แกเอาชนะข้าได้!” จิงฉิงเทียนพูดเสียงต่ำลึก ความโกรธแค้นพล่านเพิ่มขึ้นในดวงตา

“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพรายพร้อมกับดวงตาหรี่ลงขณะถาม

เปลือกตาของจิงฉิงเทียนหลุบลงขณะเค้นเสียง “ถ้าข้าต้องเดิมพันชีวิตในการต่อสู้ แกอาจจะรอดไปได้ แต่เชื่อข้าเถอะต้องมีใครบางคนในกลุ่มแกถูกลากลงนรกไปด้วยกัน!”

ขณะที่พูดรัศมีลางร้ายก็ปรากฏขึ้น แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน แต่ความเหี้ยมโหดของจิงฉิงเทียนก็ยังทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี

มู่เฉินหรี่ตาลงไม่ได้สงสัยในคำพูดของจิงฉิงเทียน หากเขาต้องการจัดการคนพวกนี้ทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องจ่ายราคาไม่น้อย

ด้านข้างใบหน้าของพวกหานซันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจิงฉิงเทียนมีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น บางทีเขาอาจไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่การเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับหนึ่งในพวกเขาก็ไม่น่าจะลำบาก

บรรยากาศแข็งค้าง ครู่ต่อมามู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “แกพูดถูก แต่ยากสำหรับข้าที่จะเชื่อว่าคนที่ถูกกดด้านรัศมีในตอนท้ายจะกล้าที่จะเดิมพันชีวิต”

จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ รัศมีจิงฉิงเทียนถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์โดยมู่เฉิน เพราะมู่เฉินเหี้ยมหาญกว่ามาก จนถึงจุดที่กล้าละทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับเขาได้ แต่จิงฉิงเทียนไม่กล้าทุ่มเทขนาดนั้น ดังนั้นรัศมีจึงถูกกดเอาไว้ ช่องโหว่นี้ถูกตรวจจับได้โดยมู่เฉินทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคนอย่างจิงฉิงเทียนรักตัวกลัวตายแน่นเหนียวจนถึงแกนกระดูก เขาไม่มีความกล้าที่ใช้ชีวิตมาต่อสู้ดิ้นรน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่เฉินจึงสงสัยในการคุกคามของเขา

ใบหน้าของจิงฉิงเทียนสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว สุดท้ายก็กัดฟันกรอด “ถ้าไม่มีทางอื่น ข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองแหละ!”

คำพูดของเขามีร่องรอยของความหดถอยบางเบา นอกจากนี้ยังเป็นการบอกกับมู่เฉินเป็นนัยว่ายอมที่จะถอยออกไป แต่ห้ามบีบเขาจนตรอก

มู่เฉินมองไปทางหานซันและจิ่วโยวเพื่อขอความคิดเห็น ทว่าทั้งสองกลับพยักหน้าบ่งบอกว่าเต็มใจที่จะทำตามการตัดสินใจของเขา

เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่สำหรับเงื่อนไข…”

“ข้อแรกพวกแกจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติของอสูรโภคะอีกต่อไป…”

ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนกระตุกก่อนที่จะกลายเป็นไม่น่าดู เหตุผลหลักที่พวกเขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อคว้าสมบัติอสูรโภคะ แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับต้องการให้พวกเขาถอยออกไป การสูญเสียเช่นนี้ไม่อาจบรรยายได้

ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินที่ไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว พวกเขาก็เข้าใจว่าหากไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ มู่เฉินที่ดูอ่อนโยนจะกลายเป็นยมทูตบ้าคลั่งและไร้ความปราณี จัดการพวกเขาจนเหี้ยนแน่

ดังนั้นหลังจากถกกันเป็นเวลานานจิงฉิงเทียนก็ได้แต่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

ฮั่วหยังที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกขมฝาดในใจ เหตุผลที่เขาเลือกทำงานกับเผ่าราชสีห์ทองก็คือพวกเขามีความพร้อมมากกว่า ดังนั้นเขาคิดว่าโอกาสในการชนะจะมีมากกว่า แต่ใครจะคิดว่าหานซันจะเชิญคนอื่นมาด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประหลาดแฝงตัวอยู่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์แบบจิงฉิงเทียนด้วยขุมพลังที่ต่ำกว่าพวกเขาทั้งหมด นี่ทำให้เขารู้สึกขมขื่นในหัวใจ การเดิมพันของเขากลายเป็นอากาศธาตุอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาจะต้องสูญเสียกระทั่งสิทธิ์ในการแข่งขันเพื่อสมบัติของอสูรโภคะ

แต่ในขณะนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะท้าทายมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้ามืดมน

“ข้อสอง… พวกเจ้าทำให้พวกข้าสูญเสียมาก ดังนั้นพวกเจ้าต้องชดใช้ สำหรับราคานั้นก็นับตามจำนวนคนของพวกเจ้าหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุนต่อหนึ่งชีวิต” มู่เฉินยิ้มตาหยี

แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเดิมพันชีวิตกับพวกจิงฉิงเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้แบบง่ายดาย ดังนั้นอย่างน้อยคนเหล่านี้จะต้องชดใช้อะไรมั่ง ถ้าพวกเขาต้องการออกไป

ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนเปลี่ยนไปทันที หนึ่งคนต่อหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุน ตอนนี้พวกเขามีแปดคนนั่นหมายถึงว่าจะต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดเลยรึ?

นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย!

“มู่เฉินอย่าให้มากเกินไป!” สายตาของจิงฉิงเทียนกลายเป็นมืดครึ้มขณะคำราม

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับ แววเยือกเย็นปรากฏในดวงตา มิติด้านหลังก็บิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเปล่งรัศมีออกมา

“ถ้าแกคิดว่าชีวิตที่มีไม่คุ้มค่ากับแปดล้านหยดของเหลวจื้อจุนก็เปิดศึกมรณะกันเลย” เสียงเย็นเยือกของมู่เฉินดังก้อง ความผันผวนของพลังงานหลิงรุนแรงขึ้น

จิงฉิงเทียนมองสายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านในใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เขากำหมัดแน่น คลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่ง

แต่เผชิญหน้ากับจิงฉิงเทียนแบบนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ไอสังหารในดวงตาเข้มข้นขึ้น ปะทะกับสายตาดุดันของจิงฉิงเทียน เขาไม่คิดถอยสักก้าว ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะถูกผลักจนเข้ามุมอับหรือไม่

ทั้งสองจ้องกันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน

แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นนานนัก ภายใต้สายตาคมกริบของมู่เฉิน สายตาดุดันของจิงฉิงเทียนก็อ่อนลง สุดท้ายเขาก็ต้องสูดหายใจลึกด้วยสีหน้าสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว ก่อนที่จะกัดฟันตอบ “ได้ พวกข้าจะจ่าย!”

พอได้ยินคำพูดนี่ สายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็วับหายไป รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “พี่จิงมองภาพใหญ่ อนาคตของเจ้าไม่ธรรมดา จะมาละทิ้งชีวิตเพื่อของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดได้อย่างไร?”

ทว่ารับฟังคำชื่นชมของมู่เฉินหัวใจของจิงฉิงเทียนกลับเดือดปุด แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงชีวิต จึงได้แต่เค้นเสียงเย็นเยือกก่อนที่จะจ้องมองไปยังฮั่วหยัง “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตก็ส่งของเหลวจื้อจุนมาให้ห้าล้านหยด”

ใบหน้าของฮั่วหยังเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน เผ่าหมาป่าเวหะเหลือเพียงสามคน คำนวณตัวเลขเขาต้องการส่งของเหลวจื้อจุนแค่สามล้านหยด แต่ตอนนี้จิงฉิงเทียนกลับให้เขาจ่ายของเหลวจื้อจุนถึงห้าล้านหยด นี่ขูดเลือดพวกเขาชัดๆ

“ทำไม? ไม่ยอมเหรอ?”

จิงฉิงเทียนกำลังแค้นมู่เฉินเต็มหัวใจ เมื่อเห็นการตอบสนองของฮั่วหยัง ใบหน้าก็เย็นชาลง จิตสังหารหนาแน่นแพร่กระจายในเสียงของเขา

เมื่อฮั่วหยังเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจิงฉิงเทียน หัวใจก็สั่นเทาพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนแปรตลอดเวลา ท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนรวบรวมของเหลวล้ำค่าจากพรรคพวกส่งให้จิงฉิงเทียน

แต่ขณะที่เขาส่งของเหลวจื้อจุนให้ไป ส่วนลึกในดวงตาของฮั่วหยังก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่พอใจอย่างมากในหัวใจ

จิงฉิงเทียนขี้เกียจใส่ใจความคิดของฮั่วหยัง หลังจากได้รับของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด เขาก็เทกระเป๋าตัวเองก่อนที่จะรวบรวมให้ครบแปดล้านหยด

มือของจิงฉิงเทียนสั่นเทิ้มขณะที่ถือขวดหยกที่บรรจุของเหลวจื้อจุนถึงแปดล้านหยด ตอนนี้ขนาดคนนิสัยอย่างเขายังอดแสดงสีหน้าเจ็บใจไม่ได้ สุดท้ายเขาก็โยนขวดหยกนั้นไปให้มู่เฉิน

“เอาไป!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท