หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1055 แก่นมรดกโลหิตทั้งสาม
บนแท่นหินขนาดใหญ่
เมื่อสายตาเยาะเย้ยและไม่แยแสของไป๋หมิงสาดใส่ มู่เฉินก็ยังคงสีหน้าสงบ เขากวาดมองกลับไปก็เห็นว่าพวกไป๋หมิงยืนอยู่บนลานหินหนึ่ง ซึ่งตามคาดเผ่าคุนเผิงและเผ่านกยูงเก้าสีก็มาถึงแล้วด้วย
นอกจากกลุ่มชั้นยอดแล้ว มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจเนื่องจากมีกลุ่มอื่นๆ มาที่นี่เช่นกัน กลุ่มเหล่านั้นมาจากเผ่าเทพอสูรที่มีรากฐานแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์สำหรับพวกเขาดูไม่ดีนัก มีกระทั่งการบาดเจ็บล้มตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจ่ายราคาแพงลิ่วตอนเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปด
ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไป กลุ่มคนที่อยู่บนแท่นหินก็มองมาที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในกลุ่มมู่เฉินเลย
นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้จ่ายราคาใดๆ ที่ต้องจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด
ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชม กลับยังมีร่องรอยแห่งความสงสารในสายตา นั่นเป็นเพราะตอนที่มู่เฉินใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าก่อนหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัว ดังนั้นจึงคิดว่ามู่เฉินใช้วัตถุนั้นไปกับอสูรวิญญาณขั้นแปดเรียบร้อย
วัตถุนั้นเป็นสิ่งที่มู่เฉินพึ่งพาได้มากที่สุด ก่อนหน้าที่กลุ่มไป๋หมิงไม่กล้าลงมือ ก็เพราะการมีอยู่ของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แต่หลังจากสูญเสียวัตถุน่ากลัวนี้ไป เขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ดุร้ายอย่างไป๋หมิงได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกเขาก็รู้สึกสงสารขึ้นจับใจ บางกลุ่มถึงกับส่ายหัว มู่เฉินประเมินตัวเองสูงเกินไป เขาคิดว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายจัดการเรอะ?
หากไป๋หมิงมีความตั้งใจที่จะสังหาร ทั้งกลุ่มมู่เฉินคงจะถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ต่อให้เผ่าวิหคโลกันตร์จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำกับไป๋หมิงได้ คงได้แต่กล้ำกลืนลงไปเท่านั้น
ชายหนุ่มผมขาวที่เป็นผู้นำเผ่าคุนเผิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับอยากรู้ว่ามู่เฉินโง่จริงๆ หรือไม่กลัวไป๋หมิง
ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้หันมามองมู่เฉินเลยสักนิด ตอนที่อยู่นอกสุสานสักการะเทพ เหตุผลที่นางเคลื่อนไหวเข้าไปขัดขวางไป๋หมิงก็แค่ไม่ต้องการให้มู่เฉินและไป๋หมิงปะทะกัน เพราะจะรบกวนการเข้าสู่ส่วนใน แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเข้ามาส่วนในได้แล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินดูเหมือนยังรนหาความตายเอง งั้นนางก็ไม่ต้องสนใจเรื่องชีวิตหรือความตายของอีกฝ่ายแล้ว
ท่ามกลางสายตาที่มีอารมณ์แตกต่างมากมาย การแสดงออกของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขานำพรรคพวกพลิ้วลงบนแท่นหิน
“มู่เฉินดูสิ!”
เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลง ทันใดนั้นจิ่วโยวก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นจากด้านหลัง
ทันใดนั้นมู่เฉินก็กวาดตาตามจิ่วโยวไป ดวงตาเขาหดเกร็งลงทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรูปปั้นหินบนเจดีย์หินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแท่นบูชา
รูปปั้นนั้นกางปีกออกปกคลุมดวงอาทิตย์ ดูราวกับหงส์ฟ้าแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เปลวไฟพวยพุ่งบนร่างประหนึ่งเป็นนิรันดร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหิน แต่แรงกดดันโบราณที่เปล่งออกมา ก็ทำให้กระแสเลือดในร่างกายของเขาเฉื่อยช้าลง
มู่เฉินรู้สึกถึงจิตวิญญาณหงส์ฟ้าในร่างที่สั่นไหว เสียงร้องดังกึกก้องเต็มไปด้วยความอยากใกล้ชิดและเคารพที่ไม่อาจมองผ่านได้
ฮา
มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว ขณะที่ความเบิกบานใจฉายในดวงตา แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวิหคอมตะโบราณมาก่อน แต่จากปฏิกิริยาของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงเขาก็มั่นใจว่ารูปปั้นที่อยู่เบื้องหน้าเป็นวิหคอมตะโบราณแน่แท้!
ดูเหมือนว่าเขาจะเดาไม่ผิด มีวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงด้วย!
นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณอยู่ที่นี่ด้วย!
ความตื่นเต้นในใจปะทุขึ้นแต่ก็ถูกระงับไว้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามีรูปปั้นหินทั้งหมดสามรูป ไม่ใช่เพียงรูปเดียว
หนึ่งในสองเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูงดงามมาก ราวกับว่ามีจิตวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขณะที่กระพือปีก
“นั่นมัน?” มู่เฉินมองดูรูปปั้นนกที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตนี้
“นั่นคือปักษาวิญญาณโบราณเป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” คำพูดของจิ่วโยวเต็มไปด้วยการเคารพขณะทอดถอนหายใจ “ในสมัยโบราณมหาพันภพได้รับเดือดร้อนอย่างมากจากการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ เทพอสูรที่ทรงพลังและหายากส่วนใหญ่สูญพันธุ์เนื่องจากมรดกสูญหาย สุดท้ายค่อยๆกลายเป็นเผ่าสัตว์อสูรธรรมดาสามัญไป”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หากเป็นเช่นนั้นเผ่าปีศาจต่างมิติก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันโลก แค่การบุกโจมตีครั้งเดียวก็สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ มากจนแม้แต่เผ่าพันธุ์ยังสูญพันธุ์
“แล้วอีกรูปปั้นล่ะ?” มู่เฉินมองที่รูปปั้นหินสุดท้าย นี่เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่เงยหน้าคำรามก้องฟ้าราวกับว่าร่างสามารถรองรับสวรรค์ทั้งผืนได้ มันมีสีดำสนิท ฝ่ามือขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาสามารถทำลายผืนดินได้หมื่นลี้ด้วยตบครั้งเดียว
“นั่นคืออสูรไร้พิรุณโบราณ ซึ่งเป็นเทพอสูรอันดับต้นในสมัยโบราณที่มีพละกำลังมหาศาลและความสามารถที่บ้าบิ่น ช่วงเวลาที่บ้าดีเดือดพลังการต่อสู้จะทะยานขึ้น เผ่าวานรทะลุฟ้าที่ว่าบ้าดีเดือดว่ากันว่าความสามารถนั้นมาจากเทพอสูรพันธุ์นี้” จิ่วโยวอธิบาย
“ดูเหมือนว่าข้อความโบราณไม่ผิด ในสมัยโบราณดินแดนเสินโซ่มีราชันเทพอสูรทั้งสาม ว่ากันว่าขณะที่ดินแดนเสินโซ่กำลังถูกทำลาย พวกเขาก็ได้เปิดการโจมตีขุดรากถอนโคนระดับจอมพลของเผ่าปีศาจต่างมิติมากมายให้ตายตกกันไปแล้วผนึกไว้” จิ่วโยวจ้องมองแท่นบูชาขนาดใหญ่ขณะที่พูดด้วยความเคารพสูงสุด
“สามราชันเทพอสูรเรอะ”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของรูปปั้นทั้งสามก็สมควรกับขนานนามนี้ แต่หลังจากที่เขากวาดมองไปยังพื้นที่รอบแท่นบูชาซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดก็ต้องขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสถานที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขาร หลุมดำที่ไม่รู้เชื่อมกับที่ใดดูดแก่นโลหิตเข้าไปทั้งหมด
ไม่รู้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน
“ดูเหมือนว่ากลุ่มที่ควรมาที่นี่ก็มาถึงกันหมดแล้ว” ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวพูดคุยกัน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีก็เงยหน้าขึ้นพูดเบาๆ “ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนในของสุสานเป็นสถานที่ที่ราชันทั้งสามละสังขารไว้ ก็เป็นตามที่พวกเจ้าจินตนาการนั่นแหละ เจ้าสามารถเลือกรับแก่นมรดกโลหิตได้ที่นี่”
เมื่อนางพูดออกมา นอกเหนือจากกลุ่มอันดับต้นที่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว กลุ่มอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มจิ่วโยวก็มีดวงตาเปล่งประกาย
“แต่…”
ข่งหลิงหยุดไปอึดใจจากนั้นก็เอ่ยต่อ “มีแก่นมรดกโลหิตสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่ามีเพียงสามคนที่จะได้รับไป คนที่เหลือต้องกลับไปมือเปล่า”
ผู้คนที่กำลังตื่นเต้นก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นราดลงบนหัวทันที แก่นมรดกโลหิตมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าขนาดสองในห้าของกลุ่มอันดับต้นยังต้องกลับไปมือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มของพวกเขาเลย
มู่เฉินยังคงความสงบไว้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่นอน แต่ก็สามารถเดาได้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีตั้งแต่ต้น ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย
เมื่อข่งหลิงพูดจบทั่วบริเวณก็เงียบลง กลุ่มที่สามารถเข้ามาส่วนในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีเพียงห้ากลุ่มอันดับต้นเท่านั้นที่สามารถแข่งขันเพื่อรับแก่นมรดกโลหิตนี้ไปได้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวของกลุ่มอันดับต้นทั้งห้า เพียงแค่หัวหน้ากลุ่มคนเดียวก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบคนอื่นๆ ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า พูดตามจริงเพียงแค่หนึ่งในนั้นก็สามารถทำลายกลุ่มของพวกเขาได้
ขณะที่กลุ่มอื่นๆ จมลงในความเงียบ ไป๋หมิงเป็นคนแรกที่คลี่ยิ้ม “ในเมื่อกฎก็ชัดเจนอยู่แล้ว งั้นข้าขอเลือกแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนนะ”
เมื่อเขาพูดจบก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนสุดของบันไดหิน ก้าวเข้าสู่ลานกว้างซึ่งนำไปยังรูปปั้น นี่เป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปหาวิหคอมตะโบราณได้
เมื่อจิ่วโยวเห็นว่าไป๋หมิงเลือกแก่นมรดกวิหคอมตะโบราณ หัวใจนางก็ดิ่งลง ถ้าต้องการรับแก่นมรดกก็ต้องสู้กับไป๋หมิงด้วยจริงเรอะ?
“วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์เดียวกับเผ่าของข้า หวังว่าทุกคนจะให้หน้ากับข้านะ…” ไป๋หมิงมองทุกคนบนแท่นหินยิ้มพลางประสานมือ
ชายผมสีขาวเผ่าคุนเผิงยิ้มบาง เขาไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิงเพราะแรงจูงใจของเขาไม่ได้อยู่ที่แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ
เผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางจะปะทะกับจงชิงเฟิง สำหรับแก่นมรดกปักษาวิญญาณโบราณ
สำหรับเผ่าวานรทะลุฟ้าและเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือแก่นมรดกโลหิตอสูรไร้พิรุณโบราณ เผ่าวานรทะลุฟ้าต้องการเพราะสายเลือดเดียวกันกับเทพอสูรนี้ ส่วนเผ่ากระเรียนฟ้าต้องการความสามารถบ้าดีเดือดที่อยู่ในนั้น…
แม้แต่กลุ่มอันดับต้นทั้งสี่ก็ไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิง ดังนั้นกลุ่มที่เหลือก็ไม่คิดกระโจนออกไป เพราะยังไงไป๋หมิงก็เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือความแข็งแกร่งของตัวเขา
ดังนั้นเมื่อไป๋หมิงพูดออกมา ทั่วบริเวณก็สงบนิ่งไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าทายเขา
เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ก็แอบรู้สึกยินดี ก่อนที่สายตามืดครึ้มจะเหลือบมองมู่เฉิน รอให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะได้จัดการกับพวกแกเป็นลำดับแรก
ทว่าขณะที่ความคิดนี้กำลังฟุ้งกระจาย ม่านตาก็ต้องหดเกร็งลง เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขา กระทั่งกลุ่มอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้าในเวลานี้
นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับที่ไป๋หมิงพูดจบ มู่เฉินซึ่งยืนหน้ากลุ่มตัวเองก็ย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดอย่างช้าๆ
เสียงอืออึงดังก้องจากฝูงคน ชัดว่าไม่มีใครคิดว่ามนุษย์คนนี้ที่เคยท้าทายไป๋หมิงจะวิ่งเข้าชนโดยไม่คิดหันหนี
บนลานประลองรอยยิ้มบางบนใบหน้าของไป๋หมิงก็หายไปทีละน้อย เขามองมู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่แยแส มุมปากยกโค้งขึ้นทีละนิด
“แกรนหาที่ตายจริงๆ”