หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1037 คว้าสมบัติ
ทะเลสาบเป็นประกายแวววาว
ดวงตาของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ลุกโชนขณะยืนอยู่ริมทะเลสาบ สายตาจดจ้องไปราวกับว่าต้องการมองให้ทะลุเพื่อค้นหาสมบัติที่อยู่ภายใน
“เตรียมลงมือกันเถอะ” หานซันเลียริมฝีปาก ตลอดการเดินทางที่ยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุเป้าหมาย ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้างแล้ว
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนร้อนรุ่มไปหมดแล้ว
“พยายามอย่าให้โดนน้ำในทะเลสาบ ให้โชคชะตานำพาสมบัติที่จะได้ครอบครอง” หานซันยิ้ม จากนั้นก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็สร้างกระแสคลื่นเชี่ยวกราก ครั้นคลื่นพวยพุ่งก็เผยให้เห็นกระดูกสีขาวขนาดมหึมาในทะเลสาบ
หานซันมองหาจุดลง ภาพเงาวูบไหวจากนั้นก็ปรากฏบนกระดูกสีขาวและนั่งลง คลื่นหลิงสร้างพายุเฮอริเคนล้อมรอบตัวปกป้อง ไม่ว่าน้ำในทะเลสาบจะเกรี้ยวกราดอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ทะยานออกไป แต่ละคนค้นหากระดูกสีขาวที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบและนั่งลง
“เราก็เริ่มกันมั่งเถอะ”
มู่เฉินพยักหน้าไปทางจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างขยับก่อนที่จะไปปรากฏเหนือทะเลสาบ เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นกระดูกขนาดใหญ่เลือนรางยากจะบรรยายอยู่ภายใน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ก็ยังคงเปล่งความลึกลับที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว
มู่เฉินพึมพำในใจจากนั้นร่างก็พลิ้วลงมาบนกระดูกสีขาวก่อนจะนั่งลง ทันใดนั้นความเย็นเยือกผิดปกติก็พล่านออกมา ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
“ให้ข้าลองหน่อยว่าจะได้รับสมบัติชิ้นไหนบ้าง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะหลับตาลง คลื่นจิตของเขาเคลื่อนไปยังกระดูกขาวอย่างเงียบๆ โดยใช้สิ่งนี้เป็นสื่อกลางทอดยาวลงไปในทะเลสาบ
เมื่อคลื่นจิตเข้าสู่ทะเลสาบ มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังโอบล้อมมาจากทุกทิศทาง ภายใต้แรงกดดันนี้ ประสาทสัมผัสของเขาที่ยอดเยี่ยมก็ช้าลงมาก นอกจากนี้ระยะการรับรู้ของเขาก็ลดลงเกือบเก้าส่วน
“ไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิดไว้เลย” มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้อยู่แล้วว่าคงไม่ราบรื่นนักที่จะได้รับสมบัติซึ่งพิสูจน์ได้ในขณะนี้แล้ว ด้วยการยับยั้งของน้ำในทะเลสาบก็ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะได้สัมผัสกับสมบัติที่นี่
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงสงบใจลงค้นหาสมบัติต่อไป นั่นเป็นเพราะถ้าเขาหมดความอดทน เขาต้องกลับมามือเปล่าแน่
ในทะเลสาบเย็นเยือก คลื่นจิตของมู่เฉินก็เคลื่อนผ่านกระดูก เวลานี้เองที่มู่เฉินรู้ว่ากระดูกมีขนาดใหญ่โตเพียงใด จากการประเมินของเขาอสูรโบราณโภคะคงมีขนาดใหญ่เป็นแสนจั้ง
ยิ่งกว่านั้นกระทั่งมันตายไปนับหมื่นปี กระดูกก็ยังแข็งแรงราวกับเหล็กกล้า แม้ว่าพลังกายของมู่เฉินจะทรงพลังแต่ก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกัน
ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ไม่สามารถขนย้ายกระดูก เพียงแค่โครงกระดูกนี้ก็สามารถปรับแต่งอาวุธเทพได้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
คลื่นจิตจมลงไป มู่เฉินก็อุทานตามหลายครั้ง ตอนที่อสูรดบราณโภคะยังมีชีวิตอยู่ คงไม่ด้อยกว่าราชันสงครามโลหิตเลย แต่การดำรงอยู่เช่นนี้ก็ยังตายตกไปเมื่อดินแดนเสินโซ่ถูกทำลายล้าง ยากที่จะจินตนาการว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่ากลัวแค่ไหน
เวลาผ่านไปมู่เฉินก็ยังคงค้นหาต่อ ก่อนที่จะรู้ตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็แพร่กระจายไปทั่วโครงกระดูกเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกช่วยไม่ได้ก็คือในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาคลื่นจิตของเขาเดินทางไปได้เพียงระยะหนึ่งพันจั้งเท่านั้น ช่างขี้ปะติ๋วเมื่อเทียบกับโครงกระดูกที่มีขนาดแสนจั้ง
นอกจากนี้ตลอดทางมู่เฉินก็ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของสมบัติเลย หากไม่ใช่เพราะไว้ใจหานซันและรู้ว่าโครงกระดูกเบื้องหน้าไม่ธรรมดาละก็ เขาอาจสงสัยว่าค้นพบเป้าหมายผิดไปหรือเปล่า
ทว่าความสงสัยของมู่เฉินก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อคลื่นจิตสัมผัสลึกเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็พบความผันผวนแปลกประหลาดมาจากส่วนหนึ่งของโครงกระดูกเบื้องหน้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวน มู่เฉินก็รู้สึกยินดีในหัวใจและรีบส่งคลื่นจิตเข้าไป จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงมีดสั้นสีเทาลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ อาวุธนี้ถูกสลักด้วยลวดลายโบราณบนพื้นผิว แสงสีม่วงที่แล่นแปลบปลาบบนใบมีดกำจายความรู้สึกคมชัด ซึ่งทำเอารู้สึกเย็นเยือก
มีดสั้นนี้เป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
มู่เฉินเดาะลิ้น อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเจอได้ง่ายเชียว นี่เป็นสิ่งที่แม้จะอยู่ในมือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็เป็นศาตราวุธที่น่าเกรงขาม
คลื่นจิตของมู่เฉินหยุดลงชั่วคราวขณะที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามีดสั้น เขาลังเลเล็กน้อยพลางพิจารณาว่าควรนำออกไปหรือไม่ หากอาวุธพบสวรรค์ชิ้นนี้ถูกนำขึ้นในการประมูล ก็อาจจะขายได้ในราคาของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด
เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะดึงคลื่นจิตออกไป แล้วขยับลึกลงไปเรื่อยๆ ละความสนใจจากอาวุธชิ้นนี้
แม้ว่าราคาของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมจะไม่ต่ำ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายของเขา อาวุธระดับดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนหัวใจของเขา
ในเมื่อยังไม่ใช่วัตถุที่สามารถสั่นคลอนหัวใจได้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เขาต้องการไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น
ถ้าเขาเจออะไรก็เอาหมด สุดท้ายอาจกลับไปมือเปล่า ต่อให้ได้เก็บเกี่ยวก็ไม่ถึงระดับที่คาดไว้แน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไปทำให้เสียเวลาทำไม
เมื่อคิดถึงจุดนี้ คลื่นจิตของมู่เฉินก็เริ่มหยั่งลึกลงไปในโครงกระดูก เมื่อคลื่นจิตดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขาก็ต้องตกใจเมื่อค้นพบสมบัติทรงพลังตลอดทาง
วัตถุเหล่านี้ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม บางชิ้นเป็นหนึ่งในอันดับต้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งทรงพลังมากจนแม้แต่มู่เฉินก็ตกใจ
อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมวาบผ่านคลื่นจิตของมู่เฉินไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า ในสถานการณ์ที่สามารถคว้าอาวุธพบสวรรค์ทรงคุณค่าได้เพียงเอื้อมมือ ความละโมบก็เกิดขึ้นได้ง่าย
กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่เมื่อความโลภในใจเพิ่มพูนขึ้น เขาก็รู้สึกตื่นตัวและรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเป็นครั้งแรก
มู่เฉินอธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าถ้าเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นมา เขาจะต้องเสียใจมาก
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ สุดท้ายมู่เฉินก็ยึดมั่นหัวใจเอาไว้ หากเขาไม่สามารถได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ใดๆ เขายอมกลับไปมือเปล่า!
ทันทีที่มู่เฉินยึดมั่นในหัวใจ เขาก็ต้องตกใจ เนื่องจากรับรู้ว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเหล่านั้นได้หายวับไปกับตา ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
“แปลกประหลาดจริงๆ” หัวใจของมู่เฉินตื่นตัวมากขึ้น สมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ง่ายที่จะได้รับอย่างที่คิดไว้ เหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้จะต้องเป็นแผนของเจ้าอสูรตัวนี้แน่
หากเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นไว้ ต่อให้มู่เฉินไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขามั่นใจว่าจะไม่ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ต้องการอย่างแน่นอน
ด้วยความตื่นตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็ดำดิ่งลึกลงไปในกระดูก แต่ขณะที่คลื่นจิตเพิ่งจะเคลื่อนไหว โครงกระดูกเบื้องหน้าก็หายไป น้ำทะเลสาบโดยรอบกลายเป็นความมืดมิด ราวกับว่าตัวเขาถูกดึงเข้าไปในมิติอื่น
คลื่นจิตของมู่เฉินอยู่ในความมืด แต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนก นั่นเป็นเพราะไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงรออยู่เงียบๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนที่อสูรโบราณโภคะทิ้งร่างไว้ที่นี่ จะต้องทิ้งวิธีบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้สมบัติถูกยึดครองโดยคนโลภมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นการทดสอบ
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงสว่างก็กำจายในความมืด กระแสน้ำใหญ่โตมโหฬารส่งเสียงดังก้อง ยามนี้อาวุธเทพล้ำค่ามากมายกำลังเริงระบำอยู่ในกระแสน้ำ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพถูกปลดปล่อยออกมาจากพวกมัน
มู่เฉินขานรับความรู้สึกก็สูดอากาศเย็นเข้าไปในหัวใจ นั่นเป็นเพราะเขาพบว่าในกระแสน้ำมีอาวุธพบสวรรค์นับพันนับหมื่นชิ้น
“สมกับเป็นอสูรโภคะ…”
มู่เฉินอุทาน คุณภาพของอาวุธพบสวรรค์เหล่านี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หากนำทั้งหมดไปประมูลในมหาพันภพ ราคารวมคงยากที่จะจินตนาการ ปริมาณของเหลวจื้อจุนอาจเพียงพอสนับสนุนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหนึ่งทะยานไปถึงขั้นเก้าเลยทีเดียว
มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธเทพ จากนั้นดวงตาก็หดเกร็ง เขาจดจ่ออยู่ที่ตรงกลางของสายธาร ก็เห็นลูกแสงสามลูกลอยอยู่ ทุกลูกทรงพลังจนถึงขั้นที่มู่เฉินรู้สึกกดดันจากความผันผวนที่เปล่งออกมา
โดยรอบมีอาวุธพบสวรรค์นับหมื่นเกี่ยวพันล้อมรอบลูกแสงทั้งสาม ราวกับว่าเป็นคนรับใช้ที่ปกปักเจ้านาย
มู่เฉินอึ้งไปขณะมองลูกแสงทั้งสาม จากนั้นหัวใจของเขาก็ร้อนวูบวาบกระทั่งการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เขาจ้องไปที่ลูกแสงทั้งสามด้วยสายตาร้อนแรง ความผันผวนทรงพลังนั้นเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมไปมาก!
เทียบกับอาวุธที่เขาพบมาก่อนหน้าก็ประหนึ่งหิ่งห้อยกับดวงจันทร์!
อาวุธเหล่านั้นจะต้องเป็นอาวุธเสมือนมหสววรค์ของแท้แน่นอน!
ก้าวข้ามขอบเขตพบสววรค์เข้าสู่มหสวรรค์!
เผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ปรากฏขึ้น แม้แต่มู่เฉินที่มีจิตใจตั้งมั่น ยังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัว สายตาร้อนแรงจนแทบปะทุเป็นไฟ
เขาเพ่งมองไปที่ลูกแสงทั้งสาม เมื่อแสงจางลง ในที่สุดก็เห็นวัตถุภายในได้อย่างชัดเจน
ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก