หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1039

ตอนที่ 1039

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1039 การเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
“เมื่อครู่คืออะไร?”

ในมิติที่มืดมิดใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยความตะลึงและตกใจ หลุมดำไม่รู้เชื่อมโยงกับที่ไหน แต่ทำไมแก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะถึงได้ไหลเวียนเข้าไปในนั้น?

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของตนเองเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นสถานการณ์ในหลุมดำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพยายามทำเช่นนั้น

สุสานหมื่นอสูรแปลกประหลาดยยิ่ง ยังไงก็ต้องมีเขตหวงห้ามบางแห่งที่ยากต่อการสำรวจอยู่แล้ว

“ในเมื่อได้รับสมบัติแล้ว ก็ออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ไม่คิดป้วนเปี้ยนต่อ ด้วยความคิดความมืดโดยรอบก็จางหาย คลื่นจิตเดินทางกลับไปยังเส้นทางที่มาอย่างรวดเร็ว

บนผิวน้ำทะเลสาบ ร่างมู่เฉินที่นั่งอยู่บนกระดูกสีขาวก็ลืมตาขึ้น แววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเหยียดมือออกมาแตะที่หน้าผากเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนทรงพลังที่สถิตอยู่ภายในอย่างเลือนราง

นี่คือเนตรดับชีวิต!

รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่สามารถควบคุมได้ การเดินทางยากลำบากครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า ในที่สุดเขาก็ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์

ด้วยวัตถุนี้อยู่ในมือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือถ้าเขาพบจิงฉิงเทียนอีกครั้ง

“แต่เมื่อเทียบกับพีระมิดแสงดาวก็ยังอ่อนด้อยกว่าหลายส่วน”

มู่เฉินสัมผัสถึงพลังแต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจ พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเนตรดับชีวิต นอกจากนี้วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ตามหาอาวุธมหสวรรค์ของแท้

นั่นเป็นเพราะอาวุธในระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ตอนนี้ ต่อให้เขาได้รับมาก็ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ

นอกจากนี้ถึงเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่ก็เป็นสมบัติติดกายอสูรโบราณโภคะที่มีศักยภาพสูง หากเขามีโอกาสในอนาคตอาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในเวลานั้นพลังของมันไม่ด้อยกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปรามปีศาจแน่นอน

มู่เฉินยืนขึ้นก่อนจะเคลื่อนกายไปบนท้องฟ้าแล้วกวาดสายตาลงมา เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน เห็นชัดว่าทุกคนเสร็จสิ้นการค้นหาแล้ว

“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินเข้ามาหาพลางยิ้ม

จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามยิ้มขื่นขมขณะส่ายหัวพูดด้วยความอับอายว่า “เราค้นพบอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหลายชิ้น แต่ไม่คิดว่าหลังจากคว้ามาได้แล้วจะถูกเตะออกมาทันที”

พวกเขาพบประสบการณ์คล้ายคลึงกับมู่เฉิน เพียงแต่จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงเหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามคว้าอาวุธเหล่านั้นไป แต่ไม่คิดว่าการได้รับมาจะเท่ากับหยุดการค้นหาทันที

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของพวกเขาก็แอบรู้สึกดีใจ โชคดีที่เขาข่มกลั้นความโลภไว้ได้ มิฉะนั้นตอนนี้เขาก็ต้องเสียใจกับอาวุธระดับนั่นแล้ว

“ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้สมบัติ ดังนั้นตราบใดที่เจ้ารับมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” หานซันถอนหายใจจากด้านข้าง ชัดว่ารู้กฎนี้แล้วเช่นกัน

จอมยุทธ์ทั้งสามใบหน้าเหยเก พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

“ดูท่าการเก็บเกี่ยวของพี่หานจะดีไม่น้อยสินะ?” มองไปที่หานซันที่ไม่มีความเสียใจสักนิด มู่เฉินก็ยิ้ม

หานซันหัวเราะพลางกำหมัด แสงสีดำวูบไหวก่อร่างเป็นพลองโลหะสีดำในมือ พลองนี้ค่อนข้างหยาบมีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้นผิว นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงกำจายออกมา ดูเหมือนจะมีน้ำหนักเท่าภูเขาเลยทีเดียว

เมื่อมองไปที่พลองโลหะสีดำ ดวงตาของมู่เฉินก็วับวาว วัตถุนี้ไม่มีคลื่นของอาวุธเสมือมหสวรรค์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าของอาวุธเสมือนมหสวรรค์เลย

“นี่คือพลองสะท้านฟ้า… มันไม่สามารถนับว่าเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เพราะไม่มีพลังที่ทรงประสิทธิภาพอะไร แต่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความหนักหน่วง ด้วยการฟาดครั้งเดียว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยังบาดเจ็บสาหัสได้ทันที” หานซันยิ้มด้วยความพึงพอใจ วัตถุนี้มีความครอบงำมากซึ่งเหมาะสำหรับเขา เผ่าแรดอสูรมีพละกำลังดีเยี่ยมตั้งแต่เกิด ด้วยพลองนี้ก็เหมือนกับการติดปีกพยัคฆ์ เมื่ออยู่ในมือของเขาพลังของอาวุธนี้อาจยิ่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียอีก

“เยี่ยมเลย”

มู่เฉินเอ่ยชื่นชม ความหนักหน่วงบวกกับคลื่นหลิง เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แม้ว่าอาวุธนี้ไม่ได้มีพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่น้ำหนักอย่างเดียวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้ว

มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยแววตาคาดหวัง ชัดว่าเขาหวังให้ทั้งสามคนได้รับสมบัติที่น่าพอใจเช่นกัน

จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่กำมือ วัตถุที่มู่เฉินคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำสนิท ซึ่งราวกับจะกลืนแสงบนท้องฟ้าทันทีถ้ากวาดมันลงมา

“มันนี่เอง…”

มู่เฉินอึ้งในใจ ไม้บรรทัดชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาพบก่อนหน้า ไม่เคยเลยว่าหลังจากตนเองไม่รับ วัตถุชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือของจิ่วโยว

“ลองซัดหมัดใส่ข้าดู” จิ่วโยวกุมไม้บรรทัดสีดำพลางหัวเราะเบาๆ

มู่เฉินเหวี่ยงหมัดใส่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็ล้อมรอบร่างจิ่วโยว นางโบกไม้บรรทัดสีดำในมืออย่างอ่อนโยน แสงสีดำปกคลุมลงมา พลังมากกว่าครึ่งหนึ่งหายไป มิหนำซ้ำแสงยังลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อโดนตัวจิ่วโยว พลังส่วนใหญ่ของกำปั้นก็คลี่กระจายออก ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของจิ่วโยวได้ด้วยซ้ำ

มู่เฉินอึ้ง แม้ว่าเขาจะเหวี่ยงหมัดธรรมดาออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำร้ายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจนบาดเจ็บได้ แต่ด้วยระลอกคลื่นลูกเดียวของไม้บรรทัดสีดำ พลังก็ลดไปเกือบครึ่ง

“อาวุธนี้เรียกว่าไม้เทพโทษา ซึ่งบรรจุไปด้วยแสงเทพโทษาที่มีคุณสมบัติกลืนกิน ทุกการโจมตีด้วยคลื่นหลิงจะถูกกินจนหมดสิ้น แข็งแกร่งจนถ้าถูกใช้ไปจนถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาใกล้ข้าได้” จิ่วโยวกล่าว

มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ไม้บรรทัดสีดำนี้ไม่ธรรมดาแท้จริง ด้วยอาวุธนี้การโจมตีทั้งหลายจะถูกลดพลังลง เมื่อลากเวลาการต่อสู้ออกไปโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางก็จะเพิ่มขึ้น

ด้วยอาวุธนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว

อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทรงพลังอย่างแท้จริง

ทว่าเขาจะตกตะลึงกับพลังอำนาจของไม้เทพโทษา แต่มู่เฉินก็ไม่เสียใจกับการเลือก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเนตรดับชีวิตแข็งแกร่งกว่า นอกจากนี้ศักยภาพก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นอาวุธประจำกายของอสูรโบราณโภคะ

หลังจากจิ่วโยวนำไม้บรรทัดสีดำออกมา แสงก็วูบไหวบนมือของมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นหอกยาวและกระดิ่งก็ปรากฏขึ้น

หอกยาวเล่มนี้มีสีทองเข้มและดูโบราณมาก ไม่มีขอบใบดูราวกับไม่คม ทว่าส่วนหัวที่หยาบกลับกะพริบด้วยแสงเย็น ซึ่งทำให้หัวใจคนมองเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับมั่วหลิงได้รับกระดิ่งสีแดงเพลิงมา สามารถมองเห็นมหาสมุทรเพลิงได้อย่างคลุมเครือ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้นก็ราวกับมหาสมุทรเพลิงแผ่ออกมา ทำลายชั้นฟ้าและชั้นดิน

แม้ว่าอาวุธของมั่วเฟิงและมั่วหลิงที่ได้รับมาเทียบกับไม้เทพโทษาของจิ่วโยวไม่ได้ แต่ก็เป็นของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของแท้

ทั้งสองพอใจอย่างมากกับการเก็บเกี่ยวนี้ แม้แต่มั่วเฟิงยังระบายยิ้มบางบนใบหน้าซึ่งปกติมักจะฉายท่าทางไม่แยแสอยู่เสมอ

ทุกคนเก็บเกี่ยวได้มากในการเดินทางมาที่สุสานอสูรโบราณโภคะครั้งนี้

“ของเจ้าล่ะ?” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยสายตาสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการทดสอบเหล่านี้ทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ แต่ด้วยความเข้าใจต่อนิสัย นางไม่เชื่อว่าคนอย่างมู่เฉินจะกลับมามือเปล่า

ดังนั้นทุกคนจึงเลื่อนสายตาไปมองมู่เฉินด้วยความอยากรู้

มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำควบแน่นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีดำวาบขึ้นทุกคนก็รู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ราวกับว่าถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยแสงสีดำอย่างสมบูรณ์

แสงสีดำหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความลึกลับที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกใจสั่น

หานซันเบ้ปากขณะถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าพี่มู่จะได้รับสมบัติที่ดีที่สุดของอสูรโภคะ…”

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเนตรดับชีวิต แต่หานซันก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในดวงตาลึกลับนั่น เขามีความรู้สึกว่าถ้ามันถูกใช้โจมตี เขาคงบาดเจ็บสาหัสหากไม่ชิงตายก่อน

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรทำเพียงยิ้ม เขาไม่คิดอธิบายการใช้งานของเนตรดับชีวิต เพราะนี่ควรจะเก็บเป็นไพ่ตายลับสำหรับเขา

“เราได้รับสมบัติของอสูรโภคะกันแล้ว… ต่อไปพวกเจ้าจะเริ่มหาเบาะแสของวิหคอมตะแล้วหรือ?” หานซันมองไปที่จิ่วโยวและมู่เฉินพลางถาม

หานซันรู้ว่าเหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มมู่เฉินมาที่สุสานหมื่นอสูรก็คือการค้นหาวิหคอมตะโบราณ ส่วนสมบัติของอสูรโบราณโภคะเป็นเหตุผลรองเท่านั้น

มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของหานซันก่อนที่จะตอบว่า “ข้าตั้งใจจะฝึกฝนที่นี่เพื่อผลักดันพัฒนาการของคลื่นหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด”

ทะเลสาบตัวเป่าเป็นพื้นที่ฝึกฝนที่หาได้ยากในสุสานหมื่นอสูร นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากรัศมีความตายและอสูรวิญญาณ บวกกับความหนาแน่นของคลื่นหลิง ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเพาะบ่มคลื่นหลิง

สุสานหมื่นอสูรเต็มไปด้วยอันตราย มู่เฉินมีความรู้สึกว่าการเดินทางเพื่อค้นหาวิหคอมตะโบราณครั้งนี้จะอันตรายยิ่ง ดังนั้นเขาต้องผลักดันตัวเองไปสู่สภาพพร้อมรบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้รับเนตรดับชีวิตมาแล้ว เขาก็ต้องการเวลาในการสำรวจสุสานหมื่นอสูรเพื่อค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณด้วย

จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของมู่เฉิน

เมื่อหานซันเห็นก็ยิ้ม “งั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อด้วย ถึงเวลานั้นพวกข้าอาจให้ความช่วยเหลือบางอย่างได้…”

ก่อนหน้ามู่เฉินได้ให้ความช่วยเหลือสุดตัวกับพวกเขา หากพวกเขาไปตอนนี้ก็ดูไร้หัวใจเกินไปหน่อย

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หายใจออกเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร เขารู้สึกได้เลือนรางว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานจริง แต่อันตรายนั้นคงมีมากกว่าทะเลสาบตัวเป่าหลายเท่า…

ดังนั้นเขาจึงต้องยกระดับขุมพลังหลิงโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าโชคดีพออาจลองดูว่าสามารถบรรลุขั้นเจ็ดได้หรือไม่

ถ้าทั้งพลังกายและพลังหลิงของเขาเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งคู่ เวลานั้นเขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท