หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1031

ตอนที่ 1031

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1031 จิงฉิงเทียน
แสงสีทองครอบงำกวาดออก

ทำให้พื้นที่ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร แต่หานซัน จิ่วโยวและคนที่เหลือกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นก็หันกลับมองไปในระยะไกลด้วยสายตาเคร่งเครียด

ที่ตรงนั้นจอมยุทธ์สามคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจตั้งแต่แรก ร่างธรรมดาร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวย่างออกมา เขามีรูปร่างผอมเพรียว แต่เมื่อเขาเดินออกมาก็มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กระจายออกไป

“ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกบังคับให้แสดงตัวที่นี่… ตอนแรกข้าคิดแค่ต้องการปะทะกับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรระดับสูงเท่านั้น”

เมื่อร่างนั้นเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เมื่อเขายิ้มความคมชัดที่น่าสะพรึงก็รวมกันอยู่ในดวงตา

“เจ้าคือ…จิงฉิงเทียน?!”

เมื่อหานซันเห็นชายผู้นี้ม่านตาก็หดลงอดร้องอุทานออกมาไม่ได้ “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังปิดตัวฝึกยุทธ์เพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดไม่ใช่เหรอ?”

“จิงฉิงเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาลงเช่นกัน ชายคนนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มที่ได้รับฉายาว่าวีรบุรุษคู่ทองคำ—จิงฉิงเทียน แต่ฉายานั่นไม่เหมาะกับรูปร่างธรรมดาของเขาเลย

“ง่ายที่จะบรรลุได้ยังไง ดังนั้นข้าจึงออกมาเพื่อหาโอกาสน่ะ…” จิงฉิงเทียนยิ้มขณะยกมือขึ้น ลวดลายหลิงที่แผ่นหลังก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อลวดลายหายไป ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังผิดปกติลุกโชนขึ้นในร่างกายของเขา

“เจ้าน่าจะสัมผัสถึงข้าได้แล้วสินะ?” จิงฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉิน

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นจึงตั้งระวังไว้ในใจ ตอนที่เขาสังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นทีละคน ก็มีเป้าหมายที่จะบังคับให้อีกฝ่ายแสดงตัวตนออกมาเช่นกัน

ทว่าความอดกลั้นของชายคนนี้เกินความคาดหมาย ตอนแรกมู่เฉินต้องการใช้พลังของค่ายกลเทพเผาผลาญฆ่าอีกฝ่ายทันทีที่เขาเผยตัวตนออกมา แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทนได้นานขนาดนั้น? ไม่เพียงแต่จะรอจนกระทั่งพลังของค่ายกลลดลงไปครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังสามารถหาได้ว่าแถวแสงที่สำคัญอยู่ที่ไหน เมื่อเคลื่อนไหวก็ทำลายสัญลักษณ์หลิงยิ่งและทำลายล้างค่ายกลอย่างรุนแรง

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความคิดก็ลึกและยากหยั่ง

“เจ้าช่างโหดเหี้ยม” มู่เฉินพูดเสียงเบา หากชายคนนี้แสดงตัวให้ไวก็สามารถช่วยพรรคพวกไว้ได้

จิงฉิงเทียนยิ้ม “ข้าจะฝังเจ้าไว้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตายอย่างไร้ค่า”

“งั้นเหรอ?” มู่เฉินหรี่ตาลง

“มู่เฉินระวังตัว ชายคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากในเผ่าราชสีห์ทองคำ ซึ่งเทียบได้กับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรชั้นนำเลยทีเดียว ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเขาก็ยังได้รับการพิจารณาให้อยู่ในอันดับต้นๆ ด้วย” เสียงเคร่งเครียดของหานซันถูกส่งมาซึ่งเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างจิงฉิงเทียนซึ่งแข็งแกร่งกว่าหานซันมาก ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

นั่นคือระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดแท้จริง แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นก็อ่อนแอกว่าเขา

“ฮี่ๆ ในเมื่อเขาถูกบีบให้ต้องแสดงตัว วันนี้พวกแกทุกคนก็หนีไม่รอด” ฮั่วหยังสาดยิ้มเยาะเย้ย เขาไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน ชัดว่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่ลังเลที่จะหักหลังหานซัน นอกจากนี้ยังเชี่อว่าเผ่าราชสีห์ทองคำจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

“แม้ว่าค่ายกลของมันจะมีความสามารถบ้าง แต่ตอนนี้สลายหมดแล้ว หากไม่มีเวลาเพียงพอ มันก็ไม่สามารถสร้างได้อีก!”

เมื่อสักครู่มู่เฉินได้เปิดเผยการใช้ค่ายกลไปแล้ว ดังนั้นด้วยความคิดของจิงฉิงเทียน เขาไม่มีทางให้มู่เฉินตั้งค่ายกลได้อีกแน่นอน มู่เฉินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่การปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน เขาก็ไม่คิดจะสร้างค่ายกลเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“เร็วไปหน่อยมั้งที่จะเฉลิมฉลอง” จิ่วโยวเย้ยหยันเสียงเยือกเย็น จิงฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ไม่ธรรมดาก็จริง แต่ถ้าเขาคิดว่าไพ่ตายของมู่เฉินเป็นค่ายกลละก็ ผิดถนัดแล้ว

เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของนาง เขาก็เค้นเสียงเยาะ คนเหล่านี้ยังคิดพึ่งเจ้าบ้าอย่างมู่เฉินอีกรึ? การเผชิญหน้ากับอัจฉริยะตัวจริงของเผ่าราชสีห์ทองคำ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่ไร้ชื่อเสียง กระทั่งอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าเทพอสูรก็ต้องให้ความสำคัญกับจิงฉิงเทียน

“พี่มู่ ต้องการให้พวกข้าช่วยไหม?” จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรก็ทะยานเข้ามาด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเหลือบมองจิงฉิงเทียนอย่างหวดาผวา ก่อนที่จะถามเสียงเบา

มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ จิงฉิงเทียนทรงพลัง จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาไม่สามารถเผชิญหน้าได้ หากพวกเขาเข้ามาช่วยในการต่อสู้ เขายังต้องแยกความสนใจในการปกป้อง ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตนเองไป

เมื่อทั้งสามรับรู้ก็ไม่พูดอะไรถอยฉากออกไปทันที แม้ว่าจะค่อนข้างน่าอับอาย แต่พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานแน่หากเข้าไปยุ่งในการต่อสู้ระดับนี้

“ดูเหมือนว่าเจ้ามั่นใจในตัวเองมากเลยนะ?” จิงฉิงเทียนก้าวสามขุมเข้ามาช้าๆ หยุดอยู่ห่างจากมู่เฉินประมาณร้อยก้าว เขามองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ

“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว

จิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “จิงเลี่ยตาไม่ดี มองไม่ออกเลยว่าเจ้านี่แหละที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ แต่…นี่อาจยังไม่เพียงพอ”

ชายคนนี้ดูธรรมดามากไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เมื่อเขาพูดก็มีความรู้สึกกดขี่กวาดออก ตอนนี้เขาถึงได้สมกับชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าราชสีห์ทองคำ

“งั้นก็ชี้แนะด้วย”

แสงสีทองรวมตัวกันในดวงตาของมู่เฉิน นับตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ เขาก็ได้พบกับอัจฉริยะจำนวนมากและส่วนใหญ่ไม่อ่อนแอ คุณภาพของพวกเขาสูงกว่าอัจฉริยะภูมิภาคทางเหนือมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะจิงฉิงเทียนที่ยืนอยู่ต่อหน้า ชายผู้นี้เป็นตัวอันตรายที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่เขาเจอมา

แต่เผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายเช่นนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน นับตั้งแต่เขาบรรลุขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ที่บีบรัดหัวใจเลย

ครั้งก่อนที่ต่อสู้กับจงเถิง แม้แต่ชายคนนั้นก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีได้

ดังนั้นมู่เฉินก็อยากรู้ว่าตัวเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดหลังจากเร้ากายามังกรหงส์ไปถึงขีดสุด

จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินที่กำจายรัศมีออกมาอย่างช้าๆ ก็หดดวงตาลง “ช่างเป็นพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพนัก…”

แม้จะยังไม่ได้สู้ แต่เขาก็สามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ทรงพลังที่มาจากพลังกายของมู่เฉิน จากการประเมินของเขาเพียงแค่พลังกายของมู่เฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะเผชิญได้แล้ว

“ข้าต้องการท้าทายจอมยุทธ์หลายคนในการพัฒนาครั้งนี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหินรองเท้าให้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ที่นี่จะกลายเป็นสุสานของเจ้า”

จิงฉิงเทียนสูดหายใจลึก ความกระหายเลือดพลุ่งพล่านในดวงตา เขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกริ่ม สายตาถูกปกคลุมไปด้วยจิตสังหาร ทำให้ดูดุร้ายยิ่งขึ้น

เขาเห็นมู่เฉินเป็นหินรองเท้าสำหรับการพัฒนาไปแล้ว!

“กลัวว่าดาบของเจ้าจะคมไม่พอ ระวังทู่ซะก่อนละ”

มู่เฉินยิ้มบางพร้อมกับย้อนเสียงเรียบ แต่ความหมายที่แฝงอยู่กลับไม่ยอมใคร แม้จะต้องเผชิญกับสีหน้าของจิงฉิงเทียนซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน มู่เฉินก็ไม่คิดจะถอยหนีสักนิด

“ฮ่าฮ่า ดี! แกกล้าดี!”

เมื่อจิงฉิงเทียนได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็ไม่โกรธกลับหัวเราะสมใจลั่นฟ้า สุดท้ายเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงคำรามของราชสีห์ดังกึกก้องไปทั่วขอบฟ้า ทำให้พื้นดินโยกคลอนไปหมด

แสงสีทองครอบงำไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างกายพร้อมกับเส้นผมและดวงตาของจิงฉิงเทียนเปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนสิงโตทองคำดึกดำบรรพ์ที่มีพลังอันน่าอัศจรรย์

คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกราวกับคลื่นยักษ์กวนตัวในมิติ พลังนี้ทำให้แม้แต่ใบหน้าของหานซันและจิ่วโยวยังเปลี่ยนไป

“ฮ่าๆ นานแค่ไหนแล้ว ไม่มีคนกล้าพูดกับข้าในลักษณะนี้”

ดวงตาสีทองของจิงฉิงเทียนจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่มพลางหัวเราะร่า “แต่ถ้าเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านี้ ข้าจะหักกระดูกแกทีละท่อนเลย!”

“ตู้ม!”

เมื่อพูดจบจิงฉิงเทียนก็กระทืบเท้า พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลง ร่างทะยานออกไปกลายเป็นแสงสีทองแล้วหายวับไป

เมื่อจิงฉิงเทียนหายตัวไป แสงสีทองก็พวยพุ่งในดวงตามู่เฉิน นั่นเป็นผลจากการเร้าวิชากายามังกรหงส์ ฝ่าเท้าเคาะลง ร่างกลายเป็นลำแสงถอยออกมา

ตู้ม!

กำปั้นทองคำทะลุผ่านมิติปรากฏในตำแหน่งที่มู่เฉินยืนอยู่ก่อนหน้า ทันใดนั้นชั้นมิติแปรปรวน รอยแตกปรากฏขึ้น ชั้นดินพังทลาย

พลาดเป้าไป สีหน้าของจิงฉิงเทียนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาเหวี่ยงกำปั้นทั้งสองออกไปอีกครั้ง ดูราวกับเทพสายฟ้าควงค้อน ทำให้เกิดเสียงดังก้องและพลังรุนแรง

ร่างของมู่เฉินถอยกลับอีกครั้งราวกับต้องการหลบหนี

“ทำไม? เมื่อครู่เจ้าแค่พูดจาวางกล้ามใหญ่โตเหรอ? ทำไมถึงได้น่าอนาถเช่นนี้?” จิงฉิงเทียนเปิดตัวโจมตีไม่ยั้ง เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมา

มู่เฉินที่ถอยออกไปก็หยุดชะงักกึก แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในส่วนลึกของรูม่านตา ก่อนที่เขาจะกำหมัดอย่างช้าๆ

บนแขนจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้น ขณะที่พัวพันไปบนท่อนแขนของเขา เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังสะท้อนรุนแรงภายในร่างกายของมู่เฉิน ทำให้กระแสโลหิตและรัศมีปั่นป่วน คลื่นหลิงอาละวาดมากขึ้น

ตู้ม!

แสงสีทองระเบิดที่มิติเบื้องหน้า ร่างจิงฉิงเทียนก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง หมัดทองคำของเขาปกคลุมเข้ามาราวกับสิงโตกลืนกินท้องฟ้า เหมือนสามารถทำลายแผ่นดินได้เลยทีเดียว

แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าตกใจของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่ถอย เพราะเขารู้สึกได้ว่ากายามังกรหงส์เดือดพล่านถึงขีดสุดแล้ว

เขาไม่สามารถหยุดยั้งพลังระเบิดที่ต้องการระเบิดได้แล้ว

ในเมื่อไม่สามารถระงับได้อีกต่อไปก็ระเบิดกันเลย!

ให้ข้าดูสิว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดจะทรงพลังมากแค่ไหน!

แสงสีทองวาบขึ้นในม่านตาดำของมู่เฉิน แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หมัดที่แผ่ซ่านแสงสีทองก็พุ่งออกไปในเวลานี้

จังหวะนั้นหมัดทรงพลังทั้งสองก็ปะทะกันภายใต้สายตาแข็งค้างมากมาย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท