หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1046 อสูรวิญญาณขั้นแปด
บนต้นไม้สีเทาดำขนาดใหญ่
แต่ละคนพลิ้วกายลงไปพลางมองที่เบื้องหน้า ที่นั่นเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเทาและสีขาว ต้นไม้เหล่านั้นใบโกร๋นมีเพียงก้านไม้ มองจากระยะไกลดูเหมือนกับป่าหอกซึ่งดูแหลมคมน่ากลัวมาก
ทว่าสายตาพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ใจกลางป่าซึ่งรัศมีความตายแผ่ซ่านไปทั่ว มีเงาร่างสีขาวจำนวนมากลอยเร่ร่อนไปมา ตัดสินจากจำนวนคร่าวๆ ก็มีเกือบพันเห็นจะได้…
แสงสีดำกะพริบวาบที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน จากนั้นก็เจาะทะลุรัศมีความตายหนาแน่น ทันใดนั้นฉากในป่าลึกก็กระจ่างอยู่ในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปมีเงาดำนั่งอยู่บนพื้น ร่างมันถูกหุ้มด้วยเกราะสีดำ บนพื้นผิวของเกราะถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ความผันผวนนั้นทำให้แม้แต่ใบหน้ามู่เฉินยังเคร่งเครียดลง
รัศมีความตายที่ร่างสีดำเมื่อมครอบครองแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่พวกเขาพบมาก่อนหน้ามาก เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดแน่นอน
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจสอบอสูรวิญญาณขั้นแปดด้วยเนตรดับชีวิตอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงอุทานแผ่วเบาออกมา เมื่อตระหนักได้ว่าชุดเกราะของอสูรวิญญาณร่างนี้เสียหายหนักมาก มีบาดแผลฉกรรจ์ปาดลึกลงไปเผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนด้วย
นอกจากนี้รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ก็ค่อนข้างจะวุ่นวายเช่นเดียวกัน
“ทำไมเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยเสียงต่ำ
“อสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินพูดขึ้นด้วยความกังขา ก่อนหน้าเขาได้ตรวจสอบโดยเนตรดับชีวิตว่าไม่มีคนกลุ่มอื่นในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นบาดแผลของอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้มาจากไหน?
เมื่อจิ่วโยว มั่วเฟิงและหานซันได้ยินคำพูดของเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจก่อนจะคลี่ยิ้ม “ดูท่าแม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเรา อสูรวิญญาณขั้นแปดที่บาดเจ็บง่ายในการจัดการกว่า”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เขาเลื่อนสายตามองไปที่ป่ารัศมีความตายด้วยดวงตาเป็นประกาย
จิ่วโยวมองมู่เฉิน “แม้ว่าที่นี่จะมีอสูรวิญญาณไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่ในหมู่พวกมัน คงจะลำบากพอตัวถ้าเราดึงดูดความสนใจมา ยิ่งถ้าอสูรวิญญาณขั้นแปดพุ่งออกมาด้วย ก็ยิ่งลำบากสำหรับเรามาก”
การรวมตัวของพวกเขาค่อนข้างลำบากที่จะจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดสักร่าง ยิ่งถ้ามีการเพิ่มขึ้นของอสูรวิญญาณขั้นต่างๆ จำนวนมากก็จะลำบากมากอีกหลายส่วน
หานซันและคนอื่นๆ ก็หันไปมองมู่เฉิน เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาได้แต่พึ่งพามู่เฉินเท่านั้น
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกวาดสายตาตอบว่า “ประสาทสัมผัสของอสูรวิญญาณขั้นธรรมดาอ่อนแอมาก ข้าสามารถใช้ค่ายกลขังพวกมันไว้ สำหรับพวกขั้นเจ็ดการรับรู้ของพวกมันค่อนข้างหลักแหลม วิธีปลอดภัยที่สุดก็คือกำจัดพวกมันทั้งหมด ไม่งั้นกลัวว่าจะลำบากสำหรับเรา ถ้าพวกมันพุ่งมาหาในขณะที่เราโจมตีอสูรวิญญาณขั้นแปด”
“แต่ที่นี่มีพวกขั้นเจ็ดไม่น้อยกว่าสามสิบร่าง…” มั่วหลิงเบิกตากว้าง นั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดกว่าสามสิบคนเชียวนะ พวกนางสามารถจัดการพวกมันด้วยกำลังที่มีหรือ?
“อาจจะไม่เมื่อก่อน… แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์มีไว้เพื่อถืออวดเหรอ?” มู่เฉินยิ้ม จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง แต่ละคนได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มาคนละชิ้น ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเทพก็ยากที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจะต่อกรกับพวกเขา แม้ว่าพวกวิญญาณขั้นเจ็ดจะมีไม่น้อย แต่ก็แค่จะลำบากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“ปล่อยพวกวิญญาณพวกนั้นเป็นหน้าที่พวกข้าเอง เจ้าเข้าสมาธิสร้างค่ายกลก็พอ” จิ่วโยวพยักหน้า พวกนางพึ่งพามู่เฉินมาตลอดทาง หากตอนนี้พวกนางไม่สามารถรับมือกับแค่ปัญหาเหล่านี้ได้ก็เกินไปแล้ว
มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก กระโจนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมองหาพื้นที่ว่างเปล่านั่งลง จากนั้นก็ประสานมือเข้าด้วยกัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เมื่อมู่เฉินสะบัดนิ้วก็รวมตัวเข้ากับมิติ
สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากันในมิติอยู่เรื่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในบริเวณนี้มีความผันผวนขึ้นเล็กน้อย สามารถมองเห็นเส้นแสงกระจายออกไปอย่างช้าๆ
ตราประทับในมือของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ปลายนิ้วจะหายไปอย่างสมบูรณ์
เขาเงยหน้าขึ้นเผยความพึงพอใจเมื่อมองไปที่มิตินี้ ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้เรียกว่าค่ายกลภาพมายาปีศาจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นค่ายกลระดับสูงและมีผลต่อการสร้างภาพลวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยความเร็วที่มีหากติดอยู่ภายใน
ทว่าอสูรวิญญาณมีเพียงความแข็งแกร่ง ไม่มีประสาทสัมผัสและสติปัญญา ดังนั้นประสิทธิภาพของค่ายกลจึงมีพลังอย่างยิ่ง
นอกจากนี้มู่เฉินยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับรอบด้านและพลังของค่ายกลอีกด้วย ตราบใดที่ไม่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น คิดว่าคงสามารถดักอสูรวิญญาณพวกนี้ได้ทั้งหมด
หลังจากสร้างค่ายกลเรียบร้อย มู่เฉินก็ส่งสัญญาณมือ จิ่วโยวพยักหน้ารับรู้ก่อนทะยานออกไปพุ่งเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย
โฮก!
เมื่อจิ่วโยวเข้ามาถึงเป้าหมายนางก็ไม่ได้ซ่อนพลังชีวิตเอาไว้ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่ลอยเร่ร่อนไปมาก็เปล่งเสียงคำรามทันทีที่นางปรากฏตัว เงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาโรมรันนางทันที
จิ่วโยวก็ไม่ได้หยุดนิ่ง นางพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดทะยานรอบนอกแนวป่า แต่เนื่องจากส่วนในมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมาก นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
โฮก!
เพียงสองสามนาทีเมื่อจิ่วโยวเหาะเหินออกจากป่าอีกครั้งก็มีฝูงวิญญญาณอสูรติดตามเป็นพรวน จำนวนที่มากขนาดนั้นทำให้หานซันและคนอื่นๆ ที่รออยู่บนต้นไม้รู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบไปหมด
จิ่วโยวพุ่งไปยังทิศทางของค่ายกลที่มู่เฉินสร้างไว้ล่วงหน้า นำอสูรวิญญาณจำนวนมากเข้าไป
ทันทีที่ฝูงอสูรวิญญาณเข้าไปในค่ายกล ตราประทับในมือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เปิดใช้งานค่ายกลทันที
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงหลิงก็แวววาวขึ้นในมิติ เส้นสายซับซ้อนนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันเข้าด้วยกันกลายเป็นลวดลายจำนวนมาก สุดท้ายก็กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้
มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งออกมาในช่วงเวลาที่ค่ายกลตีกรอบขึ้น ทั้งสองยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่จ้องมองลงมาที่บริเวณนั้นก็เห็นอสูรวิญญาณจำนวนมากวิ่งวุ่นวายในความยุ่งเหยิงราวกับแมลงวันหัวขาด ทุกครั้งที่มีอสูรวิญญาณบางตัวกำลังจะพุ่งออกมา พวกมันก็จะวกกลับเข้าไปข้างในเองอีกครั้ง…
“เยี่ยม” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม วิธีการของหลิงเจิ้นซือลึกซึ้งอย่างแท้จริง โดยทั่วไปแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังหลิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถดักอสูรวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ข้าเพิ่มบางอย่างลงไปในค่ายกล สามารถขัดขวางการรับรู้ของวิญญาณเหล่านี้ที่มีต่อคลื่นพลังงานชีวิต ก่อนที่คลื่นหลิงของค่ายกลจะหมดสิ้น พวกมันน่าจะบินวนอยู่ในนี้เท่านั้น” มู่เฉินยิ้ม
จิ่วโยวพยักหน้าก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของป่า หลังจากจัดการกับฝูงอสูรวิญญาณแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อจัดการกับพวกอสูรวิญญาณขั้นเจ็ด
“ข้าจะปล่อยพวกมันให้พวกเจ้า”
มู่เฉินยิ้มมองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่งของป่า เขาต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินทะยานออกไป นางก็หันกลับไปมองมั่วเฟิง หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า ทั้งกลุ่มค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ที่อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่
ในส่วนลึกร่างสีเทาดำจำนวนมากกำลังลอยเร่ร่อนพร้อมกับกำจายรัศมีความตายที่ทรงพลัง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณก่อนหน้า พวกมันแข็งแกร่งกว่ามาก
โฮก!
ขณะที่พวกเขาเข้าไปในส่วนลึก พลังชีวิตก็ถูกสังเกตเห็นโดยอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดเหล่านั้น ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังก้องพร้อมกับเสียงลมถูกแยกออกจากกัน รัศมีความตายน่าสยดสยองกวนตัว ร่างเกือบสิบร่างปรากฏตัวล้อมรอบกลุ่มของจิ่วโยว
เมื่อมองจำนวนอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เข้ามา ใบหน้าของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงเลือกถอยหนีทันทีเมื่อพบกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมากเช่นนี้
วาบ!
อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีความอดทน ดังนั้นพวกมันจึงเปิดโจมตีทันที ขณะที่รัศมีความตายพวยพุ่ง ร่างพวกมันก็กลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากสีเทาโอบล้อมกลุ่มจิ่วโยว
อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบตัวโจมตีในเวลาเดียวกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยห่างจากกระแสเชี่ยวกรากของรัศมีความตาย
ทว่าจิ่วโยวกลับก้าวเท้าออกไปพร้อมกับมือแน่น ไม้เทพโทษาปรากฏขึ้น จากนั้นนางก็โบกลง ทันใดนั้นแสงสีดำก็กระจายออกราวกับความมืดเขมือบแสงในบริเวณนี้
แสงสีดำพุ่งลงมาทำให้กระแสรัศมีความตายไร้ขอบเขตอ่อนลงมาก ในเวลาเดียวกันเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น ทั้งพื้นที่เริ่มลุกไหม้ เกลียวเพลิงสีแดงม้วนตัวพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้รัศมีความตายทั้งหมด
ด้านหลังมั่วหลิงยิ้มขณะสั่นกระดิ่งในมือ เพลิงสีแดงที่แม้แต่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเจ็ดยังทนรับไม่ได้กวาดออกมาจากมัน
การโจมตีร่วมกันของอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยจิ่วโยวและมั่วหลิง
เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ แม้แต่ตัวจิ่วโยวและมั่วหลิงเองยังอดฉายความตื่นตะลึงบนใบหน้าไม่ได้ ถ้าเป็นในอดีตแม้ว่าทั้งคู่จะทำดีที่สุด ก็ไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พวกนางทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
“สมแล้วที่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มิน่าล่ะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดโดยอาวุธมหสวรรค์ พลังของอาวุธเหล่านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง
ตู้ม!
เมื่อกระแสรัศมีความตายถูกเผาไหม้ หอกทองคำก็กวาดออกมาพร้อมกับแสงโบราณบริสุทธิ์ ขณะที่หอกวาบผ่านก็ทะลุผ่านหัวร่างอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งจนระเบิดเละเทะ
ปัง!
พลองสีดำฟาดลงมา เงาพุ่งดิ่งลง รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ร่างอสูรวิญญาณที่แข็งทนทานอีกตัวก็ถูกทำลายราบคาบด้วยพลอง
การลงมือฉับพลันของมั่วเฟิงและหานซันสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ทันที
ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หลังจากรู้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวพุ่งออกไปราวกับพยัคฆ์ร้าย ปะทะกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลือทันที
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดขึ้น จอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรก็อ้าปากตาค้าง เมื่อเห็นทั้งสี่คนสำแดงพลังแบบไม่มีใครยอมใคร กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่ตอนแรกได้เปรียบก็แพ้ยับเยิน
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างอสูรวิญญาณสิบตัวก็ถูกกำจัดหมดสิ้น
ด้วยการเริ่มต้นที่ดี พวกเขาก็ไม่ลังเลเคลื่อนไหวออกไปเพื่อล้างบางร่างอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลืออยู่ในป่า พยายามจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะที่พวกเขากำลังกำจัดอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดในป่าไปเรื่อยๆ ที่ส่วนลึกการเตรียมของมู่เฉินก็ค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์
ปุ! ปุ!
มู่เฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาปัดมืออย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองไปที่ระยะไกล รัศมีความตายรุนแรงกวาดอยู่ในบริเวณนั้น มีเงาร่างที่ดูเลือนราง ปล่อยแรงกดดันทรงพลัง
เมื่อมองไปที่เงาร่างนั้น มู่เฉินก็หรี่ตาลงขณะที่คลี่ยิ้ม
ต่อไปถึงตาแกแล้ว