หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1040

ตอนที่ 1040

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ
เหนือทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบเชียบ

ร่างเงาหนึ่งลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับขอนไม้ ระลอกคลื่นบนพื้นผิวทะเลสาบก็ไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของเขาได้

ซึ่งร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เลือกเข้าฝึกฝนเหนือทะเลสาบตัวเป่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบสงบไม่มีการรบกวนจากรัศมีความตาย ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสมาธิ

รอบทะเลสาบจิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าสู่การฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มา ดังนั้นจึงต้องหล่ออาวุธเหล่านี้ด้วยคลื่นหลิงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้

ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงสนับสนุนต่อข้อเสนอแนะของมู่เฉินในการทำสมาธิ

ระหว่างการทำสมาธิ มู่เฉินก็ลืมตาม่านสีดำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวนใด เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนหยิบขวดหยกแล้วพลิกนิ้ว สายธารพุ่งออกมาจากปากขวด คลื่นหลิงในฟ้าดินต้มเดือดทันที มีหมอกหลิงห่อหุ้มร่างของมู่เฉินอยู่เลือนราง

สายธารนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด

โดยทั่วไปการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะขาดของเหลวจื้อจุนไม่ได้ เพราะนี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่จอมยุทธ์ทุกคนระดับนี้ต้องการ ตราบใดที่พวกเขามีปริมาณของเหลวจื้อจุนอย่างเพียงพอ การฝึกฝนของพวกเขาจะมีผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

สายธารของเหลวจื้อจุนม้วนตัวอยู่รอบร่างมู่เฉิน เมื่อกวาดมองคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าล้านหยดเลยทีเดียว มู่เฉินหลับตาเปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าเบาๆ ทันใดนั้นสายธารที่สร้างจากของเหลวจื้อจุนก็ก่อตัวเป็นมังกรตัวยาวเปล่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไปในปากเขา

พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินวาววับด้วยแสงหลิงขณะที่หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มเพื่อชำระของเหลวจื้อจุน ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่พัฒนาคลื่นหลิงที่อยู่ในร่างกาย

เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มู่เฉินกลืนกินของเหลวจื้อจุนซึ่งคล้ายกับวาฬระหว่างฝึกฝน

เวลาร่วงหล่นราวกับนาฬิกาทราย

การเข้าสู่สมาธิ ผ่านไปเกือบสิบวันในพริบตา

ในช่วงสิบวัน มู่เฉินแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลืนกินของเหลวจื้อจุนและเขาก็ใช้ไปแล้วห้าล้านหยดซึ่งเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้มา

ทว่าการฝึกฝนของมู่เฉินก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับจำนวนของเหลวที่ลดลง คลื่นหลิงของเขาไต่เข้าสู่ระยะปลายสุดอย่างสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้แล้ว

สิ่งที่มู่เฉินรู้สึกเซ็งก็คือความรู้สึกที่จะบุกทะลวงไปสู่ขั้นเจ็ดยังมองไม่เห็นเลย ดูท่าเขาจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อบุกเข้าไปแทนแล้ว

นอกจากนี้มู่เฉินยังได้ใช้ความสามารถของเนตรดับชีวิตตลอดการฝึกฝน เขาสำรวจรอบๆ สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่เพื่อค้นหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ

ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในการค้นหา

สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาล มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่ปิดกั้นประสาทสัมผัส แม้จะมีเนตรดับชีวิตก็ยากที่จะค้นหาได้อย่างชัดเจน

แต่เห็นได้ชัดว่าคนอย่างมู่เฉินไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว เนื่องจากเขาตัดสินใจตั้งแต่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ว่าจะช่วยเหลือจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์ให้จงได้

ดังนั้นความล้มเหลวแค่นี้ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจของเขาได้หรอก

มู่เฉินเปิดเปลือกตาออกจากสมาธิ สายธารของเหลวจื้อจุนยิ่งใหญ่ก็ลดขนาดลงจนกลายเป็นสายหมอกสุดท้ายสูดเข้าไปในนาสิกประสาท

ริ้วแสงวูบไหวในม่านตาสีดำ ก่อนที่ร่างเขาจะเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า แสงสีดำปริออกจากตรงหว่างคิ้ว ดวงตาที่สามเปิดออกพร้อมกับความลึกลับเปล่งประกายออกมา

แสงสีดำราวกับสามารถทะลุผ่านมิติไม่มีที่สิ้นสุด ภาพในรัศมีหมื่นลี้สะท้อนเข้าในดวงตาทั้งหมด

มู่เฉินใช้พลังของเนตรดับชีวิตอีกครั้ง พยายามที่จะค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร

แสงสีดำทะลุทะลวงผ่าน ทุกตารางนิ้วที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ถูกค้นโดยเขา แต่ชัดว่ามีข้อจำกัดสำหรับเนตรดับชีวิต ในการสำรวจพื้นที่ยิ่งไกลจะยิ่งเบลอมากขึ้น

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา มู่เฉินได้ทำการค้นหาบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้คลื่นจิตจึงค่อยๆ แผ่ลึกเข้าไปในสุสาน

รัศมีความตายในพื้นที่เหล่านั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะมีเนตรดับชีวิต เขาก็ยังมีปัญหาในการสำรวจ

ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสำรวจ แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกผิดหวังเนื่องจากยังไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะโบราณเลยสักนิด

ดังนั้นคิ้วจึงขมวดแน่น เขาไม่คิดว่าการได้เบาะแสจะยากเย็นขนาดนี้ หานซันเคยพูดถึงเพลิงอมตะ แต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นประกายไฟอะไรเลย

ถ้าไม่ใช่ความเชื่อใจในตัวหานซัน เขาคงจะสงสัยว่าหานซันโกหกกันรึเปล่าแล้ว…

เมื่อการสำรวจดำเนินต่อไป มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นเพราะเขาใช้เนตรดับชีวิตนานเกินไป จึงแสดงอาการถึงขีดจำกัดแล้ว

มู่เฉินสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้ กำลังคิดจะเลิกค้นหา

“หืม?”

แต่ขณะที่เขาคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นดวงตาก็หดเกร็ง แสงสีดำวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ส่องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน

ตำแหน่งที่แสงสีดำส่องเข้าไปมืดสนิท หากก่อนหน้ามู่เฉินยังสามารถเห็นส่วนอื่นๆ ได้แม้จะเบลอไปบ้าง แต่บริเวณนี้ก็มืดสนิทราวกับถูกอะไรปิดบังไว้

“สถานที่นี้แปลกมาก…”

มู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดเนตรดับชีวิต แสงสีดำรวมกันในดวงตาเขาพยายามมองผ่านความมืด

แต่ขณะที่แสงสีดำแทรกผ่านในความมืดมิด มิติก็เริ่มผันผวน เสียงคำรามป่าเถื่อนและน่ากลัวดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันเพลิงก็แผดเผาพื้นที่พร้อมกับความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไป ตัดภาพเนตรดับชีวิตทันที

ปัง!

ร่างกายมู่เฉินกระตุก ริ้วเลือดไหลออกมาจากเนตรดับชีวิตที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ชัดว่าเขาถูกโจมตี

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พื้นที่มืดมิดนั้นน่ากลัวมากจนเขาถูกจู่โจมจากการใช้เนตรดับชีวิตแอบมองเข้าไปสั้นๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังเต็มที่และพุ่งเข้าไปแบบทะเล่อทะล่า มิฉะนั้นกระทั่งเนตรดับชีวิตก็อาจจะเสียหายหนัก

“พื้นที่นั้นมีอะไรบางอย่าง?”

มู่เฉินนวดหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด โดยทั่วไปพื้นที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังละร่างไว้ ดังนั้นพื้นที่จึงได้รับการปกป้องโดยรัศมีของพวกมัน

ทว่ามู่เฉินได้สืบเสาะไปในหลายพื้นที่ของสุสานหมื่นอสูรในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจู่โจมอย่างน่ากลัว ชัดว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสะพรึงอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

“เปลวไฟเมื่อครู่… ดูคุ้นๆ แฮะ นั่นใช่เพลิงอมตะไหม?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะถูกตัดภาพ เหมือนจะเห็นแปลวไฟอยู่ ไม่รู้ว่านั่นใช่เพลิงอมตะหรือไม่?

แต่เสียงคำรามที่น่ากลัวนั้นก็เหมือนไม่ใช่ของวิหคอมตะ

ดินแดนนั้นแปลกประหลาดและลึกลับอย่างแท้จริง

สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบ หลังจากที่เนตรดับชีวิตฟื้นตัวมาเล็กน้อย เขาก็เปิดใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามมองผ่านความมืดกลับตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแทน

พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเลือนรางของรัศมีความตาย คิดว่าคงมาจากอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง

“นั่นน่าจะเป็นส่วนลึกของสุสาน มิน่าล่ะถึงมีอสูรวิญญาณที่ทรงพลังจำนวนมากคอยปกป้อง… ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ พื้นที่โดยรอบถูกล้อมกรอบด้วยปราการอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ยากที่จะเข้าไป

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินตรวจสอบบริเวณนั้น จู่ๆ เขาก็อุทานสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านความมืดอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือพื้นที่มืดมิดนั้น

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจที่สุดก็คือมีร่างเงาบางส่วนที่เขาจำได้ ภายในกลุ่มนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงคุ้นหน้า ซึ่งก็คือฉื้อหงหวู่และไป๋ปิงที่เคยพบกันในตลาดเสรี

“สมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?” สายตามู่เฉินวูบไหว เงาร่างเหล่านั้นถูกล้อมไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่าหงส์ฟ้า

สายตามู่เฉินเลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งมีคนคนหนึ่งนำหน้า ดูท่าเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว

คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้า สีหน้าไม่แยแส รัศมีเย็นเยือกอย่างยิ่งล้อมรอบร่างเขา ในเส้นทางที่พุ่งผ่านแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง

มู่เฉินจ้องมองไปที่คนคนนั้นก็รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนัง นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อพลังกายของเขาอย่างมาก

ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมอง ชายชุดสีฟ้าก็หยุดชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในมิติเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน

“หึ”

เขาเค้นเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็กำมือ พัดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น นี่เป็นพัดสีฟ้าน้ำแข็ง ดูเหมือนทำมาจากขนหงส์ฟ้าโดยมีไฟสีขาวลุกโชนอยู่ เปลวไฟนั้นไม่ได้ร้อน แต่กลับปล่อยไอเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก

เขาถือพัดโบกใส่มิติเบื้องหน้า เปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป ชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำให้พื้นที่เย็นยะเยือกลงอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่มิติแข็งตัว แสงสีดำจากเนตรดับชีวิตของมู่เฉินก็ถูกความหนาวเหน็บกัดกร่อนจนสลายไป

บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า มู่เฉินลืมตาขึ้น เนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็จางลงไปช้าๆ ในม่านตาสีดำแสงแปลกประหลาดกะพริบวาบเมื่อมองไปทางนั้น

ชายชุดสีฟ้าคนนั้นน่าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า… แต่ทำไมพวกเขาถึงไปยังดินแดนมืดมิดนั่น?

พัดขนนกขาวน่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ มิฉะนั้นเปลวไฟสีขาวคงไม่สามารถตัดการมองของเนตรดับชีวิตได้

“แปลกมาก…”

สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย ขณะที่พึมพำด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ

เผ่าหงส์ฟ้าจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีผลกำไร นอกจากนี้พวกเขาไว้ตัว สิ่งธรรมดาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางอย่างเร่งรีบ ก็หมายความว่าต้องมีบางสิ่งที่พิเศษในดินแดนนั้นแน่นอน

และสิ่งที่ไม่ธรรมดาอาจมีโอกาสเป็น… วิหคอมตะโบราณ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท