หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1057

ตอนที่ 1057

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1057 มังกรพยัคฆ์สู้กัน
ครืน!

ภูเขาน้ำแข็งที่ดูราวกับหงส์ฟ้าสยายปีกพุ่งลงมาด้วยความเย็นไม่มีขีดจำกัด เมื่อความหนาวเย็นพัดผ่านกระทั่งมิติก็ยังถูกแช่แข็ง ช่างเป็นภาพงดงามตระการตาเมื่อมองจากระยะไกล

ทว่าภายใต้ความงดงามกลับเป็นอันตรายที่ทำให้หัวใจของผู้คนหวาดกลัว

เมื่อภูเขาน้ำแข็งขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน ก่อนที่จะเริ่มวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว

ฮึ่ม!

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกจากภายในร่างของมู่เฉินราวกับน้ำท่วม เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้าคลื่นพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากหลายเท่า

“ที่แท้ก็บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วนี่เอง!” เมื่อรับรู้ถึงคลื่นพลังงานรอบตัวมู่เฉิน สายตาทุกคนก็วูบไหว ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉินที่นอกสุสานสักการะเทพ เขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดเท่านั้น ไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นในเวลาอันสั้นได้

แต่ถึงแม้จะบรรลุได้ เขาก็อยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ขณะที่ไป๋หมิงอยู่ในขั้นแปดของแท้!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัวขณะที่สายตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ตราประทับเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องกังวาน มีแรงกดดันทรงพลังกระจายออกมาเบาบาง

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนของมู่เฉินส่งเสียงคำรามลั่นชั้นฟ้า แสงสีทองเอิบอาบไปทั่วเนื้อหนังของมู่เฉิน เกล็ดมังกรสีทองและปีกหงส์ฟ้าสีทองผุดขึ้นบนแขนของเขา ราวกับว่ากำลังก่อร่างเป็นชุดเกราะแขน ครอบคลุมแขนเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ

พลังหลิงและพลังกายระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้

ตู้ม!

แสงหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าผันผวนบนร่างของมู่เฉิน แรงกระเพื่อมทำให้จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉิน

แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินในตอนนี้

“เจ้านั่นมีความสามารถใช้ได้ มิน่าล่ะถึงกล้าท้าทายไป๋หมิง!” ใบหน้าของจอมยุทธ์เหล่านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเคร่งเครียด อาการเยาะเย้ยก่อนหน้าหายไปมาก นั่นเป็นเพราะภาพเบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะมีได้

ปัง!

เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ พวกเขาก็เห็นมู่เฉินถอยกลับไปครึ่งก้าวหลังจากรวมพลังกายและพลังหลิงเข้าด้วยกัน ร่างของเขาราวกับคันธนู ศอกง้างกลับไปด้านหลังจากนั้นก็ซัดออกมา

หมัดดูเชื่องช้าราวกับเคลื่อนที่ผ่านโคลน ทว่าทุกคนสามารถมองเห็นมิติบิดเบี้ยวในวิถีหมัด ระลอกคลื่นกระจายออกไปจากกำปั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง

ตู้ม!

หมัดเหวี่ยงออกไป แสงหลิงที่รุนแรงก็ถูกกวาดออกปะทะกับภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนลงมาภายใต้สายตาเคร่งเครียดที่จับจ้องมากมาย

ความผันผวนที่มองเห็นได้ปะทุเปรี้ยงปร้าง รอยร้าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนลานประลอง ร่างของมู่เฉินถูกภูเขาน้ำแข็งกดลงไปหนึ่งชุ่น เท้าจมลงในแผ่นพื้นที่แข็งแรง

เมื่อมองจากที่ไกล มู่เฉินดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง พยายามดิ้นรนอย่างขมขื่น

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้จากบนท้องฟ้าก็ยิ้มเย็นพร้อมกับขยับไปปรากฏตัวบนภูเขาน้ำแข็ง ตั้งใจที่จะกระทืบฝ่าเท้าลงไปเพื่อให้มู่เฉินฝังตัวอยู่ในลานประลอง

แต่ขณะที่เท้าของเขากำลังจะเหยียบลงไป ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน!

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากใต้ภูเขาน้ำแข็ง เสาแสงมังกรหงส์ขนาดหนึ่งร้อยจั้งก็พวยพุ่งขึ้นแยกภูเขาน้ำแข็งทะลุไปถึงยอด แสงสีทองที่ครอบงำนาบลงที่ใต้ฝ่าเท้าของไป๋หมิง

ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม ก่อนที่ร่างจะสว่างวาบหายไป ทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลังซึ่งถูกแสงสีทองแทงทะลุผ่านมา

ปัง!

แสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้าดูราวกับเสาสูงตระหง่านที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลก ภายใต้แสงสีทองอำไพ ภูเขาน้ำแข็งก็โยกคลอนก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็วแล้วอันตรธานหายไป

เมื่อกลุ่มอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นภาพนี้ก็ตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าการประลองซึ่งควรจะเป็นการต่อสู้ด้านเดียวจะเหนือความคาดหมายเช่นนี้

รัศมีเย็นเยือกค่อยๆ จางหายไป ทุกคนจ้องมองไป ก็เห็นมู่เฉินกำลังดึงขาขึ้นจากพื้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสายตาจับจ้องที่ท้องฟ้า

จุดนั้นไป๋หมิงปรากฏตัวขึ้นในพริบตา แม้เขายังแสดงสีหน้าไม่แยแส แต่ในดวงตามีแววอัศจรรย์ใจปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเขาจะตกใจไปกับพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาก่อนหน้า

ด้วยการรวมกันของพลังหลิงและพลังกาย แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาครอบครองมีมากเกินขอบเขตไปไกลมาก

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้าท้าทายเขา ที่แท้ก็มีความสามารถบางอย่างนี่เอง

ตู้ม!

ขณะที่ดวงตาของไป๋หมิงกะพริบ มู่เฉินที่อยู่เบื้องล่างก็กระทืบเท้าลงบนพื้นส่งแรงพุ่งเป็นสายแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าหาไป๋หมิง

ความปั่นป่วนสะท้อนไปทั่วบริเวณ มู่เฉินยังกล้าเป็นฝ่ายเริ่มตีโต้กลับรึ?

ฟิ้ว!

มู่เฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเหนือไป๋หมิง มือวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่เผยขึ้นอย่างเลือนราง แสงสีทองพุ่งออกมารวมตัวกันเป็นร่างขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านประหนึ่งเทพเซียน

มู่เฉินซัดใส่อย่างโหดร้ายทันทีที่เริ่มการโจมตี เขาเร้าร่างเทพสุริยะตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะลากการต่อสู้ให้ยาวเลือกดึงพลังเต็มที่ออกมาอย่างรวดเร็ว

ร่างเทพสุริยะยืนอยู่บนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองและดูลึกลับมาก มู่เฉินปรากฏบนหัวร่างใหญ่พร้อมกับตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดวงตะวันห้าดวงลุกโชติช่วงขึ้นจากร่างเทพสุริยะ สุดท้ายก็ระเบิดออกมา

“เปิดห้าตะวัน หอกสุริยะ!”

สายธารสีทองควบแน่นอยู่บนฝ่ามือของร่างเทพสุริยะกลั่นเป็นหอกทองคำขนาดใหญ่ที่มีดวงตะวันห้าดวงโคจรโดยรอบ เปล่งพลังทรงประสิทธิภาพออกมา

ด้วยขุมพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เพียงแค่พลิกมือก็ใช้กระบวนท่าระดับนี้ออกมาได้

ฟิ้ว!

หอกทองคำพุ่งออกไป ทำให้อากาศระเบิดออก จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปทางไป๋หมิง ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวราวกับอุกกาบาตดิ่งลงมานำมาซึ่งการทำลายล้าง

“หึ!”

หอกทองคำกวาดลงมา ไป๋หมิงสัมผัสได้ถึงการโจมตีไร้ขอบเขตใบหน้าก็มืดครึ้มลง เขาเค้นเสียงเย็นชา ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างก็ประสานเข้ากันสร้างตราประทับ สัญลักษณ์ลึกซึ้งกระจายออกมาจากฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะกดลงไปที่อากาศตรงหน้า

“ขนหงส์ฟ้าน้ำแข็ง!”

ฮึ่ม!

แสงหลิงไร้ขอบเขตควบแน่นกลายเป็นขนนกสีฟ้าน้ำแข็งร้อยจั้งแผ่ซ่านด้วยไอเย็นสะท้านปะทะกับหอกทองคำ

ปัง!

คลื่นกระแทกรุนแรงพัดออกมา หอกทองคำและขนนกน้ำแข็งก็ระเบิดพร้อมกัน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ขณะที่คลื่นกระแทกกวาดอาละวาด เสียงมวลลมพัดกระหึ่มก็ดังกึกก้องอยู่เบื้องหน้า ไป๋หมิงเงยหน้าขึ้นทันทีก่อนที่ม่านตาจะหดลง

สายธารสีทองสิบกว่าสายปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า สายธารแต่ละสายล้วนก่อจากหอกทองคำที่มีพลังพอจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดให้บาดเจ็บหนักได้

เมื่อพลังของมู่เฉินเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาก็สามารถใช้พลังหอกสุริยะได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในอดีตเขาต้องเค้นความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสามารถใช้การโจมตีกระบวนท่านี้ได้

ขนาดของกระบวนท่านี้เพียงพอที่จะทำให้เหล่าจอมยุทธ์รู้สึกหนังหัวชาดิกไปหมด

“ทักษะปัญญาอ่อน!”

พร้อมกับใบหน้าเย็นชา นิ้วของไป๋หมิงก็พวยพุ่งด้วยแสงเย็นเยือก เขาวาดตราประทับบนมิติตรงหน้า อึดใจต่อมานิ้วก็หยุดลง สายธารเย็นเยือกถั่งโถมออกมาก่อตัวเป็นโล่หนาขนาดพันจั้งที่มีภาพหงส์ฟ้าสยายปีกสลักอยู่ด้านบน ช่างงดงามและแข็งแกร่งมาก แม้แต่การโจมตีของจอมยุทธุ์มพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ไม่สามารถเจาะทะลุผ่านได้

ปัง! ปัง!

หอกทองคำครางกระหึ่มกระแทกกับโล่หงส์ฟ้าน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการโจมตีจะดุร้ายก็ทำได้เพียงให้เกิดรอยแตกบนโล่ ไม่สามารถทะลุผ่านได้

“ไม่มีพลังระดับจื้อจุนขั้นแปด ก็ฝันไปเถอะที่จะทำลายโล่วิญญาณหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้า” ยืนอยู่ข้างหลังโล่ไป๋หมิงสาดยิ้มเย็นชา

ฮึ่ม!

ทันทีที่เขาพูดจบ แสงสีทองก็ระเบิดออกมาที่เบื้องหน้า ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาราวกับดาวหาง ซึ่งภายในก็คือคทาสีทองขนาดใหญ่สองเล่ม

นี่คือกระบวนท่าย่อยเปิดเจ็ดตะวัน—คทาขวางฟ้า!

ในอดีตมู่เฉินสามารถควบแน่นได้เพียงหนึ่งเล่มด้วยพลังกาย แต่เมื่อรวมกับการพัฒนาขุมพลังตอนนี้ เขาสามารถควบแน่นคทาสองเล่มได้เพื่อใช้โจมตีพร้อมกัน

พลังคทาสองเล่มเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของแท้ก็ไม่กล้าประมาท

ตู้ม!

คทาสีทองทะลุขอบฟ้า อึดใจต่อมาก็กระแทกกับโล่วิจิตรบรรจง อาวุธทั้งสองชะงักลงชั่วคราว จากนั้นคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกมา โล่น้ำแข็งที่สามารถต้านการโจมตีของระดับจื้อจุนขั้นแปดก็ระเบิดออก

สะเก็ดน้ำแข็งและแสงสีทองสร้างหายนะไปทั่ว ไป๋หมิงก็ถอยร่นออกไปในสภาพที่น่าสมเพช ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีรุนแรงกะทันหันของมู่เฉินทำให้เขาเสียเปรียบ

บริเวณใกล้เคียงเหล่าจอมยุทธ์ฉายแววตาตกตะลึง เพราะไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาวะน่าอนาถได้

บนแท่นบูชาใบหน้าของไป๋ปิงก็เปลี่ยนเป็นความไม่เชื่อเช่นกัน ที่ด้านข้างใบหน้าของฉื่อหงหวู่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทั้งสองไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับไป๋หมิงได้

บนแท่นบูชาภายใต้สายตาตะลึงพรึงเพริดนับไม่ถ้วน ไป๋หมิงก็ทรงตัวได้มั่นคงบนลานประลอง สายตาราวกับใบมีดขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าโกรธแค้น

เขาไม่คิดว่าการจัดการกับมนุษย์คนนี้จะทำให้เขาลำบากเช่นนี้

ทว่าไป๋หมิงไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นความโกรธในใจจึงถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนที่จะเหยียดมือออกช้าๆ แสงเย็นเยือกวูบไหว พัดขนนกน้ำแข็งสีฟ้าก็ปรากฏขึ้น

เมื่อไป๋หมิงจับพัด แม้แต่มู่เฉินก็ต้องหดตาลง เนื่องจากภัยคุกคามจากอีกฝ่ายในตอนนี้ถูกยกขึ้นไปอีกขั้น

“ในที่สุดก็จะใช้อาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้วเรอะ”

**สำนวน มังกรพยัคฆ์สู้กัน แปลได้ว่า การต่อสู้ดุเดือดหรือหฤโหดมาก

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท