หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1042

ตอนที่ 1042

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1042 รวมตัว
ส่วนลึกสุดของสุสานหมื่นอสูร

พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายที่เข้มข้น สีเทาดำมืดไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตแผ่กระจายออกไปจนสุดปลายสายตาของผู้พบเห็น ราวกับว่ามันได้ปิดกั้นพลังงานชีวิตทั้งหมดไว้

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นเสียงอากาศฉีกออกจากกันก็ดังขึ้น เงาร่างหลายร่างเหาะเหินข้ามท้องฟ้า พริบตาพวกเขาก็พุ่งผ่านรัศมีความตายมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร

คนกลุ่มนี้ก็คือพวกมู่เฉินที่ออกจากทะเลสาบตัวเป่ากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าสุสานสักการะเทพ

“เราน่าจะใกล้ถึงส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว สุสานสักการะเทพคงอยู่ไม่ไกล”

มู่เฉินอยู่ที่ด้านหน้าสุด ริ้วแสงสีดำกะพริบที่กลางหว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เนตรดับชีวิต แต่ก็ยังสามารถมองผ่านรัศมีความตาย รับรู้ถึงสถานการณ์ในรัศมีหมื่นจั้ง เพื่อหลบเส้นทางของอสูรวิญญาณฝูงใหญ่

ที่ด้านหลังคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมเพรียง พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของมู่เฉิน ตั้งแต่ออกเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตงิดในใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนเสินโซ่หรือไม่

แน่นอนว่าพวกเขาต้องขอบคุณต่อการรับรู้ของมู่เฉิน ที่ทำให้การเดินทางราบรื่นมาก หากเขาไม่ได้ตรวจสอบล่วงหน้าและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง พวกเขาอาจได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

“คงมีบางกลุ่มที่ไปถึงสุสานสักการะเทพแล้ว” จิ่วโยวมองไปที่ฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีเทาอมดำ ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนซ่อนอยู่ในความมืดและตอนนี้น่าจะมีบางกลุ่มไปถึงแล้ว

มู่เฉินพยักหน้า ตลอดทางแม้ว่าพวกเขาจะแซงกลุ่มคนไปไม่น้อย แต่ก็ไล่ทันแค่พวกที่นำหน้าไป เนื่องจากต้องยอมรับว่ากลุ่มเหล่านั้นมีการจัดเรียงที่ทรงพลังมากเมื่อเทียบกับพวกเขา

นอกจากนี้ผู้นำของกลุ่มเหล่านั้นก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริง

พวกเขาถือเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์สูงสุดในกลุ่มอัจฉริยะที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้

แม้แต่จิงฉิงเทียนก็กลัวจนหงอ ถ้าต้องเจอพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงเข้า

ในการเดินทางไปที่สุสานสักการะเทพครั้งนี้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นจอมยุทธ์สุดยอดในดินแดนนี้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะโดดเด่นได้

ทว่าถึงแม้จะยาก แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลือดในกายเขากลับเดือดพล่านพร้อมกับไฟแห่งการต่อสู่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ในเส้นทางของยอดยุทธ์ ผู้ฝึกจะต้องพิชิตยอดเขาที่ยากสำหรับคนธรรมดาจะประสบความสำเร็จได้ ความยากลำบากนี้จะเป็นหินลับมีดสำหรับพวกเขาที่จะส่องประกายและยืนหยัดเพื่อความเป็นหนึ่ง

วาบ!

เลือดในกายเดือดปุด แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะบินผ่านยอดเขาสีเทาดำในสายแสง เมื่ออสูรวิญญาณบนยอดเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาก็หายวับไปในขอบฟ้าแล้ว

สี่ชั่วโมงต่อมาพวกมู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง พวกเขาพลิ้วตัวลงมาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเทาดำ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แผ่นดินบริเวณนั้นไม่ได้เป็นสีเทาดำอีกต่อไป แต่กลับเป็นสีแดงเข้มข้น

สีแดงเลือดหมูนั้นราวกับเลือดย้อมสีแผ่นดินเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็นเลือดที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง นั่นเป็นเพราะทั้งผืนดินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง กระทั่งมู่เฉินที่มีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตในร่างก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก

มีหุบเหวลึกมากมายบนพื้นซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น มากจนมิติบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตก นั่นเป็นเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นความหายนะใหญ่หลวง แม้ว่าผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่สามารถกู้คืนสภาพได้

รัศมีความตายที่โอบล้อมแผ่นดินนี้ ก็ไม่ใช่สีเทาดำกลับเป็นสีแดงอ่อนผสมกับปณิธานที่หลงเหลือของสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย แม้จะตายไปเจตนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถถูกลบล้างไปได้

ท่ามกลางรัศมีความตายสีแดง มีหอคอยสูงนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านราวกับต้นไม้ยืนต้น พวกมันเหมือนจะก่อเป็นปราการกั้นแยกแผ่นดินบริเวณนี้ออกจากโลกภายนอก รัศมีความตายสีแดงไม่อาจซึมออกมาได้ ในเวลาเดียวกันรัศมีสีเทาดำก็ถูกปิดกั้นไว้ที่ข้างนอกเช่นกัน

มู่เฉินหรี่ตาลง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผาก เขามองไปที่หอคอยสูงนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ด้วยความสามารถของเนตรดับชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หอคอย แต่เป็นโครงกระดูก

เขาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดของกระดูกเหล่านั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากเทพอสูรเพียงร่างเดียว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรจำนวนมากที่โอบล้อมพื้นที่นี้ราวกับสุสานที่ปกปักผู้ที่ละร่างอยู่ภายใน

“นี่คือสุสานสักการะเทพรึ?” จิ่วโยวมองไปที่สุสานตระการตาก็รู้สึกตกตะลึง เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานนี้พวกเขามีขนาดเล็กเท่ามด ความตกตะลึงนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

“น่าจะไม่ผิด”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเอียงศีรษะมองทิศทางอื่นของพื้นที่นี้ เขาสัมผัสได้คลุมเครือถึงความผันผวนของคลื่นหลิงในทิศทางเหล่านั้น ชัดว่ามีกลุ่มอื่นมาที่นี่อยู่เรื่อย

“ดูท่าข้อมูลของสุสานสักการะเทพกระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีกลุ่มทรงพลังจำนวนมากเข้ามา” หานซันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บางทีเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่อาจมาที่นี่

“เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอก” มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าเผ่าเทพอสูรระดับต้นจะมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถบังพายุได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด ยิ่งก่อนหน้านี้เผ่าต่างๆ ได้เข้ามาในสุสานหมื่นอสูร คนอื่นๆ จะไม่เกิดการคาดดาได้อย่างไร

ทว่ามู่เฉินก็รู้ดีว่ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นไม่คิดปกปิดข้อมูล เพราะหากคิดจะเก็บเกี่ยวในดินแดนน่ากลัวนี้ คนที่ไม่มีกำลังก็จะส่งตัวเองไปสู่ปากเหวความตายเท่านั้น

ในเมื่อคนอื่นโลภมากต้องการลงสู่ประตูนรก เผ่าเทพอสอูรระดับต้นก็พร้อมที่จะรับชมจากด้านข้างอย่างเลือดเย็น

“ไปที่นั่น”

ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็มองไปที่ส่วนนอกสุสานสักการะเทพ ที่มีกองหินใหญ่วางนิ่งพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังเปล่งออกมาจากมัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหมด

แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานสักการะเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาจะระมัดระวังและติดตามหลังกลุ่มคนส่วนใหญ่ไป

คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้

มู่เฉินทะยานเป็นผู้นำออกไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของเขาก็พลิ้วลงบนก้อนหินใหญ่โดยมีพรรคพวกตามมาติดๆ

เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนกลุ่มคนมากมายที่นี่

หินทุกก้อนมีกลุ่มคนแยกออกเป็นมากบ้างน้อยบ้าง นอกจากนี้จำนวนกลุ่มคนก็มีมากอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือการรวมตัวของกลุ่มเหล่านั้นทรงพลังมากจนไม่อาจประมาทได้

พวกเขาสามารถมาถึงสุสานสักการะเทพเป็นชุดแรก ชัดว่าต่างต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา

สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วจากนั้นจิตก็เคลื่อนไหว เขามองไปที่จุดลึกที่สุดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่ราวลานหินหลายก้อน ต่างมีร่างหลายร่างนั่งอยู่อย่างเงียบๆ

เขาอดหดดวงตาไม่ได้เมื่อกวาดมองร่างคนเหล่านี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขารู้สึกถึงการคุกคาม

“ทั้งหมดนั่นเป็นเผ่าเทพอสูรระดับต้นของโลกสัตว์อสูร” จิ่วโยวเอ่ยเสียงต่ำ ใบหน้านางอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างครั่นครามกับเผ่าเทพอสูรระดับต้นเหล่านี้ หากแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณมีอยู่จริง คนเหล่านี้ก็จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนาง

มู่เฉินพยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังกลุ่มกลุ่มหนึ่งเนื่องจากคนเหล่านั้นค่อนข้างแปลก ดวงตาของพวกเขามีหลายสี แสงระยิบระยับโอบล้อมพวกเขาขณะเปล่งพลังงานลึกลับออกมา

ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีฟ้าอมเขียว เรียวคิ้วเข้ารูป เปล่งประกายรัศมีสง่างามและสูงส่งทำให้นางดูเหมือนกับเซียนผู้หลุดพ้น

“นั่นคือเผ่านกยูงเก้าสีที่มีสายเลือดสูงส่งในบรรดาเทพอสูรกลางหาวซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย” จิ่วโยวอธิบายเพิ่มเติม

มู่เฉินพยักหน้า สายเลือดนกยูงเก้าสีทรงพลังและไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขาน้อยกว่าเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เล็กน้อย

“กลุ่มฝั่งนู้นน่าจะเป็นเผ่าวานรทะลุฟ้า” มู่เฉินมองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาสามร่างบนก้อนหิน ทั้งสามคนมีรูปร่างผอมบาง แต่ละคนถือไม้พลอง ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกลับรู้สึกถึงรัศมีคุกคามที่มาจากพวกเขา

เผ่าวานรทะลุฟ้าก็เป็นเผ่าเทพอสูรที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกสัตว์อสูร

“ยังมี…เผ่าคุนเผิง”

สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปทางขวาก็เห็นร่างหลายร่าง พวกเขามีท่าทางขี้เกียจ แต่เมื่อสายตากวาดผ่านคนอื่นๆ ก็สามารถรู้สึกถึงความคมชัดที่น่ากลัวภายใต้ท่าทางขี้เกียจนั้น

เผ่าคุนเผิงก็เป็นเผ่าเทพอสูรระดับตันที่มีสายเลือดทรงพลัง ความเร็วของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้

ท่ามกลางสมาชิกเผ่าคุนเผิง สายตามู่เฉินหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งมีผู้ชายหลับตานั่งอยู่ เขามีผมสีเงินยวง เมื่อเทียบกับพรรคพวกเหมือนขาดความเฉียบคมไปเล็กน้อย แต่จากประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยากหยั่งถึงมากที่สุดในกลุ่มของเผ่าคุนเผิง

“ส่วนตรงนั้นเป็นเผ่ากระเรียนฟ้า…”

“…”

มู่เฉินกวาดสายตาไป สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น สุดท้ายก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอย่างแท้จริง มีความได้เปรียบทรงพลังตั้งแต่เกิด

ในบรรดากลุ่มทรงพลัง พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขัน แต่รัศมีครอบงำนั้นก็คุกคามคนอื่นนัก

หลังจากที่มู่เฉินถอนหายใจ ก็เลื่อนสายตาไปที่ลานหินด้านหน้าสุด แต่คราวนี้ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไป เขาก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกที่ทะลุมิติยิงเข้าใส่ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงทันที

มู่เฉินขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองที่ไกลก็เห็นกลุ่มของเผ่าหงส์ฟ้า ชายชุดสีฟ้ากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่ราวกับใบมีด ความคมชัดในสายตาดูเหมือนต้องการมองทะลุให้ถึงแก่น

ชายสวมชุดสีฟ้าโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ อากาศเย็นล้อมรอบตัวเขา ขณะที่พูดอย่างไม่แยแส ก็ทำให้อากาศเย็นเยือกกระจายออกไปทั่วบริเวณ

“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท