หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1011

ตอนที่ 1011

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1011 ราชันสงครามโลหิต
ด้านหลังศิลาพลังยุทธ์

ประตูแสงซึ่งกำจายคลื่นความผันผวนโบราณปรากฏขึ้นเงียบๆ ราวกับมีความอ้างว้างที่ไม่รู้จบซ่านออกมาจากความสว่าง ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกเคารพบูชา

ทั้งสี่คนจ้องมองไป

“นี่คือทางสู่ชั้นสุดท้ายใช่ไหม? ชั้นห้าคืออะไรกัน?” มู่เฉินมองไปที่มั่วเฟิงเอ่ยถามเสียงต่ำ

พอมั่วเฟิงได้ยินคำถามก็ส่ายหัว “มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าได้ ว่ากันว่าการทดสอบในชั้นห้าไม่ตายตัว บททดสอบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าการทดสอบใดรอเราอยู่”

มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายของมั่วเฟิง ไม่รู้ว่าทำไมชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายถึงได้สร้างความรู้สึกกลัวเบางบางให้กับเขาแบบไม่เคยปรากฏมาก่อน

แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะถอย

นอกจากนี้หลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า พลังกายของเขาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าแค่ก้าวไปอีกนิดเดียวเท่านั้น

กายามังกรหงส์ก็จะบรรลุขั้นสอง!

ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าต่างๆ มู่เฉินก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว

ในหมู่จอมยุทพธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคงไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก

คิดถึงจุดนี้ แสงก็วาบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกสุดปอด เขาไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้ประโยชน์เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไปกันเถอะ!”

เมื่อพูดจบเขาก็เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในประตูแสง

ที่เบื้องหลังมั่วเฟิงก็ติดมา หานซันหรี่ตาลงยิ้มพลางปรายตามองจงเถิงที่ใบหน้ามืดครึ้มแล้วรีบตามไป

จงเถิงเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เขามองดูเงาร่างของทั้งสามที่หายเข้าไปในประตูแสง ไอเย็นยะเยือกก็พล่านในดวงตา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุดในชั้นห้าให้จงได้

เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน มู่เฉินจะเป็นคนแรกที่ตายที่นี่!

“มาดูกันว่าใครจะหัวเราะคนสุดท้าย!” จงเถิงพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปในอุโมงค์แสงที่เชื่อมโยงกับชั้นสุดท้าย

เมื่อทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในประตู

สายตาลุกโชนของทุกคนที่ด้านนอกเจดีย์ก็เลื่อนไปยังชั้นห้า

พวกเขาก็อยากรู้ว่าการทดสอบใดรออยู่ในชั้นห้า… จากข้อมูลที่พวกเขารู้มาคนที่สามารถผ่านการทดสอบชั้นห้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น

แม้ว่าทั้งสี่คนถือว่ามีฝีมือ แต่พวกเขาก็อาจกลับมาพร้อมกับความเสียใจ

มั่วหลิงกำมือแน่นถามจิ่วโยวเสียงเบาๆ “พี่ใหญ่จิ่วโยว พวกเขาจะผ่านชั้นห้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”

จิ่วโยวไตร่ตรอง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยาก ลือกันว่าการทดสอบชั้นห้าไม่ตายตัว บางครั้งกระทั่งอาวุธมหสวรรค์ยังเข้าจู่โจม… แน่นอนว่าไม่ใช่ของจริง มันเป็นภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเราจะสามารถรับได้”

มั่วหลิงจุปากมีกระทั่งการโจมตีจากอาวุธมหสวรรค์? การจู่โจมนั่นอาจจะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตายคาที่เลยมั้ง?

ชั้นห้าของเจดีย์ยากขนาดนี้เลยเหรอ?

เสียงกระซิบกระซาบดังไปรอบๆ เจดีย์ โดยที่สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ชั้นห้า ไม่นานจากนั้นแสงก็รวมตัวกันค่อยๆ ก่อตัวเป็นหน้าจอ

ทุกคนสายตาจ้องเขม็ง

อุโมงค์แสง

หลังจากที่มู่เฉินก้าวเข้าไป แสงก็ปกคลุมดวงตาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปราวกับคลื่นกระทบฝั่ง จากนั้นกลิ่นเลือดหนาแน่นก็ตลบอบอวล

กลิ่นคาวเฉียบพลันนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา แสงสีทองกำจายออกมาจากร่างทันที กระบี่ขนนกสีทองซึ่งยึดมาจากจงเถิงก็ปรากฏขึ้นในมือ

หลังจากเตรียมการป้องกันเสร็จ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นสีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ตั้งของสนามรบโบราณ สนามรบแห่งนี้มีซากศพถูกทิ้งเกลื่อนกลาด เลือดเจิ่งนองไปทั่ว รัศมีที่โหดร้ายโอบล้อมมิติ ทำให้แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังหนังหัวชาหนึบ

ด้านหลังไม่ไกลจากมู่เฉินอีกสามคนก็ปรากฏตัว เมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาก็หดเกร็งทันที จากนั้นก็ต่างพากันเร้าคลื่นหลิงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง

“นี่คือชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเหรอ?”

สายตามู่เฉินจ้องเขม็งไปที่สนามรบโบราณ รัศมีโหดเหี้ยมที่กวาดออกมาในภูมิภาคนี้ ทำให้ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่น่ากลัวเพียงใด

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจ สนามรบโบราณก็สั่นไหวอย่างเงียบๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นคาวเลือดและรัศมีโหดร้ายกำลังกวาดออก ราวกับว่ากำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นเงาร่างสีแดงที่เบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา

ร่างนี้สวมชุดเกราะสีแดงโลหิต เขายืนอยู่ระหว่างฟ้าดินพร้อมกับรัศมีสังหารไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์ รัศมีนี้ทำให้ทั้งสี่คนร่างแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

พวกเขาเคยเผชิญศึกเป็นตายมานับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรัศมีสังหารหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน ตอนที่ร่างเงานี้มีชีวิตอยู่จะต้องสร้างแม่น้ำเลือดและภูเขาศพไว้เกินคณานับ

ร่างทั้งสี่คนแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหว บนท้องฟ้าร่างสีแดงเข้มค่อยๆ ก้มศีรษะลงมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มที่ไม่มีคลื่นอารมณ์สักริ้วมองมาที่พวกเขา

เมื่อถูกมองด้วยดวงตาสีแดงเข้ม เส้นขนทั่วสรรพางค์กายทั้งสี่ก็ลุกซู่ ความปรารถนาที่จะพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ผุดขึ้นในหัวใจทันที แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงระงับความปรารถนานั้นและยืนหยัดอย่างมั่นคง

“ข้าคือราชันสงครามโลหิต”

ร่างสีแดงเข้มเอ่ยช้าๆ ทันทีที่เปล่งเสียงออกมา ลมคลั่งสีแดงก็กวาดตัวระหว่างฟ้าดินซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

“ราชันสงครามโลหิต?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ใบหน้าของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ร้องอุทานเสียงลั่น

“ใครเหรอ?” มู่เฉินไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่จึงถามมั่วเฟิงทันที

“มีตำนานกล่าวว่าราชันสงครามโลหิตเป็นจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนเสินโซ่ยุคโบราณ แม้เขาจะมีพรสวรรค์ธรรมดา แต่ก็รอดชีวิตมาจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ก้าวย่างผ่านแม่น้ำเลือดและภูเขาศพมากมาย ลือกันว่าจอมยุทธ์ผู้นี้มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่สามารถคุกคามได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!

“ยิ่งกว่านั้นตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในดินแดนเสิ่นโซ่ ราชันสงครามโลหิตก็ต่อสู้ถวายชีวิต เสียสละตนเองเพื่อกำจัดนักรบปีศาจที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว” มั่วเฟิงพูดด้วยความเคารพนับถือ

“ลากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนตายไปด้วย?”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ แม้นั่นจะยังเป็นระดับที่ไกลสำหรับเขา แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและระดับเทียนจื้อจุน ทว่าในเมื่อบุคคลผู้นี้สามารถลากนักรบปีศาจระดับเทียนจื้อจุนตายไปพร้อมกับตัวเองก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ทรงพลังอำนาจเพียงใด

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุคคลดังกล่าวยังคงมีความยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แม้จะดับสูญไปแล้วนับหมื่นปี

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงในใจ ร่างสีแดงเข้มก็พูดอย่างไม่แยแส “รับหนึ่งหมัดจากข้าได้ก็จะผ่านการทดสอบ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งสี่คนก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถฆ่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงภาพที่หลงเหลือไว้หลังจากผ่านไปหมื่นปี แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้แน่นอน

“บ้าเอ้ย นี่มันเกินไปแล้ว!” กระทั่งหานซันก็อดไม่ได้ที่จะขบฟัน เขาไม่มีความมั่นใจในการรับหมัดจากราชันสงครามโลหิตสักนิด

มั่วเฟิงก็ส่ายหัวอย่างจนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความหวังใดๆ เลย

มู่เฉินขมวดคิ้ว ความยากลำบากในชั้นห้าเกินกว่าจินตนาการไปมาก…

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่ในใจ ราชันสงครามโลหิตก็ยังแสดงออกอย่างเฉยเมย นอกจากนี้หลังจากที่พูดจบจิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายก็ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม

นิ้วทั้งห้ากำแน่นเป็นหมัด เสียงยิ่งใหญ่ไม่แยแสสะท้อนก้องไปทั่วสนามรบโบราณ “ข้าผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน คิดค้นวิทยายุทธระดับเสินทงด้วยตนเอง นี่คือหมัดปีศาจพลีชีพ ใครที่สามารถรับได้จะได้รับการสืบทอดกระบวนท่าแรก”

นรกเอ้ย!

เมื่อได้ยินว่าไม่เพียงแต่เป็นราชันสงครามโลหิตจะออกกระบวนท่า เขายังจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงอีกด้วย ทั้งสี่คนก็ได้แต่สาปแช่ง ชายคนนี้คิดว่ายังรังแกพวกเขาไม่พออีกเรอะ? ราชันสงครามโลหิตอะไรกัน เรียกว่าราชันหน้าด้านแทนซะเถอะ!

ทว่าเมื่อคำพูดสุดท้ายสะท้อนในโสตประสาทก็ทำเอาทั้งสี่อึ้งไป ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

วิทยายุทธระดับเสินทง?!

พวกเขาสามารถได้รับคัมภีร์เทพที่คิดค้นขึ้นโดยราชันสงครามโลหิตจริงเหรอ?!

แม้สติจะบอกพวกเขาว่าไม่มีทางรับหมัดนั้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความโลภในหัวใจได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความสำรวม แต่เพราะรางวัล…เหลือเฟือนัก!

วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวั่นไหวได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย!

ราคาสำหรับหนึ่งกระบวนท่าก็เกินกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับก่อนหน้ามาหมดแล้ว!

ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ต่างเห็นความโลภหนาแน่นในดวงตาของกันและกัน ขณะนี้ไม่มีใครคิดจะถอยออกเลย…

“มนุษย์ตายเพื่อความร่ำรวย นกตายเพื่ออาหาร…”

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกดวงตากะพริบวูบไหวมองไปที่ราชันสงครามโลหิต เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรพวกเขาก็ต้องลองดู อย่างมากก็แค่ยอมแพ้ถอยออกจากเจดีย์

หลังจากที่ราชันสงครามโลหิตพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นจิตสังหารพลุ่งพล่านล้นเหลือ จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้า ฝีเท้านั้นดูเหมือนจะทำให้เกิดเสียงคำรามนับไม่ถ้วนระหว่างฟ้าดินเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายไม่รู้จบหลั่งไหลมาจากมิติและกาลเวลา ทำเอาพื้นที่โยกคลอน

ในดวงตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เขามองไปที่ทั้งสี่คนก่อนที่จะชกช้าๆ ในเวลาเดียวกันเสียงโบราณก็สั่นสะเทือนเส้นขอบฟ้า

สังเวยพลังกายปีศาจของข้า ทำลายอดีตและปัจจุบัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท