หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1049

ตอนที่ 1049

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1049 อำนาจแห่งเนตรดับชีวิต
ดวงตาสีดำแนวตั้งเปิดขึ้นช้าๆ บนหน้าผากของมู่เฉิน

พร้อมกับแสงสีดำไหลเวียนอยู่ภายใน ประหนึ่งแสงแห่งการทำลายล้างกลั่นตัว เมื่อแสงสีดำกะพริบกระทั่งมิติไร้ขอบเขตก็สามารถทะลุทะลวงไปได้อย่างง่ายดาย

ไกลออกไป เมื่อพวกจิ่วโยวเห็นดวงตาที่หว่างคิ้วของมู่เฉินเปิดขึ้น ดวงตาก็หดเกร็ง แม้ว่าหลังจากที่มู่เฉินได้สิ่งนี้มาจะใช้สำรวจเส้นทางเท่านั้น แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่าการสำรวจโดยทะลุมิติเป็นเพียงความสามารถเสริมเท่านั้น

ด้วยความสัมพันธ์ของจิ่วโยวกับมู่เฉิน นางได้ยินเขาพูดถึงเนตรดับชีวิตว่าอาวุธชิ้นนี้ได้รับการชำระโดยอสูรโบราณโภคะที่ใช้ดวงตาของมันเป็นวัสดุพื้นฐาน ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในแง่ของราคากระทั่งอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งหมดในมือของพวกนางรวมกันก็ด้อยกว่าเนตรชิ้นนี้

ช่องว่างระหว่างของเสมือนกับของแท้กว้างใหญ่อย่างกับปากอ่าว

ขณะที่เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่เฉิน รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณก็กวนตัวรุนแรง ร่างที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าก็หยุดลง ร่างกายที่ตึงแน่นขึ้นแสดงความตั้งระวังขีดสุด

เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจากเนตรดับชีวิตบนหน้าผากของมู่เฉิน

ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ หลังจากการโจมตีของชั้นค่ายกลอันหนักหน่วง มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดช่องโหว่ใหญ่ในรัศมีป้องกันของมัน

ถ้ามันถูกโจมตีโดยเนตรดับชีวิตอีกครั้ง มันตายคาที่จริงๆ แน่ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีชีวิตแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ยังทำให้มันพยายามแสวงหาชีวิตและหลีกเลี่ยงความตาย

ดังนั้นแววหวาดกลัวจึงวาบวับในดวงตาของมันซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตาย

แต่ในตอนนี้เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่คิดปล่อยให้มันหนีไปอย่างง่ายดายจากอาการบาดเจ็บหนักแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าไปหาพรรคพวกที่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังท่าทางนี้ คลื่นไร้ขอบเขตถูกกวาดออกไปทันที อาวุธเสมือนมหสวรรค์ปิดกั้นเส้นทางด้านหลังของร่างอสูรวิญญาณ ไม่เหลือทางให้มันหลบหนีไปได้

ขณะที่คนอื่นๆ สร้างปราการกีดขวาง มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ขวดหยกพุ่งออกมาก่อนที่จะระเบิด กระแสธารหลั่งไหลออกมาทันที

กระแสธารม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาพลังงานหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นขึ้นพร้อมกับหมอกหลิงหลั่งไหลออกมา

จิ่วโยวจ้องมองไปที่สายธารก็พบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากของเหลวจื้อจุน มองดูคร่าวๆ อาจมีเกือบล้านหยดเลยทีเดียว…

“หรือว่ามู่เฉินต้องการของเหลวจื้อจุนจำนวนมากนี้เพื่อใช้กับเนตรดับวิญญาณ?” จิ่วโยวผงะไป จากนั้นก็แอบรู้สึกผวา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือพวกนางใช้พลังงานหลิงของผู้ครอบครองก็สามารถแสดงพลังได้ ไม่คิดว่าเนตรดับชีวิตของมู่เฉินจะต้องการความช่วยเหลือจากพลังงานภายนอกด้วย

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความตกใจของพรรคพวก เขามองสายธารพลังงานหลิงรอบตัว ก่อนถอนหายใจอย่างจนใจในหัวใจ เนื่องจากพูดไม่ออกเกี่ยวกับความจริงที่ของเหลวจื้อจุนจำนวนนี้จำเป็นสำหรับเขาที่จะใช้งานเนตรดับชีวิต อาวุธนี้เป็นหลุมไร้ก้น ใช้หนึ่งครั้งก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงล้านหยด ด้วยทรัพย์สินที่เขามีตอนนี้ ต่อให้คั้นออกมาหมดก็ใช้เนตรดับชีวิตได้สี่ห้าครั้งเท่านั้น

แต่ตอนนี้ถ้าเขาต้องการจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เขาก็ต้องใช้เนตรดับชีวิตนี้

พอคิดได้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง แสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิตพร้อมกับแรงดูดที่ระเบิดออก เนตรดับชีวิตก็ราวกับวาฬกลืนของเหลวล้ำค่าเข้าไป …

เมื่อกลืนกินของเหลวปริมาณมากเข้าไป ดวงตาก็กลายเป็นสีดำสนิทและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองจากที่ไกลประหนึ่งหลุมดำขนาดเล็ก พลังงานหลิงในร่างของคนคนหนึ่งถึงกับแตกสลาย หากพวกเขามองเป็นเวลานาน

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ถึงพลังทรงประสิทธิภาพเดือดพล่านที่เนตรดับชีวิตกลางหน้าผาก ถ้าพลังงานนี้ระเบิดออกมา แม้แต่สมองของเขาก็จะกลายเป็นธุลี

ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เปลี่ยนกระบวนท่าในมือ ชั้นแสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิต ทำให้มิติรอบดวงตายุบลงเป็นชั้นๆ

ร่างอสูรวิญญาณซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกรากถอยกลับไป มันไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไป เนื่องจากสัมผัสถึงภัยคุกคามของการทำลายล้าง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

มู่เฉินไม่สนใจกับปฏิกิริยาของอสูรวิญญาณ แสงสีดำที่หว่างคิ้วควบแน่น ในช่วงสิบลมหายใจก็ข้นคลั่กจนถึงขีดสุด ชั้นแสงสีดำระเบิดออกมาจากเนตรดับชีวิต

“เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”

มือของมู่เฉินประสานกัน ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังกึกก้องจากหัวใจ

ฟิ้ว!

ม่านตาแนวดิ่งสีดำหมุนคว้างก่อนที่จะเล็งเป้าเข้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปดที่กำลังถอยกลับ วินาทีต่อมาแสงสีดำขนาดร้อยจั้งก็พุ่งออกมาจากรูม่านตา

แสงสีดำนี้แปลกประหลาดมาก กระทั่งเวลาภายในยังเหมือนจะช้าลง ในเส้นทางที่พุ่งผ่านไม่มีการทำลายล้างรุนแรง แต่เมื่อแสงพุ่งไปอย่างเงียบเชียบ พลังชีวิตในเส้นทางก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก มากจนแม้แต่พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินยังถูกลบออกไปอย่างผิดปกติ

เมื่อคนอื่นเห็นแสงสีดำนี้ก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ อันตรายคุกคามห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา

ร่างอสูรวิญญาณก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายระเบิดออกมาจากร่างโดยไม่กักเก็บ ก่อร่างเป็นโล่มรณะป้องกันที่ด้านหลังขณะที่มันหนีไปแบบไม่คิดชีวิต

ปัง!

แสงสีดำที่ลบล้างพลังชีวิตกระแทกโล่จังใหญ่ ทว่ารัศมีความตายเชี่ยวกรากกลับไม่สามารถสกัดได้แม้แต่น้อย พริบตาก็ละลายอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว!

แสงสีดำทะลวงผ่านโล่พุ่งผ่านขอบฟ้าไล่ตามร่างอสูรวิญญาณที่เผ่นหนีไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะกระแทกหัวมันเต็มแรง

แม้ว่าอสูรวิญญาณจะหมุนวนรัศมีความตายอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างการป้องกัน แต่เมื่อแสงสีดำพุ่งผ่านหัวก็หายไปจากคอทันที

ร่างอสูรวิญญาณค้างอยู่ในท่าโกยอ้าวไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงมาจากท้องฟ้า แรงส่งแยกต้นไม้ขนาดใหญ่ฉีกออกจากกัน

รัศมีความตายทรงพลังที่ห่อหุ้มร่างก็หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทิ้งไว้แต่ร่างตายซาก

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดได้โดยไร้การต่อต้าน พวกเขาก็อึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อหลุดจากอาการทุกคนก็สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปสุดปอด

ชัดว่าพวกเขาตกใจกับพลังอำนาจเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน

“สมกับเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์…” จิ่วโยวพึมพำ แม้ว่าก่อนหน้าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะเสียพลังไปมาก แต่อำนาจเนตรดับชีวิตก็น่ากลัวมากอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธเสมือนในมือของพวกนาง ชัดว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นอาวุธเสมือนก็ถูกจำแนกตามระดับขั้นเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นอสูรวิญญาณขั้นแปดถูกสังหารก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนตรดับชีวิตบนหน้าผากปิดลงอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย

มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏที่ด้านข้างร่างอสูรวิญญาณ จากนั้นด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างตายซากของอสูรวิญญาณขั้นแปดก็กลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายออกไป เหลือเพียงหัวใจสีดำที่เต้นตุบๆ ลอยขึ้นมา

หัวใจสีดำนี้เต็มไปด้วยรัศมีความตายอันน่าสะพรึง ชัดว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากรัศมีความตายมานานนับหมื่นปี

นี่คือหัวใจอสูรวิญญาณ หากพวกเขาต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพก็ต้องใช้สิ่งนี้พิสูจน์ถึงคุณสมบัติที่มี

มู่เฉินสะบัดมือเก็บหัวใจอสูรวิญญาณ จากนั้นก็คลายอารมณ์ตึงเครียด เตรียมการมานานในที่สุดก็ไม่ได้เกิดเหตุการ์ณไม่คาดฝัน ประสบผลสำเร็จในการล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด

นอกจากนี้สิ่งที่น่าเฉลิมฉลองที่สุดก็คือไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเขา ในบรรดากลุ่มที่เข้าสู่สุสานสักการะเทพ อาจมีเพียงกลุ่มชั้นนำเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

“อำนาจเนตรดับชีวิตน่ากลัวอย่างแท้จริง…” ความกลัววาบผ่านดวงตาของหานซัน เมื่อจ้องไปที่หน้าผากของมู่เฉิน

“แต่ก็จ่ายราคามหาศาลเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มอย่างจนใจ “การเปิดใช้งานทุกครั้งต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ถ้าใช้อีกสองสามครั้งกระทั่งของเหลวจื้อจุนที่กักไว้ใช้สำหรับการเพาะบ่มพลังก็คงจะหมดลงแล้ว”

ทุกคนหัวเราะร่วนเมื่อได้ยิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินล้อเล่นเท่านั้น เพราะการครอบครองสมบัตินี้จะเป็นวิธีการข่มขู่ที่ทรงพลังและการรับประกันของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น ในโลกนี้ชีวิตมีค่าเกินกว่ามูลค่าของของเหลวจื้อจุนนัก

“ในเมื่อเราได้หัวใจอสูรวิญญาณมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังส่วนในกันเถอะ” มู่เฉินเหลือบมองความพินาศรอบตัวก็พูดขึ้น เขาคันไม้คันมือที่จะเข้าไปในส่วนในเพื่อตรวจสอบว่ามีวิหคอมตะโบราณหรือไม่

ไม่มีใครคัดค้านจากคำพูดของเขา แต่ละคนพยักหน้ารับ

เมื่อมู่เฉินเห็นคำตอบก็ไม่อ้อยอิ่งอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใด พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเหาะเหินผ่านป่าไม้แห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะผ่านพ้นแนวป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นพื้นที่ที่แปลกตา

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวประหลาดใจขณะชี้ลงไปเบื้องล่าง เห็นป่าไม้วินาศสันตะโร ซึ่งรอยแตกเหล่านั้นเป็นหลักฐานว่ามีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้นรอยแตกก็ราวกับหุบเหวลึกกระจายไปสู่อีกด้านหนึ่งของป่า ซึ่งทิศทางนั้น… ก็คือสถานที่ที่มู่เฉินและพรรคพวกต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปด

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ กล่าวว่า “ดูท่าอสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากที่นี่”

“ดูจากร่องรอยที่เหลืออยู่ไม่น่ามาจากกลุ่มอื่น รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นเกินไป ดังนั้นน่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพวกมันกันเอง” มั่วเฟิงมองอย่างละเอียดก่อนที่จะพูด

“พวกมันสู้กันเองด้วยเหรอ?” มั่วหลิงร้องอุทานด้วยความตกใจ

“ถ้ามีบางสิ่งดึงดูดพวกมันได้มาก ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็สามารถสู้กันเองได้” มู่เฉินกล่าวช้าๆ

สายตาของเขามองตามร่องรอยบนพื้น จากนั้นก็ขยับร่างทะยานขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง สายตามองออกไประยะไกล ทันใดนั้นม่านสีดำก็หดลง

“ที่นั่นคือ…?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท